×

กกร. หั่นคาดการณ์ GDP ปีนี้เหลือ 2.75-3.5% คาด ศก.โลก อาจถดถอยในครึ่งปีหลัง หากสงครามยูเครน-รัสเซียไม่คลี่คลาย

04.07.2022
  • LOADING...
เศรษฐกิจไทย

กกร. ปรับประมาณการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้เหลือ 2.75-3.5% คาดเศรษฐกิจโลกอาจสู่ภาวะถดถอยในครึ่งปีหลัง หากสงครามยูเครน-รัสเซียไม่คลี่คลาย ห่วงเงินเฟ้อ-ดอกเบี้ยขาขึ้นกดดันกำลังซื้อของภาคครัวเรือน และต้นทุนของภาคธุรกิจกระทบไทยฟื้นตัว

 

ผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ที่ประชุม กกร. ในวันนี้ (4 กรกฎาคม) ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2565 จะขยายตัวได้ในกรอบ 2.75-3.5% จากกรอบเดิมที่ 2.5-4.0% จากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่มีโอกาสชะลอตัว และปัญหาเงินเฟ้อในระดับสูงที่กดดันการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

 

โดย กกร. ประเมินว่า เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและยุโรปมีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงครึ่งปีหลัง โดยอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์ ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของครัวเรือนและความสามารถในการบริหารต้นทุนของภาคการผลิต ขณะที่ต้นทุนทางการเงินกำลังเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ดังนั้น เศรษฐกิจโลกอาจเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ในช่วงครึ่งหลังของปี หากความขัดแย้งระหว่างยูเครน-รัสเซียและผลกระทบต่อราคาพลังงานยังไม่มีคลี่คลาย นอกจากนั้น เศรษฐกิจจีนชะลอตัวอย่างมากจากนโยบาย Zero-COVID และอาจฟื้นตัวได้ช้าแม้รัฐบาลจีนมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ทั้งหมดนี้ทำให้ภาคการส่งออกของไทยเผชิญความท้าทายมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง

 

ขณะเดียวกัน ยังมองว่าอัตราเงินเฟ้อในระดับสูงจะกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย แม้ว่าการท่องเที่ยวของคนไทยภายในประเทศจะฟื้นตัวได้ดีถึงระดับกว่า 80% ของภาวะปกติในช่วงครึ่งปีแรก และในช่วงครึ่งปีหลังจะมีแรงส่งเพิ่มเติมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าตัวจากช่วงครึ่งปีแรก แต่อัตราเงินเฟ้อที่สูงระดับ 6-8% ในช่วงที่เหลือของปี มีแนวโน้มกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยทำให้กำลังซื้อของภาคครัวเรือนลดลงและต้นทุนของภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการเงินในประเทศสูงขึ้นตามไปด้วย

 

“ที่ประชุม กกร. ประเมินเศรษฐกิจไทยยังโตได้ แต่ต้องบริหารจัดการปัจจัยเสี่ยงต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะปัจจัยด้านเงินเฟ้อที่ส่งผลกระทบต่อครัวเรือนและธุรกิจในวงกว้าง และยังรวมไปถึงการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่จะมีผลต่อต้นทุนทางการเงิน ความท้าทายที่เพิ่มขึ้น” ผยงกล่าว

 

นอกจากนี้ ที่ประชุม กกร. ยังปรับเพิ่มประมาณการมูลค่าการส่งออกในปีนี้เป็นขยายตัวในกรอบ 5.0-7.0% จากเดิมที่ 3.0-5.0% และปรับเพิ่มประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเป็น 5.0-7.0% จากเดิมที่ 3.5-5.5% เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่คาดว่าจะยังอยู่ในระดับสูงต่อไป และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม

 

ผยงระบุว่า จากสถานการณ์ที่กำลังจะเข้าสู่การปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติ แต่เนื่องจากปัจจัยในด้านเศรษฐกิจที่ยังคงมีความเสี่ยงจากสถานการณ์ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเงินเฟ้อ ราคาน้ำมันดีเซลที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้ประกอบการแบกรับต้นทุนการผลิต / การขนส่ง และราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น กกร. จึงอยากเสนอให้ภาครัฐเข้ามาช่วยสนับสนุนใน 3 ด้าน ดังนี้

 

  1. ขอให้ภาครัฐเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐให้เป็นไปตามเป้าหมาย เพื่อให้เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ รวมถึงเร่งรัดการดำเนินโครงการลงทุนร่วมกับภาคเอกชน (PPP) ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาวะที่การใช้จ่ายของครัวเรือนอ่อนแอจากภาวะเงินเฟ้อสูง

 

  1. ขอให้ภาครัฐพิจารณาปรับราคากลางจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้มีความเหมาะสม สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงของผู้ประกอบการที่ได้รับการว่าจ้างให้ทำงานหรือด้านงานบริการกับภาครัฐ เนื่องจากต้นทุนสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ มีการปรับราคาสูงขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก เพื่อให้ภาคเอกชนสามารถดำเนินการได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น

 

  1. ขอให้ภาครัฐอำนวยความสะดวกธุรกิจภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลัง เช่น การเพิ่มเที่ยวบินระหว่างประเทศ ซึ่งคาดหมายว่า หากมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศมากขึ้น จะส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ได้
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising