นอกจากไฟน์ไดนิ่ง (Fine Dining) และแคชวลไดนิ่ง (Casual Dining) จริงๆ แล้วมีร้านอาหารที่อยู่กึ่งกลางระหว่างทั้ง 2 อย่าง แถมยังสร้างสรรค์ด้วยเชฟคนไทยผู้มากความสามารถ และมาในคอนเซปต์ที่สวยทั้งรูปแถมจูบก็หอม แม้ว่าร้านจะเปิดมาได้สักพักแล้ว แต่เราก็ยังอยากให้คนที่ไม่เคยไปได้ลิ้มลอง หรือหากไปมาแล้วก็อยากให้กลับไปแวะเวียนอีกสักครั้ง เพราะอาหารกำลังผลัดเปลี่ยนฤดูที่ Cuisine de Garden
จากการเป็นผู้บุกเบิกอาหารยุโรปแนวโมเลกุลาร์ที่เชียงใหม่ และความชื่นชอบธรรมชาติของ เชฟแนน-ลีลวัฒน์ มั่นคงติพันธ์ หัวหน้าเชฟและหุ้นส่วนร้านอาหาร Cuisine de Garden ทำให้เชฟตัดสินใจเปิดสวนแห่งที่สองในกรุงเทพฯ ย่านเอกมัย ที่นำเสนอความสวยงามของธรรมชาติ ก่อนถ่ายทอดลงสู่จานอาหาร ท่ามกลางบรรยากาศที่ชวนให้นึกถึงการนั่งเล่นในสวน
มื้ออาหารที่พาเราเข้าสู่เสน่ห์ของธรรมชาติ
The Vibe
ตัวร้านหลบหนีจากความวุ่นวายของเมืองและซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลจากปากซอยเอกมัยซอย 2 ด้านในบุผนังโดยรอบด้วยกระจกเงา ทำให้ร้านดูมีมิติมากขึ้น อีกทั้งมีต้นไม้ที่ขึ้นกลางร้านและบาร์พื้นหินกรวด เล่นกับความรู้สึกของผู้มาเยือนให้เหมือนนั่งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ
Cactus ของหวานหน้าตาคล้ายกระบองเพชร
The Dishes
รูปแบบอาหารของ Cuisine de Garden นำเสนอไอเดียของธรรมชาติมาประดิดประดอยลงบนจานอย่างสวยงาม เชฟแนนเลือกใช้วัตถุดิบส่วนใหญ่จากท้องถิ่นของไทยมาสร้างสรรค์ด้วยเทคนิคการทำอาหารแบบโมเดิร์น และมีการเปลี่ยนแปลงอาหารให้สอดคล้องกับฤดูกาล เปิดให้บริการเฉพาะมื้อค่ำแบบ 6 คอร์ส (1,590 บาทต่อคน) แม้ว่าหน้าตาจะออกไฟน์ไดนิ่ง แต่บางจานก็มีลูกเล่นให้ผู้กินได้เกิดปฏิสัมพันธ์กับอาหาร
ขนมปังบริยอชถูกปั้นแต่งให้คล้ายผลผลิตจากธรรมชาติ
ต้อนรับสู่เมนูแห่งธรรมชาติด้วยขนมปังบริยอชโฮมเมดที่ขึ้นรูปให้เหมือนใบทองกวาว มาพร้อมครีมสดรสเปรี้ยว หลังจากนั้นพบกับเมนูทานเล่นกลิ่นอายไทยๆ สามคำ ซึ่งนำเสนอในรูปแบบ Deconstruct หรือถอดรูปแบบออกมาทำใหม่
เชฟพาเราร่วมท่องไปในหนังสือแห่งธรรมชาติ เพราะเมื่ออาหารถูกยกมาเสิร์ฟที่โต๊ะ พนักงานจะบอกเล่าเรื่องราวถึงเบื้องหลังของอาหารแต่ละจาน บทแรก Chapter 01: Soil ได้แรงบันดาลใจมาจากดินร่วนในแปลงผัก จานนี้เป็นทาทาร์เนื้อสันในไทยดรายเอจที่ให้ความลีนเป็นพิเศษ คลุกเคล้าในซอสมายองเนสกับสมุนไพร แล้วปกคลุมด้านบนด้วยชาโคลกรานิต้าที่ให้สีสันคล้ายดิน จากนั้นประดับตกแต่งด้วยบีทรูทกรอบและผักแขยง ผักพื้นบ้านจากทางเหนือที่นิยมกินพร้อมก้อยดิบ ให้กลิ่นและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ เข้าคู่ได้ดีกับเมนูเนื้อ
แรงบันดาลใจมาจากดินร่วนในแปลงผัก
ถัดมา Chapter 02: Nest เมนูซิกเนเจอร์ของร้านที่แนะนำให้ลองสั่ง เสิร์ฟมาในรูปแบบของไข่ในรังนก ฐานล่างสุดคือไก่ฉีกซูวีจนเนื้อนุ่มคลุกกับซอสไก่รสเข้มข้นที่เคี่ยวจากกระดูกไก่ พร้อมเหยาะน้ำมันทรัฟเฟิล ส่วนรังนกทำขึ้นจากเส้นหมี่กรอบ และไข่ตรงกลางซึ่งเป็นไข่ไก่ออร์แกนิกซูวี ลูกค้าจะต้องตอกไข่ใส่รังนกแล้วกินพร้อมกับซอสรองฐานด้านล่าง
(บน) ด้านล่างของไข่ทำจากเนื้อไก่,
(ล่าง) สวนผักในมุมมองเชฟ
หลังจากผ่านไปครึ่งเล่มก็มาต่อกันที่ Chapter 03: Evergreen ความเขียวชอุ่มของธรรมชาติได้รับการสะท้อนผ่านฝีมือเชฟ เมื่อเชฟนำสันคอหมูไปหมักเป็นเวลา 3 วัน แล้วทำให้สุกอย่างช้าๆ เพื่อมอบสัมผัสและรสชาติที่ทั้งฉ่ำและนุ่มเด้ง เสิร์ฟกับซอสที่เคี่ยวจากหมูและซอสที่ได้จากใบคะน้า ปกคลุมพื้นผิวสันคอหมูด้วยใบคะน้าอบยีสต์ ก่อนปิดท้ายด้วยเม็ดทับทิมสดและดอกผักกวางตุ้ง
(บน) ของหวานหน้าตาคล้ายกระบองเพชร,
(ล่าง) หน้าตาเหมือนหินแต่เป็นช็อกโกแลต
ในที่สุดก็เดินทางมาถึงคอร์สรองสุดท้าย Chapter 04: Cactus ของหวานหน้าตาคล้ายกระบองเพชร เมื่อเชฟแนนสังเกตเห็นว่า ‘ขนมคานาเล่’ มีรูปทรงคล้ายต้นกระบองเพชร จึงเกิดไอเดียต่อยอดคานาเล่ให้มีความพิเศษแปลกใหม่ยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผิวนอกที่มีสีเขียวเหมือนต้นกระบองเพชร หรือดอกไม้บนต้นกระบองเพชรที่ทำจากฟักทองและบีทรูท พร้อมเจลใบเตยด้านใน สำหรับสีเขียวๆ ของขนมได้มาจากใบเตย ตัวแป้งผสมรัมเล็กน้อย ด้านในแคคตัสเมื่อตัดออกมาจะพบกับครีมที่มีส่วนผสมของแม่โขงรสเข้มข้น เสิร์ฟมาในจานที่เต็มไปด้วยเม็ดทรายกินได้ เพราะทำจากผงขนมปังคั่ว
Stone อีกหนึ่งของหวานเพื่อเป็นการปิดเล่มหนังสือแห่งธรรมชาติ เป็นช็อกโกแลตหน้าตาเหมือนก้อนหิน ด้านในสอดไส้กระเจี๊ยบและมะขาม
เสิร์ฟมาในถาดไม้ที่เต็มไปด้วยก้อนหิน ชวนหลอกตาให้เดาเล่นๆ กันว่าก้อนไหนเป็นช็อกโกแลต ก้อนไหนเป็นหินจริง
จินโทนิกกับลูกอม
The Drinks
เช่นเดียวกับอาหาร เครื่องดื่มประจำร้านก็มีลูกเล่นเช่นกัน อย่างค็อกเทลแก้วนี้ Gin & Tonic & Lukom (390-490 บาท) พรีเมียมจินโทนิกหน้าตาแสนธรรมดาที่มาพร้อมลูกอมรสมะนาว สับปะรด และมะม่วงหาวมะนาวโห่ ความพิเศษของลูกอม 3 เม็ดนี้คือสามารถกินได้ทั้งเปลือก และเมื่อกัดลูกอมเข้าไป เราจะสัมผัสได้ถึงรสชาติผลไม้แบบเต็มๆ ซึ่งเข้ากับจินโทนิกได้อย่างดี แนะนำให้กินลูกอมก่อนแล้วค่อยๆ จิบเครื่องดื่มทีละนิด
What You Should Know:
- Cuisine de Garden มีอีกสาขาอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่
- วัตถุดิบส่วนใหญ่ที่นำมาประกอบอาหารสามารถหาได้จากในประเทศ อีกทั้งยังเป็นผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกอีกด้วย
- เมนูของร้านเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลเพื่อความสดใหม่
Cuisine de Garden
Open: เปิดวันจันทร์ถึงเสาร์ เวลา 18.00-23.00 น.
Address: เอกมัยซอย 2 ถนนสุขุมวิท 63 กรุงเทพฯ
Budget: เซตละ 1,590 บาทต่อคน
Contact: โทร. 06 1626 2816
Website: www.cuisinedegarden.com
Map: