×

วงการคริปโตเรียนรู้อะไรจากวิกฤตปี 2022 และกองทุน Bitcoin กับปรากฏการณ์ Halving จะช่วยกอบกู้อนาคตคริปโตได้หรือไม่?

06.11.2023
  • LOADING...
คริปโตเคอร์เรนซี

HIGHLIGHTS

  • การล่มสลายของเหรียญ LUNA และกระดานเทรดคริปโตอันดับ 2 ของโลกอย่าง FTX สั่นคลอนอนาคตและความเชื่อมั่นของนักลงทุนคริปโตทั้งในระดับสถาบันและรายย่อย ให้กลับมาคิดทบทวนสิ่งที่เคยคาดหวังไว้อีกครั้ง
  • สถิติย้อนหลัง 3 ครั้งที่ผ่านมาของ Bitcoin Halving เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ ‘กลัวตกรถ’ หรือ FOMO ซึ่งส่งผลบวกต่อราคา แต่นักวิเคราะห์ก็มองว่า Halving จะมีผลกับราคาน้อยลงเรื่อยๆ เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่ถูกระบุไว้ชัดเจนและทุกคนรู้ว่ามันจะเกิดขึ้น
  • นักลงทุนมีความเชื่อมั่นว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกาจะอนุมัติ Bitcoin Spot ETF ในเร็วๆ นี้ เป็นเหตุผลให้ BTC ปรับตัวขึ้นทดสอบ 35,000 ดอลลาร์จากแรงซื้อจำนวนมาก แม้การอนุมัติจะถูกเลื่อนพิจารณาออกไปก็ตาม
  • Monetary Authority of Singapore (MAS) หันไปโฟกัสที่การใช้ ‘บล็อกเชน’ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกรรมระหว่างสถาบันการเงิน แทนที่การสนับสนุนนักลงทุนรายย่อยในการซื้อ-ขายเหรียญต่างๆ เพื่อปกป้องนักลงทุนจากความเสี่ยง

ในช่วงยุคทองตลาดคริปโตที่ผ่านมาเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน หลายประเทศมีความพยายามที่จะก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลในระดับโลก รวมทั้งสิงคโปร์ด้วย แต่แล้วแผนการที่ทะเยอทะยานนี้ก็ต้องถูกทำให้หยุดชะงักไป หลังจากสัญญาณความไม่สู้ดีในวงการคริปโตเริ่มปะทุขึ้น

 

การล่มสลายของเหรียญ LUNA ที่สร้างโดยบริษัท Terraform Labs Pte. เป็นเสมือนตัวจุดชนวนขาลงของวงการ ซึ่งส่งผลกระทบกับกองทุนคริปโตยักษ์ใหญ่ Three Arrows Capital (3AC) ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นดาวรุ่งไปสู่การยื่นล้มละลาย โดยบริษัททั้งสองนี้ก็ตั้งอยู่ที่สิงคโปร์ด้วย แต่ผลกระทบของความเสียหายได้แพร่กระจายไปสู่คนทั่วโลกที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล

 

นอกจากนี้อีกหนึ่งวิกฤตครั้งใหญ่อย่างการล้มลงของ FTX กระดานเทรดคริปโตอันดับ 2 ของโลกจากการฉ้อโกงที่ถูกเคลมว่า ‘เป็นหนึ่งในผู้ฉ้อโกงเงินครั้งใหญ่ของประวัติศาสตร์อเมริกา’ นับเป็นอีกเหตุการณ์ที่ทำให้ภาพอนาคตและความเชื่อมั่นของนักลงทุนสายคริปโตไม่เหมือนที่เคยคาดหวังไว้อีกต่อไป เมื่อศาลมีคำตัดสินแล้วว่า อดีตซีอีโอของบริษัท FTX, Sam Bankman-Fried มีความผิดทั้งหมด 7 ข้อหา และมีโทษจำคุก 115 ปี

 

สำหรับผู้ที่ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับวงการคริปโต วิกฤตต่างๆ เหล่านี้เป็นจุดที่ทำให้ทั้งนักลงทุนมือใหม่ มือเก๋า ผู้เชี่ยวชาญ และหน่วยงานกำกับดูแล จำเป็นต้องถอยกลับมาประเมินถึงอนาคตตลาดที่อาจจะต้องมีการควบคุมที่เข้มงวดมากขึ้น

 

แต่ในฝั่งที่ไม่เห็นด้วยและไม่สนับสนุนก็ถึงขั้นชี้ให้เห็นว่า ความเสียหายจากวิกฤตในโลกคริปโตเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่าอุตสาหกรรมนี้มีช่องโหว่ที่เต็มไปด้วยโจรและแฮกเกอร์

 

Bitcoin ETF, Bitcoin Halving และอนาคตของคริปโต

 

แม้วิกฤตที่เกิดขึ้นในปี 2022 จะทำให้กระแสความฮิตในคริปโตลดลงไปอย่างมาก แต่ข้อมูลราคา Bitcoin สินทรัพย์ดิจิทัลอันดับ 1 ก็ดีดตัวขึ้นมาแล้วมากกว่า 100% นับตั้งแต่ต้นปี ซึ่งถือเป็นการกลับตัวในอัตราที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ประเภทอื่นในปีนี้

 

หรือนี่อาจเป็นสัญญาณขาขึ้นครั้งต่อไปก่อนปรากฏการณ์ Bitcoin Halving ที่น่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนเมษายน ปี 2024 ที่จะถึงนี้ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ผู้คนกลับมาสนใจคริปโตอีกครั้ง

 

Bitcoin Halving คือกฎเกณฑ์ที่ถูกเขียนไว้ในโค้ดของ Bitcoin ซึ่งกำหนดไว้ว่าทุกๆ 210,000 บล็อก หรือประมาณ 4 ปี รางวัลที่นักขุด Bitcoin (Miner) ที่เป็นผู้ยืนยันปิดบล็อกบัญชีธุรกรรม Bitcoin ในทุกๆ 10 นาทีจะได้รับ จะต้องถูกลดลงครึ่งหนึ่ง โดยการ Halving ครั้งแรกเริ่มจาก 50 Bitcoin ลงมาเหลือ 25 และจะดำเนินต่อไปจนถึงปี 2140 ตามการคาดการณ์ ซึ่งก็จะเป็นช่วงเวลาที่ Bitcoin ทั้งหมด 21 ล้านหน่วยจะถูกสร้างขึ้นโดยสมบูรณ์ และจากข้อมูลเดือนพฤศจิกายน 2023 มี Bitcoin ถูกขุดออกมาแล้ว 19.53 ล้านหน่วย ส่วนที่เหลือจะตามมาในอีกประมาณ 117 ปี

 

ประเด็นที่ว่า Bitcoin Halving จะเป็นชนวนให้คนกลับมาอีกหรือไม่นั้น หากเราดูสถิติย้อนหลัง 3 ครั้งที่ผ่านมา การลดลงของปริมาณ Bitcoin ที่ถูกผลิตขึ้นมาใหม่ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยบวกต่อราคา ซึ่งเกิดจากอาการ ‘กลัวตกรถ’ หรือ FOMO ส่วน Halving ครั้งที่ 4 ในปี 2024 นั้นจะเพิ่มราคา Bitcoin มากเท่าไร ยังต้องรอดูต่อไป

 

 

 

อย่างไรก็ตาม Mike McGlone นักวิเคราะห์จาก Bloomberg มองว่า เนื่องจาก Bitcoin Halving เป็นเหตุการณ์ที่ ทุกคนในตลาดรู้ล่วงหน้าได้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไร นั่นหมายความว่าราคา ณ ตอนนี้ก็อาจสะท้อนปัจจัยดังกล่าวไปแล้ว และถ้าหากไม่มีดีมานด์ใหม่เข้ามา การลดลงของซัพพลายก็ไม่น่าจะขึ้นต่อได้

 

“ยิ่งเราคาดหวังกับอะไรให้เกิดขึ้น โดยส่วนใหญ่แล้วมันจะไม่เป็นเช่นนั้น และนั่นคือข้อกังวลของผม เพราะมันคือความเห็นพ้องที่ตรงกันของคนส่วนมากในตลาด” Mike McGlone กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ Cointelegraph

 

ดังนั้นถ้ามองตามการวิเคราะห์ของ Mike McGlone ดูเหมือนว่า Bitcoin Halving จะส่งผลต่อราคาน้อยกว่า ตราบใดที่ยังไม่มีตัวขับเคลื่อนความต้องการใหม่ แต่ Bitcoin Spot ETF ก็จะเป็นปัจจัยหลักในการสร้างดีมานด์ใหม่ๆ โดยเฉพาะกลุ่มของนักลงทุนสถาบันที่ในอดีตที่ผ่านมายังคงลังเลที่จะลงทุนใน Bitcoin เนื่องจากความคลุมเครือทางกฎหมาย แต่คำตัดสินของ ก.ล.ต.สหรัฐฯ จะเป็นอย่างไรนั้นเป็นสิ่งที่ต้องติดตามดูต่อไป 

 

สาเหตุของการปรับตัวขึ้นของราคา Bitcoin เมื่อเร็วๆ นี้ ตามการวิเคราะห์ของ Cryptomind ก็มาจากข่าวการอนุมัติ Bitcoin Spot ETF ที่แม้จะถูกเลื่อนพิจารณาทั้งหมด แต่การปรากฏขึ้นของ ‘IBTC’ ซึ่งเป็นกองทุน Bitcoin Spot ETF จาก BlackRock บนฐานข้อมูลของเว็บไซต์ DTCC (The Depository Trust and Clearing Corporation) เป็นเหตุผลให้ BTC ปรับตัวขึ้นทดสอบ 35,000 ดอลลาร์จากแรงซื้อจำนวนมาก เนื่องจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นว่าสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกาจะอนุมัติ Spot ETF ในเร็วๆ นี้

 

หาก Bitcoin Spot ETF ได้รับการอนุมัติจริง นี่อาจเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของวงการ เนื่องจากกองทุนยักษ์ใหญ่ระดับโลกให้การยอมรับ ซึ่งก็มีแนวโน้มที่จะเรียกความมั่นใจของทั้งนักลงทุนสถาบันและรายย่อยกลับมา อีกทั้งสภาพคล่องในตลาดก็จะเพิ่มขึ้นจากการลงทุนผ่าน ETF และดันให้ราคาปรับตัวขึ้นตามไปด้วย

 

นอกจากนี้แม้ Bitcoin จะเป็นเหรียญเดียวที่กำลังถูกพิจารณาอยู่ แต่การอนุมัติก็อาจเป็นต้นแบบให้มีความพยายามในการยื่นขอ ETF กับเหรียญอื่นๆ และอาจส่งผลต่อท่าทีของประเทศต่างๆ ที่เคยมีต่อคริปโต หาก Bitcoin Spot ETF ของสหรัฐฯ ถูกยอมรับ

 

ศักราชใหม่ของคริปโตที่เน้นความโปร่งใสและรัดกุม

 

ในขณะที่ทางสหรัฐฯ กำลังถกกันเรื่อง Bitcoin Spot ETF และเฝ้ารอ Bitcoin Halving องค์กรอีกฟากของโลกอย่าง Monetary Authority of Singapore (MAS) ที่ยังมีความเชื่อมั่นกับเทคโนโลยีเบื้องหลังคริปโตอยู่ ก็ยังยืนหยัดในความตั้งใจที่จะเป็นศูนย์กลางของสินทรัพย์ดิจิทัล โดยจะเน้นไปกับการใช้ ‘บล็อกเชน’ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกรรมและการซื้อ-ขายสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำด้วยวิธีสร้างโทเคนแทนสิทธิการครอบครองสินทรัพย์ต่างๆ

 

สิ่งที่สิงคโปร์ต้องการสำหรับคริปโตในอนาคตคือ การอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าระดับองค์กรเป็นสำคัญ เช่น บริษัทจัดการกองทุนและความมั่งคั่งที่ต้องการใช้คริปโต แต่สิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการคือ การเปิดกว้างให้นักลงทุนรายย่อยซื้อ-ขายเหรียญอะไรก็ได้อีกแล้ว 

 

“ภายในปีหน้าสิงคโปร์จะมีกฎเกณฑ์เกี่ยวกับคริปโตที่เข้มงวดที่สุดแห่งหนึ่งเพื่อปกป้องลูกค้า แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นหนึ่งในที่ที่สะดวกมากที่สุดเช่นเดียวกัน” Ravi Menon ผู้อำนวยการของ MAS กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Bloomberg

 

หนึ่งในโปรเจกต์ทดลองที่ทางสิงคโปร์กำลังร่วมมือกับธนาคาร HSBC, UOB และ Marketnode โดยอาศัยเทคโนโลยีบัญชีแบบกระจายศูนย์ในการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ซึ่ง MAS กล่าวว่า เทคโนโลยีดังกล่าวสามารถช่วยลดต้นทุนและทำให้กระบวนการนั้นมีความรวดเร็วมากขึ้น

 

ในเวลา 2 ปีที่ผ่านมา บรรยากาศของโลกคริปโตนั้นช่างแตกต่างกับตอนตลาดกระทิงในปี 2021 อย่างสิ้นเชิง บทเรียนที่วงการได้รับมีราคาแพง แต่ถึงบรรยากาศในกลุ่มรายย่อยจะซบเซาลงไป แต่ความเคลื่อนไหวของธุรกิจและนักลงทุนสถาบันก็ยังเดินหน้าต่อ

 

แต่เหนือสิ่งอื่นใด บทเรียนที่อุตสาหกรรมได้รับคือ ความโปร่งใสและจุดสมดุลในการบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้การฉ้อโกงเกิดซ้ำรอยอีก และเราคงได้เห็นถึงความชัดเจน ความเข้มงวด และความรัดกุมของกฎหมายมากขึ้น ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางและการมีอยู่ของคริปโตกับผู้คนในอนาคตต่อไป

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising