วันนี้ (30 พฤษภาคม) ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยผ่านรายการ ‘กรรมกรข่าว คุยนอกจอ’ ถึงกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องสติกเกอร์ข้อความ ‘กรุงเทพฯ BANGKOK’ ใหม่ที่ปิดบนแนวคานของรางรถไฟฟ้าแยกปทุมวันว่า เมืองต้องมีการพัฒนาไป และเราเคารพผู้ออกแบบ จึงไม่เปรียบเทียบว่าของเก่าหรือของใหม่สวยกว่า
เหตุการณ์นี้ถือเป็นเหตุการณ์ที่ดี เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีใครสนใจในจุดนี้เลย ไม่มีใครเคยคิดถึงอัตลักษณ์ของกรุงเทพฯ การที่มีคนมาเห็น มาวิพากษ์วิจารณ์กันว่าชอบหรือไม่ชอบ จึงเป็นเรื่องที่ดีและคิดว่าเป็นเรื่องที่สร้างสรรค์ ถือเป็นบรรยากาศที่ดีต้อนรับเทศกาล Pride Month ซึ่งเป็นความแตกต่างที่มีได้ในสังคม
“เชื่อว่าถ้าทุกคนชอบหมด 100% เป็นเรื่องแปลก การที่ไม่เห็นด้วยบ้างก็ดีแล้ว ซึ่งคานรถไฟฟ้าที่ต้องปรับปรุงยังมีอีกหลายจุดที่จะทำเพิ่ม ก็อาจมีการประกวดเพื่อให้เกิดความคิดที่หลากหลายมากขึ้น” ชัชชาติกล่าว
ส่วนประเด็นการใช้จ่ายงบประมาณ 3 ล้านบาท ชัชชาติชี้แจงว่า เป็นการออกแบบ Corporate Identity หรือ CI ที่ผ่านมา กทม. ไม่ได้มี CI ที่ชัดเจน จึงมีสีที่หลากหลาย รูปแบบที่หลากหลาย บางครั้งก็โยงกับตัวบุคคลมากไป แต่เราไม่อยากให้ยึดโยงกับตัวบุคคล อยากให้เป็นสัญลักษณ์ของ กทม. ที่คนใช้ร่วมกันและพัฒนาต่อได้
ชัชชาติกล่าวต่อว่า หากถามว่าทำไมเมือง กทม. จำเป็นต้องมี CI นี้ เพราะทั่วโลกมีหมด องค์กรจึงจำเป็นที่ควรจะมี CI เพื่อทำให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นเมือง เป็นบริษัท เพราะทำให้การจัดการต่างๆ มีความเป็นตัวตน
อย่างเช่น เมื่อเราเห็นฟอนต์เสาชิงช้าที่พัฒนาขึ้นมาใหม่นี้ก็จะรู้ว่าข้อความนี้คือข้อความของ กทม. แต่ก่อนการใช้สีของ กทม. มีหลายโทนมาก ในการทำเอกสาร อุปกรณ์ หรือนามบัตรต่างๆ สีก็ผิดเพี้ยนหมด จึงเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้เกิดการปรับให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน มีฟอนต์ของตัวเอง มีรูปลักษณ์ มีวิธีการใช้
ชัชชาติกล่าวว่า ในการดูแลเรื่องนี้ เนื่องจากตัวเราเองก็ไม่ได้มีความรู้ในเรื่องนี้มากพอ และเราเองก็ไม่อยากเข้าไปนั่ง เพราะเราเองเป็นหัวหน้าหน่วยงาน หากเราให้ความเห็นกลายเป็นทุกคนต้องฟังเรา จึงมีคณะกรรมการและคณะทำงานเป็นผู้พิจารณา ซึ่งมีทั้งเอกชนและคนที่มีความรู้ในการออกแบบ โดยมีการประมูลอย่างถูกต้อง ทุกอย่างมีกระบวนการที่ทำตามระเบียบและโปร่งใส
สำหรับเรื่องคำขวัญอาจมีหลายคำที่เปลี่ยนแปลงไปตามบริบทของเมืองที่ไม่เหมือนกับเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ก็อาจถึงเวลาที่ต้องคิดแล้วว่าคำไหนที่จะเหมาะสมกว่าสำหรับในอีก 4 จุด ซึ่งอาจมีการจัดประกวดแบบในอนาคต
“การที่มีข้อวิพากษ์วิจารณ์ถือเป็นเรื่องที่ดี เมื่อมีการถกเถียงกัน คนก็ได้รู้จักตรงนี้มากขึ้น ทุกคนสามารถเห็นต่างกันได้ แต่ไม่ต้องเกลียดชังกัน กรณีที่เกิดขึ้นนี้เหมือนเป็นการต้อนรับ Pride Month ซึ่งจะมีการจัดขบวนพาเหรดจากจุดนี้ด้วย จึงเหมือนเป็นการสื่อสารถึงการมีความเห็นที่แตกต่างกัน ได้รับฟัง ได้ทำให้เห็นมุมมองที่แตกต่างกัน ก็ถือเป็นเรื่องดีที่ทำให้คนสนใจมากขึ้น เข้าใจคำว่า CI มากขึ้น” ชัชชาติกล่าว
