×

เครดิตบูโรเผย NPL ไตรมาส 2 พุ่งทะลุ 1 ล้านล้านบาท และมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อ เตือนหนี้รถยนต์เริ่มส่งกลิ่น หลังเพิ่มขึ้นถึง 18%

09.08.2023
  • LOADING...
เครดิตบูโร

เครดิตบูโรเผย หนี้เสียไทยในไตรมาส 2 กลับมาพุ่งทะลุ 1 ล้านล้านบาทอีกครั้ง และยังมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อ ชี้หนี้เสียรถยนต์เริ่มส่งกลิ่นไม่ดีหลังปรับขึ้นจากปีก่อนถึง 18% แต่เชื่อว่าภาพรวมยังไม่เกิด NPL Cliff หลังหนี้ SM ลดลงจากไตรมาสแรกที่​ 6 แสนล้านบาท​ มาอยู่ที่ 4.75 แสนล้านบาท

 

สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงสถานการณ์หนี้เสีย หนี้กำลังจะเสีย (Special​ Mention Loan) และหนี้ที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้าง โดยระบุว่า ณ​ สิ้นเดือนมิถุนา​ยน​ 2566 จากการประมวลผลจากฐานข้อมูล​สถิติที่เอาตัวตนออกไปแล้วของเครดิตบูโร​พบข้อเท็จจริงว่า​ หนี้ครัวเรือนไทยทั้งก้อนหลังการปรับปรุงข้อมูล​โดย ธปท.​ มีตัวเลขอยู่ที่​ 15.96 ล้านล้านบาท ​คิดเป็น​ 90.6% ของ​ GDP ที่สะท้อนว่าเศรษฐกิจ​ไทยซึ่งมีปัญหาในเรื่องหนี้ครัวเรือนอยู่แล้ว จะยังติดอยู่ในกับดักนี้ต่อไป

 

ทั้งนี้ จากตัวเลขหนี้ครัวเรือนไทย​ 13.45 ล้านล้านบาทที่จัดเก็บอยู่ในระบบของเครดิตบูโร​ ซึ่งครอบคลุม​ 32 ล้านลูกหนี้​ที่เป็นหนี้กับสถาบันการเงิน​ไทยกว่า​ 135 แห่ง​ พบว่า ปริมาณหนี้ที่เสียไปแล้วรอการแก้ไขได้กลับมาแตะระดับ​ 1 ล้านล้านบาทอีกครั้งในเดือนมิถุนา​ยน​ 2566​ ที่ระดับ​ 1.03 ล้านล้านบาท คิดเป็น​ 7.7% จากที่เมื่อไตรมาส​ 1 ปี​ 2566​ อยู่ที่ระดับ​ 9.5 แสนล้านบาท​ และคาดว่าตัวเลขดังกล่าวจะต้องไปต่อแน่ด้วยสถานการณ์​ทางเศรษฐกิจ​แบบยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่และทั่วถึง​ ประกอบกับจะมีการชักคืนมาตรการช่วยเหลือออกตามแผน​ แล้วกลับไปใช้มาตรการ​ตามปกติเดิมมารองรับ​ แม้การเพิ่มขึ้นอาจไม่รุนแรง​ แต่มีโอกาสเพิ่มขึ้นแน่

 

“ไส้ในของหนี้ที่เสียไปแล้ว หรือหนี้​ NPL​s ประกอบด้วย​หนี้กู้ซื้อรถยนต์​เกือบ​ 2 แสนล้านบาท,​ หนี้กู้ซื้อบ้านและที่อยู่​อาศัย​ 1.8 แสนล้านบาท​, หนี้​ Ploan 2.5 แสนล้านบาท,​ บัตรเครดิต​ 5.6 หมื่นล้านบาท และหนี้เกษตร​ 7.2 หมื่นล้านบาท​ เป็นต้น​ ที่น่าสังเกตคือ หนี้กู้มาซื้อรถยนต์​นั้นเพิ่มขึ้นจากกลางปีที่แล้ว​ เดือนมิถุนายน​ 2565​ สูงถึง 18% อันนี้ต้องยอมรับว่ากลิ่นไม่ค่อยดี” ผู้จัดการใหญ่เครดิตบูโรระบุ

 

นอกจากนี้จากหนี้​ NPL​s ทั้งหมด​ 1.03 ล้านล้านบาท​นั้น​ยังพบว่า เป็นหนี้เสียรหัส​ 21​ หรือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ​จากโควิดจนกลายเป็นหนี้เสีย มีจำนวน​ 3.7 แสนล้านบาท​ คิดเป็นจำนวนรายลูกหนี้​ 3.4 ล้านคน​ ซึ่งข้อสังเกต​ที่สำคัญคือ​ จากไตรมาสที่​ 1 ​ปี​ 2566​ หรือเมื่อ 3 เดือนก่อน ตัวเลขในกลุ่มนี้อยู่ที่​ 3.1 แสนล้านบาท​ การเพิ่มของจำนวนเงินและจำนวนรายทั้งๆ ที่มีการเร่งปรับโครงสร้าง​หนี้​ตามมาตรการแบบมุ่งเป้าอย่างเต็มกำลัง​ สะท้อนให้​เห็น​ถึงความอ่อนแรงของความสามารถ​ในการชำระหนี้​ของลูกหนี้กลุ่มนี้ที่ชัดเจน​ ดังนั้นคำถามที่ต้องติดตามต่อไปคือ ในระยะเวลาที่เหลือก่อนที่มาตรการปรับโครงสร้าง​หนี้​ระยะยาวหรือมาตรการฟ้าส้มจะถูกชัก​ออกไปในปลายปี​ เดือนธันวาคม​นี้​ จะส่งผลให้เกิดความอืดและความหนืดในการเร่งจัดการหนี้เสียเป็นหนี้ดีตามที่มุ่งหวังหรือไม่​

 

สุรพลระบุว่า หนี้อีกประเภทที่เครดิตบูโรจับตาดูคือหนี้เสียที่เอาไปปรับโครงสร้าง​ เอาไป​ซ่อม​ เพื่อให้กลับมาเป็นหนี้ดี​ จ่ายได้​ ตรงนี้พบว่ามีจำนวน​ 9.8 แสนล้านบาท​ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา​ที่อยู่ที่ระดับ​ 8 แสนล้านบาท​ ซึ่งเป็นผลมาจากการเร่งเข้าไปช่วยเหลือและช่วยปรับโครงสร้าง​หนี้​ตามมาตรการที่ออกแบบมาโดย ธปท.​ 

 

ขณะที่กลุ่มหนี้ที่กำลังจะเสีย หนี้ที่กล่าวถึงเป็นพิเศษ (Special​ Mention Loan) หรือหนี้ที่มีการค้างชำระ​ 31-90 วันแต่ยังไม่ข้ามเส้นการค้างชำระเกิน​ 90 วัน พบว่า มีมูลค่าอยู่ที่​ 4.75 แสนล้านบาท​ ลดลงมาจากไตรมาสที่​ 1 ของปี​ 2566​​ ที่มีอยู่สูงถึง​ 6 แสนล้านบาท​ อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าไปดูไส้ในจะพบว่า​ 2 แสนล้านบาทเป็นหนี้กู้ซื้อรถยนต์​ 1.3 แสนล้านบาทเป็นหนี้กู้ซื้อบ้าน ในจำนวนนี้​ 9 หมื่นล้านบาทเป็นลูกหนี้ของสถาบันการเงินของรัฐ​ ซึ่งก็จะสะท้อนไปที่บ้านราคาไม่แพง​ กลุ่มรายได้ปานกลาง, รายได้น้อย​ นอกจากนี้ยังมีหนี้​ Ploan​ อีก​ 8.6 หมื่นล้านบาท​

 

สุรพลกล่าวอีกว่า อัตราการไหลของหนี้ SM ไปเป็นหนี้เสียหรือกลายไปเป็น​หนี้​ NPLs อ้างอิงข้อมูลจาก ธปท. นั้นพบว่า​ Migration Rate ของสินเชื่อบ้านอยู่ที่​ 22% สินเชื่อรถยนต์​ 12% สินเชื่อส่วนบุคคล​ 54% และบัตรเครดิต​ 57% ซึ่งอัตราส่วนนี้บ่งบอกว่า​ หนี้เสียที่จะไหลมาจากหนี้กำลังจะเสียนั้นคงจะยังไม่เป็นขนาดถล่มทลาย​แบบตกหน้าผากัน แต่ก็ไม่ควรลืมว่าการค้างชำระในส่วนของหนี้ที่มีหลักประกัน​ เช่น รถยนต์, บ้านและที่อยู่​อาศัย​นั้น​ เป็นอะไรที่ไม่น่าจะสบายใจนัก ประกอบกับไทยยังมีเรื่องของค่าครองชีพ ค่าไฟฟ้า​ และค่าน้ำมัน​เชื้อเพลิง ​อีกส่วนหนึ่งที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น​ แรงกดดันจากค่าใช้จ่ายตรงนี้อาจจะมาเบียดรายได้ที่ไม่ค่อยแน่นอน​ มั่นคง​ และเพียงพอที่จะรองรับการเอาไปชำระหนี้ในแต่ละเดือนได้ให้ไม่เกิดการค้างชำระได้เพียงใด

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising