หากเราต้องจัดอันดับแบรนด์รองเท้าสุดไอคอนิกแห่งยุค เราก็สามารถแยกเป็นหลายหมวดหมู่ ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าส้นสูง, ส้นเตี้ย, บู๊ต, โลเฟอร์, เอสพาดริลล์ หรือสนีกเกอร์ก็ตาม ซึ่งพอมาถึงหมวดรองเท้าแตะ แบรนด์ที่เราต้องยกให้อยู่ใน Top 3 ในตอนนี้ก็หนีไม่พ้น Birkenstock ที่หลายคนน่าจะคุ้นเคยกันดี
แต่อะไรทำให้แบรนด์รองเท้าสัญชาติเยอรมันเจ้านี้ที่รากฐานเริ่มมายาวนานถึง 248 ปี ยังคงครองแชมป์มหาชนได้จนถึงตอนนี้ THE STANDARD POP จะมา Cracked ให้รู้กัน
ประวัติความเป็นมาของ Birkenstock
จุดเริ่มต้นของ Birkenstock ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 1774 ที่เมือง Langen-Bergheim ของประเทศเยอรมนี ตอนที่ Johann Adam Birkenstock ทำงานเป็นช่างปะรองเท้า โดยต่อมาในปี 1896 หลานของ Johann ที่ชื่อ Konrad Birkenstock ก็ได้เริ่มกิจการผลิตแผ่นรองรองเท้าที่ชื่อ Fussbett พร้อมเปิดร้านที่เมืองแฟรงก์เฟิร์ต ก่อนที่ในปี 1925 ความต้องการของแผ่นรองรองเท้าก็สูงขึ้นเรื่อยๆ และถูกขายทั่วยุโรป
มาในปี 1932 ลูกของ Konrad ชื่อ Carl Birkenstock ก็ได้เปิดคอร์สหลักสูตรพิเศษที่สอนเกี่ยวกับการทำรองเท้าเพื่อสุขภาพ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จจนในปี 1948 มีหนังสือออกมาชื่อ Podiatry –The Carl Birkenstock System
ถัดมาที่ปี 1963 ลูกชายของ Carl ที่ชื่อ Karl Birkenstock ก็ได้ผลิตรองเท้ารุ่นแรกของแบรนด์ Birkenstock ที่ชื่อ Madrid ที่มีสายคาดเดียวหรือที่เรียกว่า Single-Strap ก่อนที่ในปี 1973 จะผลิตรองเท้ารุ่น Arizona ที่กลายเป็นรองเท้ารุ่นขายดีที่สุดของ Birkenstock จนถึงทุกวันนี้
มาที่ปี 2013 แบรนด์ Birkenstock ก็ขยายตัวมาเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่แบบเต็มตัว พร้อมได้ Oliver Reichert มาเป็นซีอีโอ ซึ่งสำนักข่าว CNN ระบุว่าทุกวันนี้รองเท้า Birkenstock มีขายอยู่ใน 100 ประเทศ พร้อมดีไซน์มามากกว่า 800 รูปแบบ และมาวันนี้ Birkenstock ก็มีพนักงานกว่า 5,500 คนทั่วโลก และแค่ในปี 2019 ทาง Financial Times ของอังกฤษก็รายงานว่าทางแบรนด์ผลิตรองเท้าไปเกือบ 24 ล้านคู่ในปีเดียว และทำยอดขายไปกว่า 720 ล้านปอนด์!
ดีไซน์ Birkenstock พิเศษตรงไหน?
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่า Birkenstock มีแท็กไลน์ว่า Often Copied, Never Equalled ซึ่งคุณสมบัติพิเศษของรองเท้าทุกคู่ก็ต้องยกให้พื้นรองเท้าเหมือนจุดเริ่มต้นของแบรนด์ โดยพื้นรองเท้าก็มีอยู่ 4 ชั้น
- ชั้นแรก: พื้นรองเท้า Birkenstock ทุกคู่จะทำมาจากปอกระเจา จุกไม้ก๊อกธรรมชาติ และแกนน้ำยาง
- ชั้นที่สอง: ทำจากจุกไม้ก๊อกและยางพาราที่เป็นหัวใจสําคัญของรองเท้า Birkenstock โดยจุกไม้ก๊อกและยางพาราจะมีความยืดหยุ่นสูง สามารถดูดซับแรงกระแทก รองรับเท้า และบรรเทาแรงกดที่เท้า แถมวัสดุธรรมชาตินี้จะป้องกันความร้อนและความเย็นเพื่อสร้างอุณหภูมิที่เหมาะสมให้กับเท้าของเรา
- ชั้นที่สาม: ตัวรองเท้าจะนำปอกระเจาวางไว้รอบๆ ด้านข้างของฐานเท้าอีกครั้ง ซึ่งสิ่งนี้จะเพิ่มความยืดหยุ่นของฐานเท้าและทําให้รองเท้าทนทานมากขึ้น
- ชั้นที่สี่: รองเท้าจะใช้ซับหนังนิ่มที่มีคุณสมบัติดูดซับความชื้นของฝ่าเท้า ซึ่งวัสดุชั้นบนสุดคุณภาพสูงนี้ช่วยการันตีว่าจะไม่เกิดความอับชื้นบริเวณฝ่าเท้าของเรา
Birkenstock เริ่มเป็นที่รู้จักในกลุ่มแฟชั่นได้อย่างไร?
ในยุค 90 รองเท้า Birkenstock ก็เริ่มเป็นที่รู้จักในกลุ่มคนแฟชั่นหลัง Kate Moss ได้ใส่ถ่ายแบบนิตยสาร The Face ที่ช่วยแจ้งเกิดเธอ และพอมาในปี 2012 ดีไซเนอร์หญิงแห่งยุค Phoebe Philo ก็ได้ทำเวอร์ชันพิเศษที่แบรนด์ Celine ด้วยการเอาขนมิงก์มาใส่ตรงพื้นรองเท้ารุ่น Arizona ซึ่งก็ได้รับฉายาว่า Furkenstock และเป็นไอเท็มสุดฮิต
มาในปี 2020 ทาง Birkenstock ได้เปิดหน่วยพิเศษชื่อ 1774 ที่จะดูแลการทำโปรเจ็กต์คอลลาบอเรชันกับแบรนด์ลักชัวรีเจ้าอื่น ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วเพราะได้ทำคอลเล็กชันกับทั้ง Rick Owens, Proenza Schouler, Valentino และ Dior มาแล้ว โดยต่อไปเราก็เชื่อว่าจะมีอีกหลายแบรนด์ที่มาร่วมโปรเจ็กต์ ทั้งแบรนด์ยักษ์ใหญ่ และแบรนด์ Niche ลงมาระดับภูมิภาคหรือประเทศ
โควิดส่งผลกระทบอะไรต่อ Birkenstock ไหม?
แม้ยอดขายของหลายแบรนด์จะลดลงอย่างมากเพราะสถานการณ์โควิด แต่สำหรับ Birkenstock กลับทำให้แบรนด์ดังมากยิ่งขึ้นจนเกิด Demand Over Supply เพราะในช่วงล็อกดาวน์คนทั่วโลกก็ต้องการรองเท้าใส่อยู่บ้านที่สบาย แต่ก็ยังสไตลิชอยู่ ซึ่ง Birkenstock ก็ตอบโจทย์สิ่งนี้ได้ดี
โดยจากการเก็บสถิติของแพลตฟอร์ม Lyst รองเท้ารุ่น Arizona ก็กลายเป็นไอเท็มที่ถูกเสิร์ชมากที่สุดในไตรมาส 2/20 ในหมู่สินค้าของผู้หญิง ซึ่งเพิ่มขึ้นสูงถึง 225% แถมในปี 2020 นิตยสาร British Vogue ก็ได้เรียก Birkenstock เป็นรองเท้าแตะแห่งปี ส่วนนิตยสารเบอร์หนึ่งของวงการรองเท้าอย่าง Footwear News ก็ยกให้เป็นแบรนด์แห่งปี
อนาคตของ Birkenstock จะเป็นอย่างไร?
ในปี 2021 ทาง L Catterton บริษัทร่วมทุนของ LVMH ก็เข้าซื้อกิจการ Birkenstock ซึ่งถึงแม้ไม่มีการเปิดเผยตัวเลขการซื้อขาย แต่จากการประเมินมูลค่าของแบรนด์โดย Bloomberg คาดว่า Birkenstock อาจมีมูลค่าสูงถึง 4 พันล้านยูโร หรือเกือบ 1.5 แสนล้านบาท
โดยเชื่อว่าจากการซื้อกิจการในครั้งนี้จะช่วยให้ Birkenstock มีจุดขายและร้านค้ามากยิ่งขึ้นทั่วโลก พร้อมขยายฐานผลิตที่ตอนนี้มี 5 โรงงานหลักที่เยอรมนี ซึ่ง Birkenstock เป็นแบรนด์รองเท้าเพียงไม่กี่แบรนด์ของโลกที่เป็นเจ้าของทุกสัดส่วนของกระบวนการผลิตรองเท้า โดยไม่มีการใช้ Outsource ใดๆ ทั้งสิ้น
มากไปกว่านั้น Birkenstock ก็คงมีการต่อยอดและพัฒนาไลน์สินค้าอื่นๆ ที่อาจไม่ได้เป็นที่รู้จักเท่ารองเท้า ทั้งไลน์สกินแคร์ชื่อ BIRKENSTOCK NATURAL SKIN CARE และไลน์เตียงนอน
ที่ทั้งคู่ก็มีการเอาไม้ก๊อกมาเป็นหนึ่งในวัตถุดิบสำคัญ
ภาพ: Birkenstock
