หากมองไปบนท้องถนนในวันนี้เราจะพบว่า รถรุ่นใหม่หลายๆ รุ่นได้กลายเป็น ‘รถยนต์ไฟฟ้า’ เรียบร้อยแล้ว
พฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันไปใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่าในปี 2565 จะมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ที่ประมาณ 10,000 คัน ขยายตัวมากกว่า 412.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ทั้งศูนย์วิจัยกสิกรไทยและ เอบีม คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลที่ตรงกันว่า หนึ่งในความท้าทายของผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าในวันนี้คือ ‘จำนวนจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่เพียงพอ’
เพื่อตอบโจทย์ของผู้บริโภคให้สมกับคำว่า ‘Center of Life’ หรือ ‘ศูนย์กลางการใช้ชีวิต’ ทำให้ ‘เซ็นทรัลพัฒนา’ ไม่รีรอที่จะเข้ามาคลายกังวลในเรื่องนี้
เพราะตอนนี้ทาง ‘เซ็นทรัลพัฒนา’ จับมือกลุ่ม ปตท. และ อีโวลท์ ในการติดตั้งสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้าใน ‘ศูนย์การค้าเซ็นทรัล’ 37 แห่งทั่วประเทศ รวมแล้วกว่า 400 ช่องจอด ซึ่งใช้เม็ดเงินลงทุนกว่า 200 ล้านบาท
เป้าหมายของเซ็นทรัลพัฒนาคือการตอบรับการเดินทางในทุกๆ วัน (Short Haul) หรือจะเดินทางแบบเมืองเชื่อมเมือง (Long Haul) สะท้อนการเป็นศูนย์กลางของทุกจังหวัด ท่องเที่ยวได้จากเหนือจรดใต้ผ่าน 37 สาขา กว่า 18 จังหวัดทั่วประเทศ เพราะเราสามารถจอดชาร์จรถแล้วไปทำธุระต่างๆ ในศูนย์การค้าเซ็นทรัล เมื่อกลับมารถก็ชาร์จเต็ม สามารถเดินทางได้อย่างหายห่วงอีกครั้ง
“เรากำลังก้าวสู่อนาคตในการช่วยเหลือโลก และส่งต่อโลกที่น่าอยู่ให้กับคนในเจเนอเรชันถัดไป” วัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าว “ขณะเดียวกันเมื่อเราขยายสถานีฯ กว่า 400 ช่องจอด ภายในสิ้นปีนี้จะทำให้เรามีสถานีฯ มากที่สุด และเป็นเบอร์ 1 ในกลุ่มศูนย์การค้าของไทย”
สำหรับความโดดเด่นของจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในเซ็นทรัล คือ
- จุดชาร์จครอบคลุมทั่วประเทศ ทำให้เกิด Worry-Free Journey การเดินทางแบบไร้กังวล
- ความสะดวกสบาย ชาร์จไฟกับรถยนต์ได้ทุกแบรนด์ ทุกค่าย
- สถานที่และระบบชาร์จมีมาตรฐานและความปลอดภัยสูง
- ได้รับสิทธิประโยชน์มากมายจากกลุ่มเซ็นทรัล ส่งเสริม Eco-Lifestyle Marketing ทั้งโปรโมชันและส่วนลด อาทิ ชาร์จฟรี 1 ชั่วโมงแรก เมื่อช้อปในศูนย์การค้าครบ 800 บาท สิทธิพิเศษมีจำนวนจำกัด เฉพาะ 1 เดือนแรก เพื่อสนับสนุนการใช้รถ EV ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนไทย และร่วมกันดูแลโลกและสิ่งแวดล้อม
ขณะเดียวกัน ‘กลุ่ม ปตท.’ โดย บริษัท อรุณ พลัส จำกัด (ARUN PLUS) ซึ่งเป็นผู้พัฒนาสถานีอัดประจุสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ภายใต้แบรนด์ ออน-ไอออน (on-ion EV Charging Station) ก็ได้ยืนยันว่า พลังงานไฟฟ้าที่ได้รับเป็นพลังงานสะอาดที่มาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน 100% ด้วยการออกใบรับรองการใช้พลังงานหมุนเวียน หรือ Renewable Energy Certificates (RECs) และเป็นพลังงานหมุนเวียนที่ผลิตในประเทศไทยทั้งหมด
ด้าน ‘อีโวลท์’ ได้กล่าวว่า การร่วมมือกับเซ็นทรัลพัฒนาในครั้งนี้ นับเป็นการร่วมมือครั้งสำคัญเพื่อเพิ่มศักยภาพในการขยายเครือข่ายสถานีชาร์จให้ผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าให้แข็งแกร่งและครอบคลุมมากขึ้น เข้าถึงสถานีชาร์จได้ง่ายขึ้น
โดยอีโวลท์พร้อมเปิดให้ใช้บริการเต็มรูปแบบภายในปี 2565 ผ่าน EVolt Application ทั้งระบบ iOS และ Android พร้อมทีมงานที่ช่วยให้คำปรึกษาอย่างรวดเร็วตลอด 24 ชั่วโมงผ่านทุกช่องทาง ทั้ง Call Center 0 2114 7343 หรือ LINE: @evolt_th
เบื้องต้นเฟสแรกคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคม หลังจากนั้นจะมีการขยายให้ครบตามแผนภายในสิ้นปี นอกจากติดตั้งเครื่องชาร์จแบบ AC หรือ Alternating Current แล้ว ในอนาคตยังมีแผนที่จะขยายให้เป็นแบบ DC หรือ Direct Current ซึ่งจะทำให้สามารถชาร์จได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
นอกจากการติดตั้งสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้าในศูนย์การค้าเซ็นทรัลแล้ว ทางเซ็นทรัลพัฒนายังได้มีแผนขยายสู่ธุรกิจอื่นๆ เช่น ที่อยู่อาศัย โรงแรม และอาคารสำนักงาน โดยคาดว่าจะมีส่วนช่วยในการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ประเทศไทยได้มากกว่า 5,250 ตันต่อปี
ทั้งหมดนี้ได้เข้ามาตอกย้ำ ‘เซ็นทรัลพัฒนา’ ที่เป็นเบอร์ 1 ของวงการศูนย์การค้าและอสังหาริมทรัพย์ไทย ซึ่งมุ่งหน้าในการเป็นองค์กร Mixed-Use Developer รายแรกสู่ Net Zero ภายในปี 2593 ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในศูนย์การค้ามาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงพัฒนาศูนย์การค้าในรูปแบบ Eco-Friendly Mall เติมเต็มมิติของการใช้ชีวิตให้กับกลุ่มลูกค้ารักษ์โลก ได้แก่ เซ็นทรัล อีสต์วิลล์, เซ็นทรัล ศรีราชา และเซ็นทรัล อยุธยา รวมถึงมีจุดบริการส่งเสริมพฤติกรรมดูแลสิ่งแวดล้อมอย่าง EV-Charger, Recycling Station และจุดทิ้งดี
โดย ‘เซ็นทรัลพัฒนา’ มีแผนงานโรดแมปลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และมลพิษจากธุรกิจสุทธิเป็นศูนย์ ผ่านการลดการใช้พลังงานให้ได้ 50% ลดการใช้ CFC และสารที่ทำลายชั้นบรรยากาศ และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดหรือ Clean Energy ให้ได้อีก 50% รวมถึงปลูกต้นไม้ให้ได้ 1 ล้านต้นอีกด้วย
