×

เคยลาออกจากการเป็นมนุษย์เงินเดือนไปทำธุรกิจของตัวเองแล้วเจ๊ง จะกลับมาทำงานออฟฟิศได้ไหมครับ

09.05.2019
  • LOADING...
consider returning to office job

HIGHLIGHTS

4 Mins. Read
  • ผมคิดว่าเราขับเคลื่อนด้วยแพสชันอันแรงกล้าอย่างเดียวไม่พอ จริงอยู่ครับว่าคนที่ประสบความสำเร็จทุกคนล้วนเป็นคนมีแพสชัน แต่ไม่ใช่คนที่มีแพสชันทุกคนจะประสบความสำเร็จ
  • ณ ตอนนี้มันทำออกมาไม่เวิร์ก ไม่ได้แปลว่าในอนาคตจะไม่เวิร์ก และไม่ได้แปลว่าทำอย่างอื่นจะไม่เวิร์กไปหมด ตอนนี้เราเริ่มใหม่ได้ครับ ถ้าอยากกลับมาเป็นมนุษย์ออฟฟิศก็ไม่มีอะไรเสียหายเลย ผมคิดว่าคุณ ณ ตอนนี้ก็ได้ประสบการณ์หลายอย่างที่สามารถนำมาปรับใช้กับงานมนุษย์เงินเดือนได้ อย่างน้อยที่สุดการเป็นคนที่ล้มแล้วลุกขึ้นใหม่ก็เป็นต้นทุนที่แข็งแรงมากแล้วสำหรับการเป็นมนุษย์คนหนึ่ง
  • ผมคนหนึ่งล่ะที่เคยลาออกไปทำธุรกิจของตัวเองและมันไม่เป็นไปตามที่หวังไว้ ผมเจ็บก็เยอะ แต่ได้บทเรียนเยอะกว่า ผมได้เรียนรู้ว่าผมไม่ได้เหมาะที่จะอยู่ในครัวแบบที่ผมเคยคิดว่าผมน่าจะทำได้ แต่ผมเกิดมาเขียนหนังสือ เกิดมาเป็นมนุษย์แห่งการสื่อสาร ทุกวันนี้ก็กลับมาทำงานออฟฟิศ มีชีวิตอยู่ดี มีความสุขมาก เผลอๆ มากกว่าตอนที่ทำธุรกิจของตัวเองด้วยซ้ำ แต่ผมไม่เคยเสียใจเลยแม้แต่น้อยกับการตัดสินใจลาออกครั้งนั้น ผมถือว่ามันคือหนึ่งในการตัดสินใจที่ดีที่สุดที่ผมเคยทำมาในชีวิต เพราะทุกเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นเป็นบทเรียนให้ผมหมดเลย

Q: ผมเคยลาออกจากชีวิตมนุษย์เงินเดือนเพื่อไปทำตามความฝันของตัวเองคือการทำธุรกิจของตัวเอง ปรากฏว่าทำแล้วเจ๊ง เงินทุนก็จะหมดลงทุกที เครียดมากครับ พี่ครับ ผมเคยล้มเหลวแบบนี้ ผมจะกลับไปสมัครงานออฟฟิศได้อยู่ไหมครับ ยังมีคนรับผมไหม คนจะมองว่าผมล้มเหลวไหมครับ

 

A: ทุกคนมีความฝันครับ ตอนเราฝันมันเต็มไปด้วยความหวัง เรามองเห็นภาพความสำเร็จยิ่งใหญ่ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ถูกแล้วครับที่ชีวิตเราต้องขับเคลื่อนด้วยความฝัน และก็ต้องบ้าพอที่จะกล้าลงมือทำให้มันเป็นจริง

 

แต่ตอนเป็นความฝันกับตอนลงมือทำจริงมันเหมือนหนังคนละเรื่องเลย คุณว่าไหมครับ

 

หลายคนบอกว่าถ้าจะทำตามความฝันก็ไปให้สุดทางไปเลยแบบไม่ต้องคิดจะย้อนกลับมา ให้คิดว่านี่เป็นหนทางเดียวในชีวิตที่เราจะอยู่กับมัน อารมณ์เดียวกับจะไปออกรบก็ทุบหม้อข้าวแล้วไปออกศึกเลย ถ้าไม่ชนะก็ตายในสนาม ถ้าเป็นเพลงพุ่มพวงก็คือบอกว่า ‘ไม่เด่นไม่ดังจะไม่หันหลังกลับไป’ คิดแบบนี้มุมหนึ่งก็ถูกครับ เพราะถ้าจะลงมือทำอะไรสักอย่างก็ต้องทำให้สุดฝีมือ ใช้ชีวิตอยู่กับมันจนหลอมชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งที่เราทำ ต้องมีแพสชันอันแรงกล้าในการผลักดัน ทำอย่างคนที่ไม่คิดจะทำสิ่งอื่นแล้ว และเลือกแล้วว่านี่คือสิ่งเดียวที่เราจะทำ

 

แต่อีกมุมหนึ่ง ในชีวิตจริง ผมคิดว่าเราขับเคลื่อนด้วยแพสชันอันแรงกล้าอย่างเดียวไม่พอ จริงอยู่ครับว่าคนที่ประสบความสำเร็จทุกคนล้วนเป็นคนมีแพสชัน แต่ไม่ใช่คนที่มีแพสชันทุกคนจะประสบความสำเร็จ

 

เราทุ่มเทจริงจังกับความฝันของเราได้ครับ แต่ในชีวิตจริงเราน่าจะมีแผนสอง แผนสาม แผนสี่ ฯลฯ เอาไว้หน่อย ไม่ใช่เป็นการดูถูกฝีมือตัวเองนะครับ แต่ผมคิดว่าเราต้องมองเห็นความเป็นไปได้ในชีวิตให้หมด เวลาสิ่งที่เราตั้งใจทำมันเวิร์กขึ้นมา เรายังคิดแผนต่อเลยว่าจะทำอย่างไรให้มันเติบโตต่อ แต่เราต้องมีแผนสำรองไว้บ้างครับว่า ถ้ามันไม่เวิร์กขึ้นมาล่ะ เราจะทำอย่างไร คิดมันตั้งแต่วันที่เรามีความฝัน มีพลังพลุ่งพล่านนี่แหละครับ เพราะมันช่วยเบรกเราให้อยู่กับความจริงได้ สำเร็จก็เป็นความจริง ไม่เป็นตามความฝันก็เป็นความจริงหมด เราอยู่กับมันได้หมด คิดไว้ก่อน เพราะถึงเวลาที่มันไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวัง เราจะได้มีทางเดินต่อ

 

ผมคิดว่าน่าดีใจมากๆ ที่คุณได้ลงมือทุ่มเทสุดชีวิตทำตามความฝันของคุณ ผมคิดว่าคุณได้บทเรียนเยอะกว่าการที่คุณยังปล่อยให้เป็นแค่ความฝัน ในแง่ธุรกิจมันอาจจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ในแง่ประสบการณ์ ถ้าคุณได้เรียนรู้ ไม่มีทางที่คุณจะเรียกตัวเองว่าล้มเหลวได้เลยครับ

 

ธุรกิจอาจจะเจ๊งได้ แต่เรื่องประสบการณ์เราต้องไม่ปล่อยให้มันเจ๊งได้ครับ คุณลงมือทำนี่แหละได้บทเรียนยิ่งกว่านั่งฟังสปีชเท่ๆ จากนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จเยอะ เพราะคุณได้เรียนด้วยตัวเอง

 

ผมเห็นมนุษย์เงินเดือนหลายคนอี๋ชีวิตมนุษย์เงินเดือนที่ตัวเองมีอยู่ เพราะมันดูช่างจำเจ ดูอยู่ในกรอบ มันไม่เท่เหมือนการเป็นเจ้าของธุรกิจ ยิ่งแปะคำว่าสตาร์ทอัพไปด้วยแล้วยิ่งโคตรเท่ แต่ผมคิดว่ามันเป็นการดูโลกที่เปลือกและปลอมมากๆ มันไม่มีอะไรเท่กว่ากัน ไม่มีอะไรควรได้คุณค่ามากกว่ากัน มันอยู่ที่ว่าโจทย์ในชีวิตของเราที่มีอยู่ตอนนี้เราเหมาะกับอะไร และอยู่ได้อย่างมีความสุขกับชีวิตแบบไหน เป็นมนุษย์เงินเดือนก็เท่ได้ มีความสุขได้ มีความทุกข์ได้ เป็นเจ้าของธุรกิจก็เท่ได้ มีความสุขได้ มีความทุกข์ได้ ไม่ต่างกันเลย ไม่ใช่ทุกคนที่จะเหมาะกับการเป็นมนุษย์เงินเดือน เช่นเดียวกัน ไม่ใช่ทุกคนที่จะเหมาะเป็นเจ้าของกิจการ และผมคิดว่าเราควรมองข้ามความเท่ที่ทั้งเปลือกและปลอมไปสู่การทำงานที่เรามีอยู่ให้มีคุณค่าอย่างแท้จริงและเติบโตงอกงามได้จะดีกว่า

 

ณ ตอนนี้มันทำออกมาไม่เวิร์ก ไม่ได้แปลว่าในอนาคตจะไม่เวิร์ก และไม่ได้แปลว่าทำอย่างอื่นจะไม่เวิร์กไปหมด ตอนนี้เราเริ่มใหม่ได้ครับ ถ้าอยากกลับมาเป็นมนุษย์ออฟฟิศก็ไม่มีอะไรเสียหายเลย ผมคิดว่าคุณ ณ ตอนนี้ก็ได้ประสบการณ์หลายอย่างที่สามารถนำมาปรับใช้กับงานมนุษย์เงินเดือนได้ อย่างน้อยที่สุด การเป็นคนที่ล้มแล้วลุกขึ้นใหม่ก็เป็นต้นทุนที่แข็งแรงมากแล้วสำหรับการเป็นมนุษย์คนหนึ่ง

 

สิ่งที่ผมคิดว่าคุณต้องตอบตัวเองให้ได้ก็คือ คุณได้บทเรียนอะไรบ้างจากการทำธุรกิจของตัวเองในครั้งนั้น ในแง่ธุรกิจ อะไรคือสิ่งที่ทำแล้วดี อะไรคือสิ่งที่น่าจะทำได้ดีกว่านี้ และถ้ามันจะดีกว่านี้ได้ต้องทำอย่างไร และในแง่ประสบการณ์ คุณได้เรียนรู้อะไรบ้าง คุณเปลี่ยนไปอย่างไร และทั้งหมดทั้งมวลนั้นคุณจะเอามาใช้ต่อยอดได้อย่างไรบ้าง มันอาจจะเป็นคำถามที่บริษัทมองหาในตัวคุณ แต่ต่อให้บริษัทไม่ถาม ผมคิดว่าคุณก็ควรถามและตอบตัวเองให้ได้

 

จำตอนที่คุณมีแพสชันแรงกล้ากับการทำธุรกิจของตัวเองได้ไหมครับ ตอนนั้นคุณคงคิดว่าเราจะทำนั่น เราจะทำนี่ และคุณก็สู้สุดชีวิตเพื่อเป้าหมายของตัวเอง ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าผลลัพธ์มันจะออกมาเป็นอย่างไร ลองคิดแบบนี้กับการกลับมาเป็นมนุษย์เงินเดือนสิครับ แต่บวกเอาประสบการณ์ที่คุณเคยได้จากตอนทำธุรกิจมาเป็นเลนส์มองชีวิตใหม่ แล้วลองถามตัวเองว่า แล้วถ้าเราจะเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ดี ที่โคตรเจ๋งเลย เราจะทำอะไรบ้างให้เป็นแบบนั้นได้

 

ความฝันบางอย่างมันไม่ได้สูญสลายไปเพราะมันไม่ประสบความสำเร็จหรอกครับ มันอาจต้องการเวลาและประสบการณ์บางอย่าง และเมื่อถึงเวลาที่พร้อมจริงๆ และความฝันยังอยู่ คุณจะลงมือทำมันอีกรอบก็ได้ หรือมันอาจจะแปลงร่างไปเป็นความฝันอย่างอื่นก็ได้ มองข้ามความสำเร็จและความล้มเหลวไปบ้าง แล้วคิดว่าเราจะเอาอย่างไรกับโจทย์ชีวิตที่อยู่ตรงหน้าและใช้ชีวิตต่อไป คนอื่นมองว่าอย่างไรยังไม่เท่ากับคุณมองตัวเองว่าคุณล้มเหลวหรือเปล่าเลยครับ

 

ก่อนหน้านี้ผมบอกคุณว่า คนที่ประสบความสำเร็จทุกคนมีแพสชันเป็นส่วนประกอบ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มีแพสชันจะประสบความสำเร็จ ถึงตรงนี้ผมอยากบอกคุณว่าแพสชันอย่างเดียวไม่พอที่จะทำให้คนประสบความสำเร็จได้หรอกครับ

 

มันต้องการบทเรียนเป็นต้นทุนชีวิตด้วย และผมคิดว่าคุณมีมากทีเดียว และยังมีมากกว่าเดิมได้อีก

 

ผมจะบอกเรื่องหนึ่งเผื่อจะทำให้คุณมีกำลังใจมากขึ้น ผมคนหนึ่งล่ะที่เคยลาออกไปทำธุรกิจของตัวเองและมันไม่เป็นไปตามที่หวังไว้ ผมเจ็บก็เยอะ แต่ได้บทเรียนเยอะกว่า ผมได้เรียนรู้ว่าผมไม่ได้เหมาะที่จะอยู่ในครัวแบบที่ผมเคยคิดว่าผมน่าจะทำได้ แต่ผมเกิดมาเขียนหนังสือ เกิดมาเป็นมนุษย์แห่งการสื่อสาร ทุกวันนี้ก็กลับมาทำงานออฟฟิศ มีชีวิตอยู่ดี มีความสุขมาก เผลอๆ มากกว่าตอนที่ทำธุรกิจของตัวเองด้วยซ้ำ แต่ผมไม่เคยเสียใจเลยแม้แต่น้อยกับการตัดสินใจลาออกครั้งนั้น ผมถือว่ามันคือหนึ่งในการตัดสินใจที่ดีที่สุดที่ผมเคยทำมาในชีวิต เพราะทุกเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นเป็นบทเรียนให้ผมหมดเลย

 

ใช่ครับ ผมก็เคยล้มเหลว เคยรู้สึกล่มสลาย แต่บทเรียนหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้ก็คือ เราต้องลุกขึ้นให้มากกว่าจำนวนครั้งที่เราล้ม

 

มาเล่าให้ผมและทุกคนฟังบ้างนะครับว่าคุณได้เรียนรู้อะไรบ้าง ผมคนหนึ่งล่ะที่อยากรู้

 

เป็นกำลังใจให้ครับ

 

ส่งคำถามดราม่าในที่ทำงานที่คุณสงสัยมาได้ที่อีเมล [email protected] หรืออินบ็อกซ์ไปที่ FB: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์

 

ภาพประกอบ: Nisakorn Rittapai

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising