Colin Huang วัย 44 ปี อดีตวิศวกรของ Google ผู้ก่อตั้ง Pinduoduo และ Temu แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชื่อดัง กลับมาผงาดอีกครั้งในฐานะมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของจีน ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 1.7 ล้านล้านบาท (4.86 หมื่นล้านดอลลาร์) แซงหน้า Zhong Shanshan ราชาแห่งน้ำดื่มบรรจุขวด ที่ครองตำแหน่งนี้มาตั้งแต่เดือนเมษายน 2021
เส้นทางสู่ความสำเร็จของ Colin Huang เริ่มต้นจากการเป็นเด็กหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ด้านคณิตศาสตร์ จนได้เข้าเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงของหางโจว ก่อนจะจบการศึกษาจาก Zhejiang University ด้วยปริญญาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ และเดินทางไปศึกษาต่อปริญญาโทที่ University of Wisconsin ในปี 2002
หลังสำเร็จการศึกษา Colin Huang กลับมาจีนเพื่อช่วยก่อตั้ง Google China และก่อตั้งบริษัทแรกของเขาเองในปี 2007 ก่อนจะขายบริษัทในปี 2010 เพื่อเริ่มต้นบริษัทใหม่ที่ช่วยให้บริษัทต่างๆ ทำการตลาดบนเว็บไซต์อย่าง Taobao ของ Alibaba หรือ JD.com แต่แล้วในปี 2013 เขาต้องเกษียณอายุตัวเองก่อนวัยอันควรเนื่องจากปัญหาสุขภาพ และในช่วงเวลานั้นเองที่เขาเริ่มต้นสร้าง Pinduoduo
Pinduoduo โด่งดังจากการขายสินค้าราคาถูกและโปรโมชันสุดคุ้มค่า Colin Huang เคยกล่าวไว้ในปี 2018 ว่า “Pinduoduo ไม่ได้เกี่ยวกับการทำให้คนเซี่ยงไฮ้รู้สึกว่าพวกเขากำลังใช้ชีวิตแบบชาวปารีส แต่เกี่ยวกับการทำให้แน่ใจว่าคนในมณฑลอานฮุยจะมีกระดาษชำระในครัวและผลไม้สด เป้าหมายไม่ใช่แค่การขายของถูก แต่คือการทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าพวกเขาได้ของดีในราคาที่คุ้มค่า”
ความสำเร็จของ Pinduoduo ทำให้ Colin Huang กลายเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในช่วงระยะเวลาสั้นๆ โดยมูลค่าทรัพย์สินของเขาเคยพุ่งสูงถึง 2.5 ล้านล้านบาท (7.15 หมื่นล้านดอลลาร์) ในช่วงต้นปี 2021 อย่างไรก็ตาม ความมั่งคั่งของเขาลดลงอย่างรวดเร็วถึง 87% ภายในเวลาประมาณหนึ่งปี เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน
ขณะเดียวกัน Colin Huang หลีกเลี่ยงสปอตไลต์หลังก้าวลงจากตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ PDD ในปี 2020 และออกจากคณะกรรมการในฐานะประธานในปี 2021 เนื่องจากปักกิ่งเริ่มปราบปรามยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของจีน (เขากล่าวว่า เขากำลังศึกษาความสนใจส่วนตัวเกี่ยวกับอาหารและวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต ตามจดหมายถึงผู้ถือหุ้น)
แต่แล้ว PDD Holdings Inc. บริษัทแม่ของ Pinduoduo ก็กลับมาผงาดอีกครั้ง แม้จะไม่ยิ่งใหญ่เท่าเดิมแต่ก็มีความมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการขยายธุรกิจนอกประเทศจีนภายใต้แบรนด์ Temu ที่ช่วยชดเชยความอ่อนแอของเศรษฐกิจภายในประเทศ
Temu ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วในสหรัฐอเมริกาหลังจากเปิดตัวในเดือนกันยายน ปี 2022 โดยมุ่งเป้าไปที่ชาวอเมริกันที่กำลังเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ ด้วยการนำเสนอสินค้าราคาถูกที่ไม่มีแบรนด์และจัดส่งโดยตรงจากจีน
PDD รายงานรายได้ประมาณ 1.23 ล้านล้านบาท (3.5 หมื่นล้านดอลลาร์) ในปีที่แล้ว เพิ่มขึ้น 90% จากปี 2022
“ในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าผู้คนกำลังมองหาความคุ้มค่าสูงสุดสำหรับเงินของพวกเขา ผู้คนกำลังมองหาราคาที่ต่ำ” Neil Saunders นักวิเคราะห์ค้าปลีกของ GlobalData Retail กล่าว “ดังนั้นนี่จึงเป็นช่วงเวลาที่เปล่งประกายสำหรับร้านค้าปลีกที่เน้นราคาประหยัดอย่าง Temu”
อย่างไรก็ตาม การเติบโตอย่างรวดเร็วนำมาซึ่งการตรวจสอบทั้งในและต่างประเทศ แม้หลังจากการสอบสวนสภาพการทำงานหลังการเสียชีวิตของพนักงานในปี 2021 PDD ยังคงเรียกร้องให้พนักงานทำงานตั้งแต่เวลา 11.00-23.00 น. 6 วันต่อสัปดาห์ บวกกับการทำงานล่วงเวลา ซึ่งเป็นรูปแบบการทำงานที่เรียกว่า ‘996’ ที่บริษัทอย่าง ByteDance และ Alibaba พยายามหลีกเลี่ยงหลังจากการตรวจสอบจากรัฐบาลปักกิ่ง
ข้อเสนอสินค้าราคาถูกสุดๆ ของ Temu ยังนำไปสู่ความไม่พอใจที่เพิ่มขึ้นในหมู่ผู้ค้าและผู้ขายบุคคลที่สามบางราย ซึ่งรู้สึกว่า PDD กำลังบีบพวกเขาเพื่อหารายได้มากขึ้น
ในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา มีการชุมนุมประท้วงต่อต้าน Temu หลายครั้ง โดยในกรณีหนึ่ง มีผู้ค้ารายย่อยหลายร้อยคนตะโกนคำขวัญนอกสำนักงานสาขาของ Temu ในกวางโจว เพื่อประท้วงสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าการลงโทษที่ไม่เป็นธรรมของบริษัท
ในสหรัฐอเมริกา ธุรกิจขนาดเล็กก็สังเกตเห็นการเติบโตอย่างรวดเร็วของ Temu เช่นกัน ปัจจุบันบริษัทใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ทางการค้าที่อนุญาตให้จัดส่งสินค้าปลอดภาษีได้สูงถึง 800 ดอลลาร์ (ประมาณ 28,000 บาท) เข้าสู่สหรัฐอเมริกา โดยส่งพัสดุขนาดเล็กจากคลังสินค้าในจีนไปยังชาวอเมริกันแต่ละคน ซึ่งตอนนี้หลายคนกำลังผลักดันให้ลดเกณฑ์ดังกล่าวลงเหลือ 10 ดอลลาร์ (ประมาณ 350 บาท)
อย่างไรก็ตาม PDD มีส่วนร่วมในแคมเปญส่งเสริมการขายเชิงรุก รวมถึงการใช้จ่ายหลายล้านดอลลาร์ในการโฆษณาของ Temu ในช่วงพักครึ่งของ Super Bowl นอกจากนี้ยังมีแบนเนอร์ที่สะดุดตาบนเว็บไซต์ Temu เช่น ‘Shop Like a Billionaire’ หรือ ‘ช้อปเหมือนมหาเศรษฐีพันล้าน’
“Temu ในขณะนี้เป็นเรื่องของการเติบโตทั้งหมด ดึงดูดผู้คนให้เข้าชมเว็บไซต์ ให้พวกเขาซื้อสินค้า จากนั้นหากพวกเขาติดมากขึ้น พวกเขาอาจจะเริ่มอดทนมากขึ้นหากเราขึ้นราคาเล็กน้อย ดังนั้นฉันคิดว่าสำหรับ Temu แล้วมันอยู่ในยุคของการแย่งชิงดินแดน” นักวิเคราะห์ค้าปลีกของ GlobalData Retail กล่าวย้ำ
ภาพ: Visual China Group via Getty Images
อ้างอิง: