×

บทวิเคราะห์ CNN ชี้ การเผชิญหน้าของมหาอำนาจเข้าสู่ยุคอันตราย หลังจีนปล่อยตัวชาวแคนาดา แลกคืนอิสรภาพ ‘เมิ่งหว่านโจว’

โดย THE STANDARD TEAM
28.09.2021
  • LOADING...
Meng Wanzhou

การปล่อยตัวชาวแคนาดาสองคนในทันทีหลังจากที่ เมิ่งหว่านโจว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน และบุตรสาวผู้ก่อตั้งบริษัท Huawei ยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคมของจีน ได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระนั้น ถือเป็นสัญญาณที่น่าหนักใจว่าโลกกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ของการเผชิญหน้าระหว่างชาติมหาอำนาจ

 

ชาวแคนาดาสองคนถูกทางการจีนควบคุมตัวในข้อหาจารกรรม ไม่นานหลังจากที่เมิ่งถูกจับกุมและกักตัวที่เมืองแวนคูเวอร์ของแคนาดาในเดือนธันวาคม 2018 ตามหมายจับของสหรัฐฯ ในข้อหาฉ้อโกงจากการลักลอบทำธุรกิจกับอิหร่าน

 

การคืนอิสรภาพดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงที่ซับซ้อนระหว่างจีนกับทางการสหรัฐฯ หลังการเจรจาทางการทูตอย่างเข้มข้น ซึ่งภายใต้ข้อตกลงนี้ สหรัฐฯ ได้ยินยอมชะลอการดำเนินคดีออกไป และจะไม่ดำเนินคดีต่อเมิ่งจนกว่าจะถึงเดือนธันวาคมปีหน้า หากเธอปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลกำหนด และคดีจะถูกยกเลิกในท้ายที่สุด ในขณะที่เมิ่งไม่ได้รับสารภาพผิด แต่ยอมรับว่าตนรับรู้เรื่องการปลอมแปลงเอกสารงบการเงิน

 

โดยขณะที่เมิ่งบินข้ามมหาสมุทรเพื่อเดินทางกลับแผ่นดินเกิด ซึ่งมีเพื่อนร่วมชาติรอต้อนรับเธอเยี่ยงวีรสตรีนั้น ชาวแคนาดาสองคน ได้แก่ ไมเคิล คอร์วิก และ ไมเคิล สเปเวอร์ ก็บินข้ามมหาสมุทรเช่นกัน แต่ในทิศทางตรงกันข้าม ซึ่งความเคลื่อนไหวที่เห็นได้ชัดว่าเป็นการแลกเปลี่ยนตัวกันนั้น ถือเป็นการยุติมหากาพย์ความขัดแย้งที่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างแคนาดากับจีน และวอชิงตันกับปักกิ่ง มายาวนานเกือบ 3 ปี

 

ตอนจบของเรื่องนี้ไม่ได้ช่วยลบล้างความเข้าใจที่ว่า จีนจับตัวชาวแคนาดาเพื่อใช้เป็นเครื่องต่อรอง แม้ว่าปักกิ่งจะปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าคดีนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน โดยสื่อทางการของจีนรายงานว่า คอร์วิกและสเปเวอร์ได้รับการประกันตัวด้วยเหตุผลทางการแพทย์ หลังจากทั้งคู่ยอมรับผิดในคำสารภาพที่เป็นลายลักษณ์อักษร ในขณะที่ไม่มีรายงานว่ารัฐบาลแคนาดาออกมาแถลงว่าชายทั้งสองรับสารภาพผิด

 

CNN วิเคราะห์ว่า ภาพชาวจีนจำนวนมากที่แห่มารอต้อนรับและให้กำลังใจเมิ่งที่สนามบินในเมืองเซินเจิ้น มณฑลกวางตุ้งนั้น คือฉากหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้ลัทธิชาตินิยม และนับเป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อเพื่อเชิดชูประธานาธิบดีสีจิ้นผิง พร้อมทั้งตอกย้ำว่า รัฐบาลชาตินิยมของสีพยายามแสดงให้พี่น้องร่วมชาติเห็นว่าการที่จีนมีข้อพิพาทกับประเทศอื่นๆ นั้น เป็นความพยายามของคู่แข่งที่จ้องจะสกัดการผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจของโลกโดยชอบธรรมของจีน

 

แต่ถ้าจะให้พูดอย่างเป็นธรรม ก็ต้องยอมรับว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ความขัดแย้งดีขึ้นในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยหลายครั้งเป็นทรัมป์เองที่เพิ่มน้ำหนักให้กับข้อกล่าวอ้างของจีนที่ว่าการจับกุมเมิ่งเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมือง จากการที่ออกมาบอกเป็นนัยว่าเขาอาจใช้เมิ่งเป็นเครื่องมือในการต่อรองข้อตกลงการค้ากับปักกิ่ง

 

ขณะที่ข้อความจากฝั่งของปักกิ่งนั้นชัดเจนกว่า กล่าวคือ หากบริษัทจีนมีปัญหากับระบบกฎหมายของชาติตะวันตก รัฐบาลปักกิ่งก็พร้อมที่จะเข้ามาจัดการยื่นข้อเสนอให้ผลประโยชน์ทางธุรกิจของตนพ้นโทษ แลกกับการที่คนของชาติตะวันตกจะไม่ต้องถูกลงโทษในจีน

 

สถานการณ์เช่นนี้ย่อมไม่ส่งผลดีต่อธุรกิจ วัฒนธรรม สื่อ และการแลกเปลี่ยนบุคคลระหว่างสหรัฐฯ กับจีนเป็นแน่ และอาจทำให้กรอบความคิดของสงครามเย็นที่เป็นอันตรายนั้นเด่นชัดและรุนแรงยิ่งขึ้น

 

ภาพ: Ma Jun / VCG via Getty Images

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising