×

CIMBT หั่นคาดการณ์ GDP ไทยปีนี้จาก 3.3% เหลือ 3.0% หลังเศรษฐกิจจีนชะลอแรงกว่าคาด ห่วงปัญหาภัยแล้ง หนี้ครัวเรือนซ้ำเติม

05.09.2023
  • LOADING...
คาดการณ์ GDP

ซีไอเอ็มบี ไทย ปรับคาดการณ์ GDP ปี 2566 เหลือ 3.0% และ ปี 2567 เหลือ 3.5% ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน คาดแบงก์ชาติจบรอบดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25% ขณะที่เงินบาท ณ สิ้นปีจะอยู่ที่ระดับ 34.50 บาทต่อดอลลาร์

 

อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า จากเศรษฐกิจจีนชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อการส่งออก สำนักวิจัยฯ ได้ปรับคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยปีนี้ ชะลอตัวกว่าที่คาดการณ์ไว้ในตอนแรกที่ 3.3% โดยคาดว่า GDP ปี 2566 จะอยู่ที่ 3.0% และ ปี 2567 อยู่ที่ 3.5% จากเดิมคาดที่ 3.7% ปัจจัยหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจอยู่ที่ภาคบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว และการใช้จ่ายของกลุ่มผู้มีรายได้ระดับกลางถึงสูงซึ่งมีกำลังซื้อที่แข็งแกร่ง ท่ามกลางการรอคอยการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐที่คาดว่าจะเห็นเป็นรูปธรรมในไตรมาส 2/67 

 

ทั้งนี้ สำนักวิจัยมีความเป็นห่วงในประเด็นการขยายตัวที่ไม่ทั่วถึงของเศรษฐกิจไทย กำลังซื้อระดับล่างยังอ่อนแอ และถูกซ้ำเติมด้วยปัญหาภัยแล้งและหนี้ครัวเรือนสูง มีเพียงเครื่องยนต์ด้านท่องเที่ยวที่ยังแข็งแกร่ง แต่การท่องเที่ยวไทยยังกระจุกตัวเพียงเมืองท่องเที่ยวหลัก 

 

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2567 ต้องจับตาเศรษฐกิจโลกและนโยบายภาครัฐ ซึ่งจะมีผลต่อองค์ประกอบของการคาดการณ์ GDP เช่น การส่งออก การท่องเที่ยว การบริโภค การลงทุนของภาครัฐและเอกชน โดยสำนักวิจัยได้จัดทำ 3 สมมุติฐานทางเศรษฐกิจ ได้แก่ กรณีดี กรณีแย่ และกรณีเลวร้าย ดังนี้

 

กรณีดี 

สหรัฐฯ สามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์ Soft Landing ได้ ขณะที่จีนอัดฉีดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อขับเคลื่อนการเติบโต และไม่เกิดปัญหาหนี้ในกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ และปัญหาฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ 

 

การส่งออกของไทยฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วในช่วงไตรมาส 4 ส่งผลให้ทั้งปีการส่งออกหดตัวน้อยกว่าคาดที่ -2.1% ปีนี้ และขยายตัวมากกว่า 0.6% ปีหน้า จำนวนนักท่องเที่ยวเติบโตสูงเกินคาดหรือมากกว่า 28.4 ล้านคนปีนี้ และ 34 ล้านคนปีหน้า 

 

นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลสามารถดำเนินการได้ก่อนสิ้นปี 2566 โดยมีเป้าหมายเพื่ออัดฉีดเงินให้ภาคครัวเรือนที่มีรายได้น้อยและกระตุ้นการบริโภค อีกทั้งมีเสถียรภาพทางการเมืองสร้างความเชื่อมั่นดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และความเชื่อมั่นของนักลงทุนให้สูงขึ้น 

 

กรณีแย่ 

เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นกินเวลานาน ส่วนจีนเผชิญการชะลอตัวยิ่งขึ้นจากการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทและฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ 

 

การส่งออกของไทยเติบโตเล็กน้อยท่ามกลางอุปสงค์ทั่วโลกที่อ่อนแอ ส่วนการท่องเที่ยวยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ 

 

นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเริ่มดำเนินการได้ในไตรมาส 2/67 หลังจากได้รับอนุมัติงบประมาณ กระตุ้นการบริโภคและการลงทุน และอาจมี FDI ย้ายฐานการลงทุนมาไทยบ้าง 

 

กรณีเลวร้าย 

เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ชะลอตัวเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิคในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ขณะที่จีนเผชิญภาวะชะลอตัวที่รุนแรงยิ่งขึ้น แต่ยังคงเติบโตเหนือ 4% ในปี 2567  

 

การส่งออกชะลอท่ามกลางปัญหาอุปสงค์และห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกที่อ่อนแอ ขณะที่รายได้จากการท่องเที่ยวเติบโตช้ากว่าคาด 

 

นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลล่าช้าไปเป็นครึ่งปีหลังของปี 2567 ส่งผลกระทบซ้ำให้การบริโภคภาคครัวเรือนของผู้มีรายได้น้อย ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้งรุนแรง 

 

สำหรับทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย อาจสิ้นสุดการขึ้นอัตราดอกเบี้ยรอบนี้ที่ 2.25% เพื่อหยุดยั้งการคาดหวังอัตราเงินเฟ้อสูงในอนาคต จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 

 

ขณะที่เงินบาทคาดว่าจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ สืบเนื่องจากการคาดการณ์ว่าสหรัฐฯ จะเริ่มหั่นดอกเบี้ยในปี 2567 และเงินบาทน่าจะแข็งค่าขึ้น รายได้จากการท่องเที่ยวไทยที่แข็งแกร่งขึ้น คาดเงินบาทจะอยู่ที่ระดับ 34.50 บาทต่อดอลลาร์ในปลายปี 2566 และระดับ 33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปลายปี 2567   

 

ปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำ 

 

  1. Decoupling เศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีนแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งปัญหาสงครามการค้า สงครามเทคโนโลยี กระทบห่วงโซ่อุปทานและภาคการส่งออกของไทยและภูมิภาคอาเซียน 

 

  1. De-dollarization ลดการพึ่งพิงเงินดอลลาร์สหรัฐ แม้ดอลลาร์สหรัฐยังเป็นสกุลหลักในการใช้จ่ายและชำระหนี้ต่างประเทศ แต่จะมีสกุลเงินอื่นโดยเฉพาะเงินหยวน (ใช่ในกลุ่ม BRICS) เข้ามาใช้ในระบบการเงินโลกมากขึ้น ถึงจะยังไม่สามารถทดแทนดอลลาร์สหรัฐได้ แต่ก็อาจส่งผลให้อัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวนได้ 

 

  1. Disinflation เงินเฟ้อต่ำ โดยเฉพาะจากจีนที่เผชิญปัญหาเงินฝืดช่วงเศรษฐกิจขยายตัวต่ำลง ราคาสินค้ามีแนวโน้มลดลง ซึ่งจะกระทบนโยบายการเงินในภูมิภาคเอเชียให้ยิ่งแตกต่างกับสหรัฐฯ ที่ยังเผชิญปัญหาเงินเฟ้อและจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูง 

 

  1. Digitization เศรษฐกิจไทยเข้าสู่ยุคดิจิทัล ซึ่งมาตรการรัฐในอนาคตจะออกมาในรูปแบบนี้มากขึ้น มีส่วนช่วยให้เกิดการตรวจสอบแหล่งที่มาของเงินด้วยเทคโนโลยี Blockchain แต่ SMEs และธุรกิจเล็กๆ ในต่างจังหวัดอาจไม่สามารถปรับตัวเข้าสู่เทคโนโลยีได้ทันรายใหญ่ และอาจสร้างความเหลื่อมล้ำมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลใหม่น่าจะหาทางช่วยให้ SMEs เข้าถึงโครงการใหม่นี้ด้วย 

 

  1. Democracy Movement เป็นการแสดงออกทางการเมืองในประเทศ มีการเรียกร้องการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ให้มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ซึ่งอาจมีความเปราะบางทางการเมือง หรือเกิดความขัดแย้งทางการเมืองขึ้นอีกก็เป็นได้ จนกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน 
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising