1
โบราณคดีคือเครื่องมือหนึ่งของการสร้างชาติ ไทยเองเคยใช้โบราณคดีค้นหารากเหง้าของความเป็นไทย เห็นได้ชัดในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม (ความจริงใช้กันมาตั้งแต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์แล้ว) หรือกรณีของนาซีก็ใช้วิชาโบราณคดีเพื่อค้นหาต้นกำเนิดของชาวอารยันที่เชื่อว่ามีมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ทั้งนี้เพื่อยืนยันว่าชาวอารยันคือต้นกำเนิดของอารยธรรมโลก ไม่เว้นแม้แต่จีนที่ใช้ความรู้ทางโบราณคดีเพื่อปลุกกระแสชาตินิยมและสร้างชาติให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
การค้นพบสุสานของจิ๋นซีฮ่องเต้ถือเป็นการค้นพบทางโบราณคดีครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของจีน แต่การค้นพบครั้งนี้ไม่ได้มีคุณค่าเฉพาะในแง่ของความรู้เท่านั้น หากแต่ยังสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองของจีนเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อไม่กี่วันมานี้ ถือเป็นโชคดีของชาวไทยที่ได้รับโอกาสพิเศษจากทางรัฐบาลให้นำกองทัพทหารดินเผา (ปิงหมาหย่ง) ของจักรพรรดิจิ๋นซี รวมถึงโบราณวัตถุอื่นๆ มาจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ภายใต้ชื่อนิทรรศการว่า ‘จิ๋นซีฮ่องเต้: จักรพรรดิองค์แรกของแผ่นดินจีนกับกองทัพทหารดินเผา’ (Qin Shi Huang: The First Emperor of China and Terracotta Warriors) ซึ่งถ้าใครไม่ไปชมนับว่าน่าเสียดายมาก ไม่เช่นนั้นคงต้องเดินทางไปดูของจริงถึงเมืองซีอานกันเลยทีเดียว
แต่อย่างไรก็ตาม ผมอยากจะชวนให้ผู้อ่านได้มองด้วยว่าเวลาที่เราดูนิทรรศการที่จัดแสดงโบราณวัตถุอันล้ำค่าไม่ว่าที่ใดก็ตามนั้น เราไม่ควรมองแค่คุณค่า ความเก่าแก่ และความสวยงามของวัตถุเท่านั้น หากยังอาจต้องลองเชื่อมโยงเข้ากับบริบททางประวัติศาสตร์และความหมายอื่นๆ ที่แนบมาพร้อมกับนิทรรศการด้วย นิทรรศการเรื่องจิ๋นซีฮ่องเต้ที่กำลังจัดแสดงนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงความน่าตื่นเต้นในทางโบราณคดีเท่านั้น หากแต่ยังสัมพันธ์กับการเมืองและการนำเสนอความยิ่งใหญ่ของจีนสู่สายตาชาวโลกด้วย
2
ก่อนหน้าการค้นพบกองทัพทหารดินเผา พระราชประวัติของจิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิพระองค์แรกของจีน (The First Emperor) ได้ถูกนำมาใช้เพื่อส่งเสริมนโยบายในการสร้างเอกภาพของจีนให้เป็นปึกแผ่นในหมู่ของนักชาตินิยม ทั้งนี้เพราะพระองค์ถือเป็นจักรพรรดิพระองค์แรกที่จัดการกับความวุ่นวายทางการเมืองและสามารถรวมชาติจีนเป็นปึกแผ่นได้สำเร็จ
หลังจากปี 1911 อันเป็นปีที่เกิดการปฏิวัติซินไฮ่ เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในจีนให้เป็นระบอบสาธารณรัฐ ราชวงศ์ชิงจึงได้หมดอำนาจลง ในช่วงเวลาหลังจากนั้นจีนต้องเผชิญกับปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองและความขัดแย้งทางอุดมการณ์ตามมามากมาย ทำให้เหล่าปัญญาชนและนักชาตินิยมต้องแสวงหาต้นแบบที่จะสร้างสำนึกให้คนในชาติรู้สึกถึงความเป็นเอกภาพอีกครั้ง
ด้วยเหตุนี้เอง พระราชประวัติของจิ๋นซีฮ่องเต้จึงได้รับการส่งเสริมอย่างมาก ปัญญาชนนักปฏิวัติอย่าง เซี่ยอี้ซาน ได้อธิบายจิ๋นซีฮ่องเต้ในฐานะที่เป็นผู้สร้างชาติจีนและต่อสู้เพื่อปกป้องวัฒนธรรมจีนให้พ้นการรุกรานจากพวกป่าเถื่อนนอกกำแพงเมืองจีน
หรืออย่างนักชาตินิยมอย่าง กู้เจี๋ยกัง ได้เขียนหนังสือประวัติศาสตร์ที่เน้นเรื่องราวของวีรบุรุษสำคัญของจีน เขาได้ยกย่อง เจียงไคเชก ว่ามีจิตใจที่ต้องการรวมชาติให้เป็นปึกแผ่นอีกครั้ง ไม่ต่างจากที่จักรพรรดิพระองค์แรกได้เคยสร้างวีรกรรมเอาไว้
อุดมการณ์ของชาติที่ใช้เรื่องราวของจิ๋นซีฮ่องเต้นั้นได้ส่งผ่านไปยังเยาวชนด้วย ที่สำคัญคือในช่วงปี 1972-1973 ได้มีการตีพิมพ์ประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ฉินและจิ๋นซีฮ่องเต้ออกมามากถึง 185 ล้านเล่ม เขียนโดย หงซือตี้ เขาได้พรรณนาให้จักรพรรดิอยู่ในสถานะของบุคคลที่มีจิตใจต้องการรวมชาติอันยิ่งใหญ่และก้าวหน้า อีกทั้งเป็นผู้ผลักดันให้ประชาชนเดินบนเส้นทางที่ก้าวหน้าและยิ่งใหญ่
ในหนังสือแบบเรียนนี้เขาได้สอดแทรกประโยคที่จะทำให้เด็กเกิดจิตสำนึกของความสามัคคีขึ้น เช่น ประโยคที่กล่าวว่า “สิ่งเร่งด่วนของมหาชนในเวลานี้คือการสร้างความเป็นเอกภาพ” หรือ “สถาปนาชาติด้วยการรวมรัฐอันหลากหลายเข้าด้วยกัน” ดังเช่นที่จักรพรรดิพระองค์แรกเคยกระทำมาแล้ว และยังได้สอดแทรกลงไปอีกด้วยว่าเยาวชนจีนต้องร่วมกันต่อสู้กับผู้รุกรานจากภายนอก (ซึ่งในเวลานั้นหมายถึงสหภาพโซเวียต) ไม่ต่างจากที่จักรพรรดิพระองค์แรกได้สร้างกำแพงเมืองจีนขึ้นเพื่อต่อต้านการรุกรานจากพวกอนารยชนนอกกำแพงเมืองจีนคือพวกซงหนู
ถึงตรงนี้ถ้าสรุปอย่างสั้นๆ ก็คือจิ๋นซีฮ่องเต้ได้กลายเป็นต้นแบบของการสร้างชาติจีนที่เป็นปึกแผ่นและเป็นเอกภาพ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สังคมจีนกำลังเผชิญกับความวุ่นวายทางการเมืองอย่างหนัก
3
หลังจากที่ประวัติศาสตร์ของจิ๋นซีฮ่องเต้มีสถานะเป็นทั้งตำนานหรือประวัติศาสตร์มาช้านานนับตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น ซึ่งบางครั้งก็สร้างความไม่น่าเชื่อถืออยู่บ้าง แต่แล้วในปี 1974 ชาวนาที่กำลังขุดบ่อน้ำก็ได้ไปพบกับทหารดินเผาที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินเข้า ทำให้ทางการจีนตื่นเต้นมากกับการค้นพบดังกล่าว
เหมาเจ๋อตุง ตื่นเต้นกับการค้นพบดังกล่าวนี้มาก เพราะเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงการมีตัวตนจริงของจักรพรรดิจิ๋นซี งบประมาณจำนวนมหาศาลจึงถูกทุ่มลงไปยังการขุดค้นทางโบราณคดีอย่างเต็มรูปแบบ และถือเป็นวาระเร่งด่วนของชาติในเวลานั้น ไม่นานนัก กองทัพทหารดินเผา โบราณวัตถุต่างๆ ที่ทำจากสำริดและทอง และรถม้าศึกก็ได้เผยสู่ชาวโลก
การค้นพบสุสานของจิ๋นซีฮ่องเต้ที่เต็มไปด้วยกองทัพทหารดินเผาและโบราณวัตถุสำริดต่างๆ นั้นทำให้นักโบราณคดีและนักชาตินิยมตีความไปมากมาย นับตั้งแต่การมองว่าจีนเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่มาช้านาน และเป็นหนึ่งในต้นกำเนิดอารยธรรมของโลก ไม่ได้เป็นชาติที่ล้าหลังดังเช่นที่ตะวันตกเข้าใจ ดังจะเห็นได้จากความรู้ด้านการหล่อสำริดที่มีความก้าวหน้าเป็นอย่างสูง โดยเฉพาะจากบรรดารถม้าศึกสำริด
การค้นพบกองทัพทหารดินเผายังช่วยสะท้อนว่าจีนเป็นชาติที่เคยมีกองทัพอันเกรียงไกรและยิ่งใหญ่มาก่อน ถ้าเราพิจารณาจากบริบททางการเมืองที่โลกคอมมิวนิสต์กำลังขับเคี่ยวทางการทหารกับโลกเสรีคือสหรัฐอเมริกาแล้วจะช่วยทำให้เราเข้าใจได้ว่าการค้นพบกองทัพทหารที่มีการจัดตั้งอย่างทันสมัย (ในโลกโบราณ) นี้ช่วยทำให้จีนเกิดความภาคภูมิใจในชาติของตนเป็นอย่างมาก
นอกจากนั้นการค้นพบสุสานนี้ช่วยเน้นย้ำให้คนทั่วโลกมองจีนในภาพอื่น ไม่ใช่ชาติที่ล้าหลัง แต่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์และสังคมที่ก้าวหน้ามานับพันปี อีกทั้งยังสะท้อนถึงความสามารถของผู้นำในทางเศรษฐกิจ การจัดการรัฐ และเทคโนโลยี การค้นพบนี้เองที่กลายเป็นพาหนะที่ส่งสารให้คนทั่วโลกมองเห็นความก้าวหน้าของจีน
4
นโยบายการเปิดประเทศของ เติ้งเสี่ยวผิง ในช่วงทศวรรษที่ 1980 นั้น กองทัพทหารดินเผาของจิ๋นซีฮ่องเต้ได้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่แสดงความมีอารยะและความก้าวหน้าของจีน ด้วยเหตุนี้เองทำให้นิทรรศการ The Great Bronze Age of China ที่นำไปจัดแสดงยัง The Metropolitan Museum of Art สหรัฐอเมริกา จึงมีความหมายเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากช่วยสะท้อนถึงความยิ่งใหญ่ของจีนแล้วยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา และส่งสัญญาณต่อโลกทั้งหมดให้รู้ว่า จีนไม่ใช่มังกรที่หลับใหลอีกต่อไปในนิทรรศการดังกล่าว เครื่องสำริดจำนวน 85 ชิ้น ทหารดินเผาจำนวน 6 ตัว ม้า 2 ตัว และโบราณวัตถุอื่นๆ ได้ถูกนำไปจัดแสดง
หลังจากนั้นจีนก็ได้ส่งเสริมการนำกองทัพทหารดินเผาและโบราณวัตถุต่างๆ ไปจัดแสดงนิทรรศการยังต่างประเทศอีกหลายครั้ง โดยเฉพาะที่สหรัฐอเมริกา เช่น นิทรรศการเรื่อง Son of Heaven (โอรสแห่งสวรรค์) จัดแสดงในปี 1988 หรือนิทรรศการ The Golden Age of Chinese Archaeology (ยุคทองของโบราณคดีจีน) จัดแสดงในปี 1999
นิทรรศการพวกนี้ไม่ว่าจะเป็นนิทรรศการเล็กหรือใหญ่ก็ตาม ได้ช่วยขับเน้นให้เห็นภาพความเจริญทางศิลปะ วัฒนธรรม และการสงครามของจีนในอดีตที่สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือนิทรรศการไม่เป็นเพียงการนำเสนอประวัติศาสตร์หรือโบราณคดีเท่านั้น หากแต่ยังแนบไปพร้อมกับนัยทางการเมืองอีกด้วย
นิทรรศการจิ๋นซีฮ่องเต้ที่กำลังจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ด้านหนึ่งย่อมสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนในวาระครบ 44 ปี แต่อีกด้านหนึ่งคือการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของไทยที่ต้องการกระชับกับจีนมากขึ้น และอาจรวมถึงความพยายามให้คนไทยเปลี่ยนการรับรู้ต่อจีนในฐานะชาติที่มีอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ด้วย
ภาพส่วนหนึ่งจาก Shutterstock
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง:
- Miller, Bryan K. “The First Emperor of Qin: Between Legend, Science, and Nationalism,” Stanford Journal of Archaeology, Vol.1 (2002).
- ขอขอบคุณ ผศ.ดร.ศิริวรรณ วรชัยยุทธ สาขาวิชาภาษาจีน คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ช่วยอ่านและตรวจสอบความถูกต้อง