×

อ่านแผนปรับทิศทางจีนปี 2023 มีจุดเน้นใหม่อะไรบ้าง

07.03.2023
  • LOADING...

ในทุกๆ ปีของการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีน (National People’s Congress: NPC) นายกรัฐมนตรีของจีนจะรายงานผลการทำงานของรัฐบาลและเป้าหมายแผนงานในอนาคต รายงานประจำปีของนายกรัฐมนตรีต่อสภา NPC จึงสะท้อนทิศทางของจีนที่ทั่วโลกจับตามอง โดยเฉพาะในปีนี้ เป็นการปรับทิศทางหลังจากที่จีนประกาศเปิดประเทศ China’s Reopening และปรับมาใช้นโยบายอยู่กับโควิด

 

จากการวิเคราะห์รายงานของรัฐบาลจีนต่อ NPC ในปี 2023 แม้ว่าในภาพรวมยังคงเน้นการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและเพิ่มคุณภาพการพัฒนาประเทศควบคู่ไปกับการรักษาเสถียรภาพทางสังคม แต่ก็มีหลายประเด็นที่มีการปรับเป้าหมายเพื่ออัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจจีนให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง บทความนี้จึงจะมาวิเคราะห์และเปรียบเทียบในแต่ละประเด็น โดยเฉพาะมีด้านใดบ้างที่ปรับเปลี่ยนไปจากแผนเดิมในปี 2022 ที่ผ่านมา ดังนี้

 

ประเด็นแรก ด้านการจ้างงาน มีการปรับเป้าหมายเพิ่มตำแหน่งงานใหม่ในเขตเมืองเป็น 12 ล้านตำแหน่ง (จากเดิมปีที่แล้วตั้งเป้าการจ้างงานไว้ที่ 11 ล้านตำแหน่ง) โดยเน้นการจ้างงานของคนหนุ่มสาว เนื่องจากในปีที่ผ่านมายังคงมีตัวเลขการว่างงานของคนรุ่นใหม่จีนในช่วงอายุ 16-24 ปี เฉลี่ยสูงถึงเกือบร้อยละ 20 (ตัวอย่างเช่น ในเดือนกรกฎาคมปีที่แล้วสูงถึงร้อยละ 19.9) เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจจีนที่ค่อนข้างซบเซาจากการใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์ที่ตึงเกินไป รวมทั้งรัฐบาลจีนตระหนักถึงความสำคัญกับคนรุ่นใหม่และเยาวชน โดยเฉพาะพลังการเคลื่อนไหวของคนหนุ่มสาวจีนกลุ่มนี้มีความอ่อนไหวทางการเมืองได้ง่าย ในปี 2022 ที่ผ่านมา จีนมีนักศึกษาจบใหม่ในระดับมหาวิทยาลัยราว 10.7 ล้านคน ที่กำลังก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงาน รัฐบาลจีนจึงเน้นดูแลกลุ่มนี้เป็นสำคัญ

 

ทั้งนี้ เป้าหมายอัตราการว่างงานในเมืองที่มีการสำรวจในแผนปีนี้ ตั้งเป้าหมายไว้ที่ราวร้อยละ 5.5

 

ประเด็นที่สอง ด้านนโยบายการคลัง เพื่ออัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจ ในปี 2023 มีการขยายเป้าหมายการขาดดุลงบประมาณเป็นร้อยละ 3 ต่อ GDP (เพิ่มขึ้นจากเป้าหมายเดิมร้อยละ 2.8 ในปีที่ผ่านมา) เพื่อเน้นอัดฉีดงบประมาณกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศและการลงทุนของภาคเอกชน เพื่อสร้างความคึกคักทางเศรษฐกิจให้กลับคืนมา เช่น นโยบายการคลังแบบขยายตัว ผ่านการใช้มาตรการลดหย่อนภาษีและค่าธรรมเนียม การขอคืนภาษีและการเลื่อนชำระภาษี เป็นต้น

 

อย่างไรก็ดี มีการปรับมาเน้นควบคุมการก่อหนี้ของรัฐบาลท้องถิ่นจีน โดยในปี 2023 ตั้งเป้าหมายลดปริมาณการออกพันธบัตรใหม่ของรัฐบาลท้องถิ่นลงเหลือ 3.8 ล้านล้านหยวน (จากเดิม 4.15 ล้านล้านหยวนในปีที่ผ่านมา) สะท้อนการหันมาควบคุมการก่อหนี้สาธารณะของรัฐบาลท้องถิ่น เพื่อป้องกันการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่เกินตัวจนเป็นสาเหตุแห่งปัญหาหนี้ประชาชาติ ซึ่งในขณะนี้ปัญหาหนี้ประชาชาติของจีนรวมกันอยู่ในระดับสูงเกือบร้อยละ 300 ของ GDP จีน (หนี้สาธารณะ + หนี้ภาคเอกชน + หนี้รัฐบาลท้องถิ่น) รัฐบาลกลางของจีนจึงต้องการปรับลดการขาดดุลงบประมาณในส่วนของรัฐบาลท้องถิ่น เพื่อลดความเสี่ยงและจัดการปัญหาหนี้สาธารณะของรัฐบาลท้องถิ่นที่ซุกใต้พรมมานาน

 

ประเด็นที่สาม ด้านการลงทุน ปรับจากเดิมที่กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลงทุนภาครัฐ หันมาเน้นกำกับดูแลการก่อหนี้สาธารณะของรัฐบาลท้องถิ่นจีนมากขึ้น เพื่อลดการลงทุนภาครัฐในท้องถิ่นที่เกินตัว (ลด G ของรัฐบาลท้องถิ่น) โดยปรับมาเน้นสนับสนุนการลงทุนภาคเอกชนจีนมากขึ้น (เพิ่ม I ของภาคเอกชน) และส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (ดึงดูด FDI จากทุนต่างชาติ) สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนมากขึ้น โดยประกาศ ‘ส่งเสริมการก่อสร้างโครงการเชิงสัญลักษณ์ด้วยเงินทุนต่างประเทศ’

 

ในด้านการลงทุนภาคเอกชน จากรายงานต่อ NPC มีการประกาศจะเน้นปกป้องสิทธิในทรัพย์สินของกิจการเอกชนและสิทธิประโยชน์ของผู้ประกอบการตามกฎหมาย ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาและการเติบโตของเศรษฐกิจภาคเอกชนและกิจการของเอกชน

 

ประเด็นที่สี่ การเติบโตทางเศรษฐกิจ ในปี 2023 มีการตั้งเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจจีนไว้ราวร้อยละ 5 โดยเน้นกระตุ้นภาคการบริโภคให้มากขึ้น (เพิ่ม C การบริโภคในประเทศ) ควบคู่ไปกับการสนับสนุนการลงทุนภาคเอกชนให้มากขึ้น (เพิ่ม I ของภาคเอกชน) โดยในขณะนี้สัดส่วนภาคการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนจีนต่อ GDP คือร้อย 38 และร้อยละ 43 ตามลำดับ

 

ที่สำคัญคือ การเน้นดึงศักยภาพของชนบทจีน เพื่อสร้างกลุ่มผู้บริโภคในชนบทที่มีกำลังซื้อเป็นพลังบริโภคระลอกใหม่ของจีน ภายใต้แผนงานในปีนี้จึงมีการประกาศส่งเสริม ‘การฟื้นฟูชนบทของจีน’ อย่างจริงจัง หลังจากที่นโยบายขจัดความยากจนในจีนได้สำเร็จแล้ว จำเป็นต้องสร้างงานสร้างรายได้ให้กับชาวจีนในชนบทที่เคยยากไร้เหล่านี้ต่อไป รวมทั้งการเน้นพัฒนาอุตสาหกรรมในชนบทที่มีลักษณะเฉพาะ ขยายช่องทางการเพิ่มรายได้และสร้างความมั่งคั่งของเกษตรกร

 

นอกจากนี้มีการส่งสัญญาณในการผ่อนคลายและสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น เนื่องจากภาคอสังหาริมทรัพย์มีความสำคัญคิดเป็นสัดส่วนสูงราว 1 ใน 4 ของ GDP จีน จึงเป็นภาคเศรษฐกิจสำคัญที่มีผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีน ทั้งนี้ การผ่อนคลายในภาคอสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่การปล่อยมือทั้งหมด หากแต่ภาครัฐของจีนยังคงเข้าไปกำกับดูแลภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดการเก็งกำไรเหมือนในอดีตจากการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ไร้การกำกับดูแล และยังคงย้ำว่า ‘บ้านมีไว้อยู่อาศัย ไม่ใช่เพื่อเก็งกำไร’

 

ภาครัฐจะเน้นสนับสนุนความต้องการที่อยู่อาศัยและสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม แก้ปัญหาด้านที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ย้ายเข้าเมืองมาใหม่และคนหนุ่มสาวจีนรุ่นใหม่

ประเด็นที่ห้า ด้านเป้าหมายเงินเฟ้อ ในปีนี้รัฐบาลจีนตั้งเป้าหมายดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เพิ่มขึ้นที่ประมาณร้อยละ 3 เพื่อปรับระดับเงินเฟ้อที่เหมาะสมไม่ต่ำเกินไป ที่ผ่านมาจีนไม่ได้ประสบกับปัญหาเงินเฟ้อสูงดังเช่นหลายประเทศชั้นนำ (โดยเฉพาะสหรัฐฯ และชาติยุโรปมีเงินเฟ้อพุ่งสูงจนกระทบเศรษฐกิจโลก) ในทางตรงกันข้าม อัตราเงินเฟ้อของจีนค่อนข้างต่ำมาก (ล่าสุดอัตราเติบโตของ CPI อยู่ที่ร้อยละ 2.1 ต่อปี ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา) สะท้อนให้เห็นว่าแม้จะมีการยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์และผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ในหลายด้าน แต่ผู้บริโภคชาวจีนส่วนใหญ่ยังคงระมัดระวังในการใช้จ่ายและเน้นการเก็บออมมากขึ้น ดังนั้นการปรับเป้าหมายดัชนีเงินเฟ้อให้สูงขึ้นบ้างในระดับที่เหมาะสม สะท้อนทิศทางรัฐบาลจีนที่จะเน้นกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการบริโภคภายในประเทศให้มากขึ้นนั่นเอง

 

ประเด็นที่หก ด้านความมั่นคงทางการทหาร ตั้งเป้าหมายเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมขึ้นร้อยละ 7.2 ซึ่งสูงสุดในรอบ 4 ปี เพื่ออัดฉีดเพิ่มความเข้มแข็งให้กองทัพจีนด้วยวงเงินงบประมาณสูงถึง 1.55 ล้านล้านหยวน ภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งในประเด็น Geopolitics ที่ไม่แน่นอน และท่าทีที่แข็งกร้าวระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ภายใต้แนวทางการทูตนักรบหมาป่า (Wolf Warrior Diplomacy) ของจีน ที่เน้นการตอบโต้กับสหรัฐฯ แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน และย้ำจุดยืนในประเด็นไต้หวัน การต่อต้านการเรียกร้องเอกราชอย่างเด็ดขาดและส่งเสริมการรวมชาติ ส่งเสริมการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างช่องแคบอย่างสันติ และผลักดันกระบวนการรวมชาติมาตุภูมิอย่างสันติ รวมทั้งประเด็นฮ่องกงและมาเก๊า ที่จะเดินหน้าสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในฮ่องกงและมาเก๊าต่อไป

 

ประเด็นที่เจ็ด ด้านสิ่งแวดล้อม รัฐบาลจีนตั้งเป้าหมายอย่างชัดเจนและจริงจังในการปกป้องสิ่งแวดล้อมและเดินหน้าในการพัฒนาเชิงคุณภาพที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและคาร์บอนต่ำ โดยเฉพาะในด้านการควบคุมมลพิษ และเพิ่มสัดส่วนของพลังงานสะอาดในการใช้พลังงานทั้งหมดของจีนที่เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 20.8 เป็นมากกว่าร้อยละ 25

 

ประเด็นที่แปด ด้านการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ในแผนงานปีนี้รัฐบาลจีนยังคงเน้นผลักดันนโยบายด้านการวิจัยพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และวิทยาการชั้นสูง เดินหน้าเน้นการวิจัยพื้นฐาน (Basic Research) ในอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ เช่น อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อพึ่งพาตนเองอย่างแข็งแกร่งขึ้น รวมทั้งการยกระดับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า EV และพลังงานสะอาด เป็นต้น

 

นอกจากนี้ในด้านการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลจะหันมาเน้นการปรับปรุงระดับการกำกับดูแลให้เป็นมาตรฐาน (จัดระเบียบบิ๊กเทค) และสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจแพลตฟอร์มที่เน้นประโยชน์ของผู้ใช้เป็นสำคัญ

 

ประเด็นสุดท้ายคือมิติด้านสังคมและอื่นๆ ส่วนใหญ่เป็นการสานต่อสิ่งที่ดำเนินการอยู่แล้ว เช่น ด้านการศึกษา เน้นส่งเสริมคุณภาพและการพัฒนาที่สมดุลของการศึกษาภาคบังคับและการบูรณาการเขตเมืองและชนบท

 

สำหรับด้านการสาธารณสุขและการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรค ยังคงเดินหน้าส่งเสริมการฉีดวัคซีนบูสเตอร์โดสและการพัฒนายาใหม่ๆ สร้างหลักประกันและสร้างความมั่นคงด้านสาธารณสุขให้กับชาวจีนต่อไป ส่งเสริมทรัพยากรทางการแพทย์ที่มีคุณภาพสูงเพื่อให้ขยายเพิ่มขึ้นและมีความสมดุลในแต่ละภูมิภาค รวมทั้งการเดินหน้านโยบายประกันสังคม เช่น การเสริมสร้างระบบประกันผู้สูงวัย ปรับปรุงระบบนโยบายการสงเคราะห์บุตร เป็นต้น

 

โดยสรุปจากการวิเคราะห์แผนทิศทางจีนจากที่รายงานต่อ NPC ในปี 2023 นี้ ชัดเจนว่าถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลจีนจะต้องหันมาเน้นอัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากที่ต้องประสบกับปัญหาเศรษฐกิจอึมครึมซึมเซาจากมาตรการคุมเข้มของภาครัฐภายใต้นโนบายโควิดเป็นศูนย์ จนกระทบชีวิตความเป็นอยู่ของชาวจีนสร้างความอึดอัดใจให้คนจีนหลายกลุ่ม จนถึงขั้นมีการออกมาประท้วงรัฐบาลจีนในปีที่ผ่านมา และในที่สุด เมื่อต้นเดือนธันวาคม ปี 2022 ทางการจีนพลิกเกมยกเลิกมาตรการที่เข้มงวดต่างๆ โดยทันทีแบบไม่ทันตั้งตัว

 

นอกจากนี้รัฐบาลจีนชุดใหม่ภายใต้ (ว่าที่) นายกรัฐมนตรีของจีนคนใหม่คือ หลี่เฉียง ซึ่งคาดว่าจะเข้ามารับตำแหน่งนี้ครั้งแรกในเดือนมีนาคมปีนี้ ย่อมมีแรงกดดันและความคาดหวังสูง ทำให้ต้องเร่งอัดฉีดสร้างผลงานชิ้นโบว์แดงที่โดดเด่นให้ทะลุเป้าหมายเศรษฐกิจจีนเติบโตได้เกินกว่าร้อยละ 5 (แม้ว่าจะตั้งเป้าหมายทางการไว้ราวร้อยละ 5 ซึ่งไม่สูงเกินไป เพื่อว่าจะได้อ้างผลงานที่ดีเกินเป้าหากทำได้จริงในที่สุด)

 

ทั้งนี้ ภาพรวมทั้งหมดของทิศทางแผนการดำเนินงานทางเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนในปี 2023 นี้ยังคงสอดคล้องกับแนวนโยบายใหญ่ระดับชาติของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง คือโมเดลเศรษฐกิจวงจรคู่ (Dual Circulation Model) ที่เน้นการยืนบนขาตัวเอง ลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี นั่นคือลดการพึ่งพาโลกแต่จะดึงให้โลกต้องพึ่งพาจีน ผ่านการเพิ่มพลังการบริโภคระลอกใหม่ของชาวจีนและขยายตลาดภายในขนาดใหญ่ของจีนนั่นเอง

 

ภาพ: Kevin Frayer / Getty Images

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

X
Close Advertising