สถานทูตจีนประจำสหรัฐอเมริกาโพสต์ข้อความจากกระทรวงการต่างประเทศจีนผ่านช่องทาง X โดยประกาศเตือนว่า จีนมีความพร้อมที่จะ ‘ทำสงครามรูปแบบใดก็ได้’ กับสหรัฐฯ หลังตอบโต้มาตรการขึ้นภาษีศุลกากรต่อสินค้าจีนของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เพิ่งปรับเพิ่มภาษีขึ้นอีก 10% รวมเป็น 20%
“ถ้าสงครามคือสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นสงครามภาษี สงครามการค้า หรือสงครามรูปแบบอื่นๆ เราพร้อมที่จะต่อสู้จนถึงที่สุด”
นอกจากท่าทีที่แข็งกร้าวนี้แล้ว จีนยังดำเนินมาตรการตอบโต้ทางภาษี โดยเตรียมขึ้นภาษีสินค้าเกษตรที่นำเข้าจากสหรัฐฯ อีก 10-15% รวมทั้งจีนอาจร่วมมือกับประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ อย่างแคนาดาและเม็กซิโก ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์เช่นเดียวกัน เพื่อแสวงหาแนวทางร่วมที่เป็นประโยชน์แก่ทั้ง 3 ประเทศ
ส่วนความเคลื่อนไหวสำคัญของกลาโหมจีนล่าสุด หลี่เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ประกาศว่า จีนจะเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านกลาโหมอีก 7.2% ในปีนี้ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านนี้อาจสูงถึง 1.78 ล้านล้านหยวน (หรือราว 2.49 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) พร้อมเตือนว่า การเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเห็นในรอบทศวรรษกำลังเกิดขึ้นทั่วโลกอย่างรวดเร็ว
ด้านสำนักข่าว Xinhua รายงานว่า ทางการจีนปรับเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านกลาโหมเป็นตัวเลขหนึ่งหลักต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 แล้ว โดยในช่วง 5 ปีล่าสุดปรับเพิ่มจาก 6.8% ในปี 2021 เพิ่มขึ้นเป็น 7.1% ในปี 2022 และปรับเพิ่มขึ้นเป็น 7.2% ในช่วงตลอด 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2023-2025) โดยผู้เชี่ยวชาญมองว่า การพัฒนาเศรษฐกิจของจีน ความต้องการในการปรับปรุงการป้องกันประเทศ และความท้าทายด้านความมั่นคง เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การใช้จ่ายด้านกลาโหมของจีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ถ้าจะทำสงครามกับสหรัฐฯ จีนพร้อมแค่ไหน?
รศ. ดร.วาสนา วงศ์สุรวัฒน์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แสดงความเห็นว่า การที่ออกมาพูดว่าพร้อมสู้รบ พร้อมทำสงคราม ใครๆ ก็พูดได้ และถึงแม้จีนจะประกาศขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ บางจำพวกเพื่อตอบโต้ทรัมป์ แต่สิ่งที่ต้องตามดูคือสิ่งที่จีนตอบโต้นั้นเทียบได้ไหมกับสิ่งที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีจีน คำตอบของคำถามนี้ก็อาจสะท้อนได้แล้วว่าจีนจะสู้สหรัฐฯ ได้หรือไม่หากทำสงครามรูปแบบต่างๆ ระหว่างกัน
รศ. ดร.วาสนา อธิบายว่า ในประเด็นเรื่องการขึ้นภาษี สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าจีนมาอย่างยาวนาน ขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนก็อิงอยู่กับการที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ามหาศาล ถ้ามีสงครามภาษีเกิดขึ้น จะทำให้การค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ น้อยลง ส่งผลให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าจีนน้อยลง จีนจึงต้องเจ็บกว่ามากในสมรภูมิรบนี้
ถ้าหากจีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสหรัฐฯ มากยิ่งขึ้น ก็จะยิ่งทำให้สหรัฐฯ ค้าขายกับจีนน้อยลง และทำให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าจีนน้อยลงเข้าไปอีก รศ. ดร.วาสนา มองว่า สหรัฐฯ ถือไพ่เหนือกว่าจีนในขณะนี้ ถ้าต่างคนต่างขึ้นภาษีจะเจ็บทั้งสองประเทศ แต่สถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ จีนเจ็บกว่าแน่นอน
ส่วนประเด็นในแง่ความพร้อมของกองทัพจีน รศ. ดร.วาสนา ระบุว่า กองกำลังปลดแอกประชาชนจีน (PLA) เกิดความระส่ำระสายอย่างหนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะช่วง 1-2 ปีที่แล้ว จีนสั่งปลดรัฐมนตรีกลาโหมถึง 2 คน ยังไม่นับรวมนายพลระดับสูงในกองทัพอีกจำนวนหนึ่ง สะท้อนว่า ความพยายามในการปฏิรูปกองทัพของสีจิ้นผิง ตั้งแต่ปี 2015 มีแนวโน้มย่ำแย่ลง แม้ผ่านมานานเป็นสิบปี แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างเสถียรภาพภายในกองทัพได้
ดังนั้นคำถามที่ว่า จีนกับสหรัฐฯ จะรบหรือไม่รบกันนั้น ประเด็นไม่ได้อยู่แค่ที่ว่าสีจิ้นผิงอยากรบหรือไม่ แต่อีกคำถามที่อาจจะต้องตอบให้ได้คือสีจิ้นผิงคุมกองทัพของตัวเองอยู่หรือเปล่า เพราะสถานการณ์ของกองทัพจีนในช่วงเวลานี้อาจไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมแบบเบ็ดเสร็จของสีจิ้นผิงอย่างที่หลายคนเข้าใจ
จีน-สหรัฐฯ: ความสัมพันธ์ ‘แบบพึ่งพาอาศัย’
ขณะที่ อ.ดร.สุธาสินี พรสกุลไพศาล คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชวนตั้งข้อสังเกตว่า พอจีนมีสถานะที่ถูกมองว่า ‘เป็นรัฐมหาอำนาจ’ จึงเป็นการยากที่จีนจะบอกว่า ‘ไม่มีความพร้อม’ หากต้องสู้รบหรือทำสงครามด้านการทหารกับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจด้วยกันเอง
แต่ถึงแม้ว่าจีนจะแสดงความพร้อมในการทำสงครามมากน้อยแค่ไหน ประเด็นที่จีนพร้อมที่จะรับความเสี่ยงและตัดสินใจจะทำสงครามจริงๆ หรือไม่นั้นก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่อาจจะยังไม่แน่ชัด
ในขณะที่ถ้าหากเป็นสงครามภาษีหรือสงครามการค้า อ.ดร.สุธาสินี มองว่า มีความเป็นไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้ที่จีนเองก็จะต้องคำนึงถึงปัญหาภายในประเทศมากเป็นพิเศษ เนื่องจากเศรษฐกิจจีนและค่าเงินหยวนกำลังอยู่ในช่วงขาลง จีนจึงต้องพยายามออกนโยบายมากระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ
อ.ดร.สุธาสินี อธิบายว่า โดยทั่วไปแล้วจีนมีกำแพงภาษีต่อสินค้านำเข้าอยู่แล้ว การที่ประเทศอื่นๆ จะส่งสินค้าไปขายในจีนมีขั้นตอนซับซ้อน โดยท้องถิ่นของจีนจะต่างจากไทยตรงที่ ท้องถิ่นจีนมีอำนาจในการจัดเก็บภาษี ทำให้การนำสินค้าเข้าไปขายยังจีน ไม่ใช่เรื่องง่ายมากนัก ดังนั้นการเพิ่มกำแพงภาษีเพื่อสู้กับสหรัฐฯ ก็มีความเป็นไปได้ หากมองว่า เป็นนโยบายระยะสั้น เพราะขณะนี้จีนกำลังพยายามอุ้มจีน และลดการพึ่งพิงตลาดต่างประเทศลงกว่าเมื่อครั้งอดีต
นอกจากนี้ อ.ดร.สุธาสินี ยังตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า ทรัมป์ในช่วงเวลานี้เพิ่งกลับมามีอำนาจหลังชนะการเลือกตั้งเมื่อช่วงปลายปี 2024 ทำให้ในช่วงระยะแรกๆ นี้ ทรัมป์ต้องพยายามทำตามสิ่งที่เขาได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ในช่วงหาเสียง แต่ในความเป็นจริงจะสามารถทำได้มากน้อยแค่ไหนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง และเราต้องไม่ลืมว่า ในการพูดคุยหารือกันในทางลับ ผู้นำทั้งสองประเทศอาจดีลตกลงกันแล้วในประเด็นต่างๆ เพราะถ้าเราย้อนกลับไปดูช่วงแรกๆ ในสมัยทรัมป์ 1.0 ก็เป็นไปในลักษณะเดียวกันนี้
พอก้าวขึ้นมามีอำนาจใหม่ๆ ทรัมป์พยายามจะทำตามแนวนโยบายกีดกันจีน ต่อต้านจีน แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะ ทรัมป์จะมีแนวโน้มผ่อนปรนมากยิ่งขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ท้ายที่สุดแล้วเป็น ‘ความสัมพันธ์แบบพึ่งพากัน’ ไม่มีประเทศไหนอยากล้ม อีกทั้งการล้มของฝ่ายหนึ่งจะส่งผลกระทบต่ออีกฝ่ายหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้น อ.ดร.สุธาสินี จึงเชื่อว่าการออกนโยบายต่างๆ อาทิ นโยบายทางด้านภาษี ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ‘อาจไม่ใช่นโยบายระยะยาว’ แต่เป็นเพียงนโยบายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพราะทรัมป์เองก็อาจจะทำไปเพื่อรักษาคำพูดสิ่งที่ตัวเองเคยหาเสียงไว้ ขณะที่จีนเอง ก็อาจจะทำเพื่อเศรษฐกิจจีน หันมากระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศมากยิ่งขึ้น อีกทั้งฐานการผลิตสินค้าหลายชนิดของสหรัฐฯ ก็อยู่ในประเทศจีนด้วย ก็ยิ่งตอกย้ำภาพที่ทั้งสองประเทศจะได้รับผลกระทบ หากทำสงครามภาษีหรือสงครามการค้าระหว่างกัน
แฟ้มภาพ: Reuters, Shutterstock
อ้างอิง: