วันนี้ (29 สิงหาคม) ที่ห้องประชุมศรียานนท์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) เพื่อพิจารณาแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนที่ 13 แทน พล.ต.อ. สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ที่จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายนนี้
ภายหลังการประชุม พล.ต.อ. สุวัฒน์กล่าวว่า การแต่งตั้ง ผบ.ตร. และการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับชั้นนายพล ซึ่งในการประชุม ก.ต.ช. ได้พิจารณามีความเห็นเรื่องการแต่งตั้ง ผบ.ตร. คนใหม่เรียบร้อยแล้ว ส่วนรายละเอียดคงเปิดเผยไม่ได้ เพราะมีขั้นตอนอื่นตามกฎหมายอีก รวมถึงการพิจารณาการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ตั้งแต่รอง ผบ.ตร. ไปจนถึงผู้บังคับการตำรวจ รวมจำนวน 254 ตำแหน่ง ซึ่งผ่านการประชุมเรียบร้อยแล้ว รายละเอียดตอบได้เท่านี้
ทั้งนี้ยังไม่มีการเปิดเผยรายชื่อทางการจนกว่าจะครบกระบวนการตามกฎหมาย ส่วนวาระอื่นๆ ทางรักษาการนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ได้มีข้อสั่งการจำนวนมาก รายละเอียดของการประชุมจะให้ พล.ต.ต. ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นผู้แถลง
ด้าน พล.ต.ต. ยิ่งยศกล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ได้มีการพิจารณาตามที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเสนอไว้ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลื่อนเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จำนวน 4 ราย และผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหมุนเวียน จำนวน 1 ราย, ผู้บัญชาการ เลื่อนเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จำนวน 6 ราย และผู้บัญชาการหมุนเวียน จำนวน 7 ราย, รองผู้บัญชาการ เลื่อนขึ้นเป็นผู้บัญชาการ จำนวน 16 ราย และรองผู้บัญชาการหมุนเวียน จำนวน 23 ราย, ผู้บังคับการ เลื่อนเป็นรองผู้บัญชาการ จำนวน 40 ราย และผู้บังคับการหมุนเวียน จำนวน 71 ราย และรองผู้บังคับการ เลื่อนขึ้นเป็นผู้บังคับการ จำนวน 86 ราย รวมทั้งสิ้น 254 ราย ทั้งนี้ ต้องรอการโปรดเกล้าฯ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย
นอกจากนี้ พล.อ. ประวิตรได้สั่งการในที่ประชุม ก.ต.ช. และ ก.ตร. กำชับตำรวจ 5 เรื่อง ดังนี้
- เรื่องยาเสพติด ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเน้นด้านปราบปรามให้สืบสวนจับกุมเครือข่ายผู้ผลิต ผู้ค้า อย่างจริงจัง ให้ขยายผลยึดทรัพย์เครือข่ายผู้เกี่ยวข้องทุกรายในด้านป้องกัน มุ่งเน้นการลดจำนวนผู้ใช้ ผู้เสพ และผู้ติดยาเสพติดลงให้ได้ โดยใช้ชุมชนหมู่บ้านเป็นศูนย์กลางการแก้ไขปัญหา สร้างความรับรู้กับทุกภาคส่วนว่าผู้เสพคือผู้ป่วย เมื่อสมัครใจเข้ารับการบำบัดแล้วจะไม่เสียประวัติและไม่มีความผิด และใช้มาตรการเชิงรุกด้านการค้นหาผู้เสพยาเสพติด นำเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา ให้เดินหน้าโครงการชุมชนยั่งยืนเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจรตามยุทธศาสตร์ชาติ รวมทั้งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติประเมินผลติดตามต่อเนื่องอย่างมีประสิทธิภาพ
- เรื่องแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย ให้กวดขันจับกุมขบวนการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานฝ่ายทหาร ฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายปกครอง เพื่อสกัดกั้นการลักลอบหลบหนีเข้าเมือง โดยเน้นไปที่ผู้ปฏิบัติงานระดับพื้นที่ตามแนวชายแดนและชุมชนตามแนว หากมีการจับกุมให้ขยายผลให้ถึงขบวนการอย่างเด็ดขาด
กรณีเข้าข่ายการค้ามนุษย์ ให้ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการว่าด้วยกลไกการส่งต่อระดับชาติ การบริหารคดี และการช่วยเหลือคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์
- เรื่องอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ให้เร่งรัดสืบสวนจับกุม ปราบปรามขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือเครือข่ายฉ้อโกงประชาชนในความผิดต่างๆ รวมทั้งสืบสวนขยายผลไปยังกลุ่มนายทุน คนเปิดบัญชีม้า และดำเนินคดีกับผู้ร่วมกระทำผิดทุกราย โดยนำมาตรการตามกฎหมายฟอกเงินมาบังคับใช้ ติดตามทรัพย์สินมาคืนให้กับผู้เสียหาย เพื่อบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้น
ให้กวดขันจับกุมผู้กระทำผิดที่ใช้ช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ เช่น ค้าอาวุธปืน การพนันออนไลน์ ยาเสพติด และอื่นๆ โดยให้ขยายผลไปยังกลุ่มทุนทุกราย และเน้นมาตรการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อแจ้งเตือนประชาชนทุกรูปแบบให้ทราบถึงกลโกง วิธีการของคนร้าย เพื่อให้ประชาชนไม่ตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงประเภทต่างๆ ให้ทั่วถึงประชาชนทุกกลุ่ม
- แก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ให้สืบสวนจับกุมกลุ่มผู้ลักลอบปล่อยเงินกู้ และเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด รวมถึงนายทุนที่อยู่เบื้องหลังอย่างจริงจังเด็ดขาด ให้ยึด อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด เช่น เงินสด ยานพาหนะ ของกลุ่มคนร้าย เพื่อเป็นการตัดวงจรการกระทำผิดซ้ำ ให้จัดทำสารบบข้อมูลเบาะแสเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ เพื่อประโยชน์ในการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิด
- กำชับข้าราชการตำรวจทุกนายห้ามมิให้เรียกรับ ยอมรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือกระทำการใดที่เป็นการประพฤติตนไม่เหมาะสม หรือส่อไปในทางทุจริตประพฤติมิชอบ โดยให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นควบคุม ตรวจสอบ และกำกับดูแล หากพบการฝ่าฝืนให้พิจารณาทางปกครอง วินัย และอาญาอย่างจริงจังทุกราย
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าที่ประชุม ก.ต.ช. มีมติเอกฉันท์ 6-0 เลือก พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. เป็น ผบ.ตร. คนใหม่ คนที่ 13 โดย พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 38 อาวุโสอันดับ 2 ซึ่งเหลืออายุราชการอีก 1 ปี และจะเกษียณอายุราชการในปี 2566