จากบทความของสำนักข่าว Bloomberg เรื่อง ‘เบื้องหลังการสร้างอาณาจักรของ เฉิน จื้อ ผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นเจ้าพ่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จากกัมพูชาสู่ลอนดอน’ เล่าถึงเบื้องหลังอาณาจักรธุรกิจมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ของ Prince Holding Group ในกัมพูชา ที่มีธุรกิจครอบคลุมหลายส่วน ทั้งการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์, สายการบิน, ธุรกิจการเงิน ล่าสุด เฉิน จื้อ กลับถูกกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ กล่าวหาว่าเป็นผู้บงการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน
อาณาจักรของ เฉิน จื้อ วัย 37 ปี กำลังล่มสลายอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ทางการสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ได้กล่าวหาเฉินและเครือข่ายของเขาว่าดำเนินกิจการองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่ใช้ศูนย์หลอกลวง (Scam Centers) โดยใช้แรงงานทาส และฟอกเงินหลายพันล้านดอลลาร์ที่ขโมยมาได้ทั่วโลก นอกจากนี้ กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้ออกมาตรการคว่ำบาตรต่อหน่วยงานและบุคคลภายใน Prince Group รวม 146 ราย รวมถึงเฉินด้วย
ที่ผ่านมา เฉิน จื้อ สร้างภาพลักษณ์ของความชอบธรรมและการกุศล และสร้างสายสัมพันธ์กับบุคคลและองค์กรสำคัญๆ เขาได้สะสมอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่อาคารสำนักงานในลอนดอนไปจนถึงอพาร์ตเมนต์หรูในสิงคโปร์และไต้หวัน และดูแลอาณาจักรธุรกิจที่ทอดยาวจากชายหาดของปาเลาไปจนถึงศูนย์กลางการเงินอย่างฮ่องกง
การสืบสวนของสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ได้เปิดโปงว่า Prince Group ไม่ได้เติบโตจากธุรกิจที่ถูกกฎหมายเพียงอย่างเดียว แต่อีกด้านหนึ่งคือการดำเนินกิจการ ‘ศูนย์หลอกลวง’ (Scam Compounds) โดยก่อเหตุหลอกลวงแบบ ‘Pig Butchering’ และฟอกเงินที่ขโมยมาจากเหยื่อทั่วโลก หนึ่งในจำนวนนั้นคือ Bitcoin มูลค่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 5 แสนล้านบาท ที่ถูกทางการสหรัฐฯ ยึดไว้ล่าสุด
นอกจากนี้ ตำรวจสิงคโปร์ได้เริ่มปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายต่อเฉินและผู้สมรู้ร่วมคิดที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินและการปลอมแปลงเอกสาร ตำรวจได้ยึดทรัพย์สินมากกว่า 150 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หรือราว 3.7 พันล้านบาท และอายัดทรัพย์สินต่างๆ รวมถึงเรือยอชต์, รถยนต์ 11 คัน และสุราหลายขวด
อัยการสหรัฐฯ กล่าวหาว่าเฉินและผู้สมรู้ร่วมคิดของเขาใช้ “อิทธิพลทางการเมืองของตนเพื่อปกป้องปฏิบัติการหลอกลวงจากการบังคับใช้กฎหมายในหลายประเทศ”
ทรัพย์สินในฮ่องกงและลอนดอน
เฉินมีทรัพย์สินในสถานที่สำคัญอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ในลอนดอน ทางการสหราชอาณาจักรได้อายัดทรัพย์สินซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปราบปราม กีดกันเฉินและเครือข่ายของเขาออกจากระบบการเงิน ซึ่งรวมถึงอาคารสำนักงานมูลค่า 100 ล้านปอนด์ หรือราว 4.3 พันล้านบาท ที่ตั้งบนถนน Fenchurch ใจกลางย่านการเงินเก่าแก่ พร้อมด้วยคฤหาสน์มูลค่า 12 ล้านปอนด์ และแฟลต 17 ห้องบนถนน New Oxford และในย่าน Nine Elms ทางตอนใต้ของลอนดอน
ในไต้หวัน กลุ่มบริษัทได้ใช้เงินประมาณ 3.8 พันล้านดอลลาร์ไต้หวัน หรือราว 4 พันล้านบาท ซื้ออสังหาริมทรัพย์หรูในไทเปตั้งแต่เดือนเมษายนถึงพฤศจิกายน 2019 ตามบันทึกการทำธุรกรรม
ในฮ่องกง เฉินและกลุ่มของเขาควบคุมทรัพย์สินมากกว่า 300 ล้านดอลลาร์ หรือราว 9.9 พันล้านบาท ตั้งแต่หุ้นในบริษัทมหาชนไปจนถึงอสังหาริมทรัพย์ในหนึ่งในย่านช้อปปิ้งที่พลุกพล่านที่สุดของเมือง ตามข้อมูลที่รวบรวมโดย Bloomberg จากเอกสารที่ยื่นต่อหน่วยงานกำกับดูแล
เขาเป็นผู้ถือหุ้นที่มีอำนาจควบคุมในบริษัทจดทะเบียนสองแห่งที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ทั้งสองบริษัทคือ Geotech Holdings Ltd. บริษัทให้บริการด้านวิศวกรรมการก่อสร้าง และ Khoon Group Ltd. ผู้ให้บริการด้านเครื่องกลและไฟฟ้าในสิงคโปร์ ต่างก็อยู่ในรายชื่อคว่ำบาตรที่เผยแพร่โดยทางการสหรัฐฯ
อาณาจักรของเฉินยังขยายไปถึงประเทศหมู่เกาะปาเลาที่ห่างไกล ซึ่งทางการสหรัฐฯ กล่าวหาว่า Prince Group ทำงานร่วมกับ “ผู้มีส่วนอำนวยความสะดวกให้กับองค์กรอาชญากรรมที่เป็นที่รู้จัก” เพื่อเช่าเกาะและจัดตั้งรีสอร์ต
หลายประเทศกำลังตรวจสอบเรื่องนี้
มอร์แกน สตาร์ค หัวหน้าภูมิภาคเอเชียของ S-RM Intelligence & Risk Consulting Ltd. ในฮ่องกงกล่าวว่า “Prince Group และ เฉิน จื้อ เป็นที่รู้จักกันดีมานานหลายปี นั่นทำให้เกิดคำถามว่ากลุ่มนี้สามารถปฏิบัติการอย่างโจ่งแจ้งตลอดเวลาที่ผ่านมาได้อย่างไร”
ตำรวจสิงคโปร์กล่าวว่าพวกเขาได้รับข้อมูลข่าวกรองเมื่อปีที่แล้วเกี่ยวกับธุรกรรมที่น่าสงสัยและได้ประสานงานกับคู่ค้าในต่างประเทศเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่เป็นข้อมูลเพิ่มเติมจากแถลงการณ์ของสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ที่กระตุ้นให้พวกเขาดำเนินการล่าสุด
ธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) ซึ่งกำลังทำงานร่วมกับตำรวจท้องที่ กล่าวว่าสถาบันการเงินได้ยื่นรายงานธุรกรรมที่น่าสงสัย (STRs) บางแห่งได้ปิดบัญชีที่พวกเขาพบว่าน่าสงสัย ซึ่ง “ช่วยป้องกันไม่ให้เงินจำนวนมากขึ้นถูกเก็บไว้ในภาคการเงินของเรา” หน่วยงานกำกับดูแลกล่าวเมื่อวันศุกร์
นอกจากสิงคโปร์แล้ว ขณะนี้หน่วยงานอื่นๆ ในเอเชียก็กำลังตรวจสอบเฉินและเครือข่ายของเขา
สำนักงานอัยการเขตไทเปกล่าวว่าได้รับทราบเรื่องนี้ผ่านรายงานของสื่อและได้เปิดคดีทันที ตำรวจฮ่องกงกล่าวว่าพวกเขากำลังรวบรวมข้อมูลข่าวกรองเพื่อต่อสู้กับการฉ้อโกง โดยไม่ให้รายละเอียดเฉพาะเจาะจง
โฆษกรัฐบาลกัมพูชาปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคดีนี้ โดยอ้างถึงความคิดเห็นล่าสุดของผู้ว่าการธนาคารกลางของประเทศ เจีย เซเรย์ กล่าวบนเวทีฟอรัมของ Bloomberg เมื่อวันที่ 27 ตุลาคมที่ผ่านมาว่า กัมพูชาไม่สามารถ “ถูกสรุปได้ว่าเป็นศูนย์กลางแก๊งคอลเซ็นเตอร์” ได้ และแนวคิดดังกล่าวสร้างความเสียหายให้กับประเทศ
อ้างอิง:


