ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์กของสหรัฐอเมริกา มีมติสำคัญเกี่ยวกับวิกฤตการณ์สู้รบในฉนวนกาซา โดยเรียกร้องให้มี ‘การหยุดยิงเพื่อมนุษยธรรม’ ในทันที เพื่อนำไปสู่การยุติการสู้รบและเปิดทางสำหรับการช่วยเหลือและคุ้มครองชีวิตพลเรือนและเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรมในกาซา
โดย 193 ชาติสมาชิกองค์การสหประชาชาติ (UN) มีมติชัดเจนด้วยคะแนนเสียงสนับสนุน 121 ต่อ 14 เสียง และงดออกเสียง 44 เสียง ซึ่งไทยและชาติอาหรับลงมติสนับสนุน ในขณะที่อิสราเอล และชาติพันธมิตร รวมถึงสหรัฐฯ ลงมติคัดค้าน
ร่างมติดังกล่าวซึ่งเสนอโดยชาติอาหรับไม่มีผลผูกมัดตามกฎหมาย แต่ถือเป็นการสะท้อนความวิตกกังวลของทั่วโลกที่มีต่อสถานการณ์ในฉนวนกาซา
ขณะที่ก่อนการลงมติ ที่ประชุมได้ปฏิเสธร่างมติฉบับแก้ไขที่ผลักดันโดยแคนาดาและสหรัฐฯ ซึ่งต้องการให้ประณามการโจมตีก่อการร้ายของกลุ่มฮามาสต่ออิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม และเรียกร้องให้ฮามาสปล่อยตัวตัวประกันที่จับตัวไปโดยทันที
ทั้งนี้ ริยาด มันซูร์ เอกอัครราชทูตปาเลสไตน์ประจำสหประชาชาติ ยกย่องสมัชชาใหญ่ UN ว่า “มีความกล้าหาญและมีหลักการ” มากกว่าคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่แตกแยก หลังล้มเหลวในความพยายาม 4 ครั้งตลอดช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อบรรลุข้อตกลงในมติเรียกร้องให้ยุติความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและฮามาส โดยถูกวีโต้คัดค้านถึง 2 ครั้ง
ขณะที่ กิลาด เออร์ดาน เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำสหประชาชาติ กล่าวภายหลังโหวตมติของสมัชชาใหญ่ UN ว่า “เป็นวันที่ตกต่ำด้วยความอับอาย” และยืนยันว่า “อิสราเอลจะไม่หยุดปฏิบัติการ จนกว่าความสามารถในการก่อการร้ายของฮามาสจะถูกทำลายและตัวประกันได้รับการปลดปล่อย ซึ่งวิธีเดียวที่จะทำลายกลุ่มฮามาสได้ก็คือ ถอนรากถอนโคนพวกเขาออกจากอุโมงค์และเมืองก่อการร้ายใต้ดิน”
ภาพประกอบ: กันยกร กาญจนวิไล
อ้างอิง:
