วันนี้ผมใช้เวลาทั้งวันนั่งอ่านหนังสือ Principle ของ เรย์ ดาลิโอ (Ray Dalio) ผู้ก่อตั้ง Bridgewater Associates ซึ่งเป็น Hedge Fund ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตอนแรกกะว่าต้องเอาให้จบเสียทีหลังจากค้างมานาน สุดท้ายยังไม่จบครับ แต่ใกล้มากแล้ว หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ใช้พลังงานในการอ่านเยอะจริงๆ เรียกว่าใช้ปากกาขีดไฮไลต์เกือบเต็มหน้าทุกหน้า เดี๋ยวอ่านจบจะมาสรุปให้ฟังนะครับ
แต่ก่อนจะมาสรุป มีเรื่องหนึ่งที่อยากมาเขียนก่อนเพราะผมคิดว่าน่าสนใจมากๆ
ในหนังสือ เรย์ได้เขียนไว้ว่า บทนี้น่าจะเป็นบทที่สำคัญที่สุด เพราะในความคิดเห็นของเขามี 2 สิ่งที่ขวางทางคนส่วนใหญ่ไม่ให้ได้สิ่งที่ต้องการในชีวิต
2 สิ่งที่ว่านั้นคือ Ego และ Blindspot ซึ่งเรามีกันทุกคน
แต่ว่า Ego และ Blindspot นั้นเกิดจากกลไกการทำงานของสมอง ถ้าเราเรียนรู้เกี่ยวกับมัน เราจะมีชีวิตที่มีความสุขมากขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับคนรอบด้านด้วย
Ego Barrier คืออะไร?
Ego Barrier คือระบบการป้องกันตัวเองที่ถูกซ่อนอยู่ (Subliminal Defense Mechanism) ซึ่งทำให้มันยากที่จะทำให้เรายอมรับข้อผิดพลาดและจุดอ่อนของตัวเอง
ความต้องการที่จะได้รับความรักหรือความกลัวที่จะถูกปฏิเสธความรัก ความต้องการที่จะได้รับการยอมรับหรือความกลัวที่จะถูกเฉยเมย หรือแม้แต่สัญชาตญาณแห่งความอยู่รอดและความกลัวที่จะไม่สามารถอยู่รอดได้
ความต้องการและความกลัวที่ลึกซึ้งมากของมนุษย์เหล่านี้อยู่ในระบบปฏิบัติการในสมองส่วน Primitive ที่สุดของ Amygdala ซึ่งอยู่ในสมองส่วน Temporal Lobe ที่ทำหน้าที่ประมวลผลอารมณ์ของเรา
สมองส่วนนี้อยู่เหนือการควบคุมของจิตสำนึกของมนุษย์ โดยมันจะทำงานอย่างรวดเร็วและพยายามตีความทุกอย่างให้ง่ายกว่าความเป็นจริง (Oversimplify) เมื่อมันทำงาน เราจึงไม่รู้ว่ามันเข้าควบคุมพฤติกรรมอะไรของเราบ้าง
สมองส่วนนี้ชอบคำชมและตอบสนองต่อคำติเหมือนกับตอนที่เราถูกโจมตีหรือทำร้าย สมองส่วนนี้ไม่สามารถแยกการติเพื่อก่อออกจากการโดนด่าเฉยๆ ได้
ในขณะเดียวกันเรามี 2 อีกส่วน คือ Prefrontal Cortex ซึ่งเป็นส่วนสมองที่สำคัญมากที่ทำให้มนุษย์เราแตกต่างจากสัตว์อื่น
นี่คือสมองส่วนจิตสำนึกที่เราใช้ในการตัดสินใจต่างๆ หรือเราเรียกว่า Executive Function ซึ่งสามารถประมวลผลเรื่องตรรกะและเหตุผลได้เป็นอย่างดี
ดังนั้นมันจึงเหมือนมีเรา 2 คนอยู่ในคนเดียว และถ้าเราสังเกตดีๆ เราจะพบว่าสมองส่วนต่างๆ นั้นพยายามเอาชนะในการตัดสินใจให้ได้
เคยเป็นไหมครับ บางครั้งที่เรากินขนมแล้วหยุดไม่ได้ รู้ตัวอีกทีก็กินไปหมดถุงแล้ว ทั้งๆ ที่รู้ว่ากินแล้วอ้วน แล้วตอนนั้นก็ไม่ได้หิวด้วย
เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเพราะสมองส่วน Executive Function พ่ายแพ้ต่อสมองส่วน Primitive ของเรา
เราลองพิจารณาเหตุการณ์ที่มีคนไม่เห็นด้วยกับเรา และต้องการให้เราอธิบายมุมมองของเรา คนส่วนใหญ่มักจะรู้สึกได้ถึงการถูกจู่โจมและปล่อยระบบป้องกันตัวเองออกมา ทั้งๆ ที่ถ้ามองกันด้วยเหตุผลแล้ว การถกเถียงในเรื่องที่มีคนไม่เห็นด้วยกับเรานั้นจริงๆ เป็นเรื่องดี เพราะเราจะได้เห็นมุมมองของคนอื่น
แต่โดยส่วนใหญ่ Lower-Level ของเราจะพูดก่อนเสมอ ทำให้คำอธิบายของเราไม่สมเหตุสมผลเต็มร้อย หรือบางทีข้อโต้แย้งก็เจือไปด้วยอารมณ์ที่ผสมอยู่ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ฟังเหตุผลของอีกฝ่ายเลย
หลายครั้งที่สมองส่วน Executive Function ไม่สามารถทำงานได้ทัน เราเลยปล่อยให้ Lower-Level ของเราพูด แม้แต่คนที่ฉลาดมากๆ หลายคนก็เป็นแบบนี้
เพราะสำหรับเราตอนนั้น ความจำเป็นที่จะต้องเป็นฝ่าย ‘ถูก’ มันสำคัญกว่าการหาความจำเป็นในการหา ‘ความจริง’
จึงเป็นที่มาว่า ถ้าเราเชื่อมั่น ยึดถือในความสามารถของตนเอง เราจะพลาดโอกาสหลายอย่างในชีวิตไป รวมไปถึงการตัดสินใจก็จะแย่ลงไปด้วย ซึ่งแน่นอนมันทำให้เราอยู่ห่างไกลความสำเร็จมากขึ้น
Blindspot คืออะไร?
Blindspot คือ วิธีคิดส่วนตัวของเรา ที่ทำให้เรามองไม่เห็นภาพที่แท้จริงของเรื่องที่เรากำลังต้องตัดสินใจ ถ้าเปรียบให้ง่ายๆ คือ เหมือนกับเราตาบอดสีกับบางสีนั่นเอง อย่างเช่น บางคนมองภาพใหญ่เก่ง แต่ไม่เห็นภาพเล็กๆ
ความจริงมนุษย์ส่วนใหญ่จะไม่ให้ค่ากับสิ่งที่ตัวเองมองไม่เห็น แต่เราส่วนใหญ่มักไม่รู้ตัว และนี่เป็นที่มาของ Blindspot ที่ว่า
มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่รู้เลยว่าคนอีกคนมีวิธีหรือกระบวนการคิดอย่างไร และไม่พยายามที่จะเข้าใจด้วย เพราะเรามัวแต่พยายามจะบอกอีกฝ่ายว่าสิ่งที่เราคิดนั้น ‘ถูก’ อย่างไร มากกว่าที่จะสนใจกระบวนการคิดของอีกฝ่าย
เราตั้งสมมติฐานโดยเอาตัวเองเป็นที่ตั้งมากเกินไป โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายพูดสิ่งที่ไม่ตรงกับความคิดเรา ซึ่งหลายครั้งมันทำให้เราพลาดโอกาสอะไรดีๆ ในชีวิตไป เพราะเราไม่สนใจหรือเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพยายามแสดงให้เห็น แม้ว่าสิ่งนั้นจะมีประโยชน์หรือบางครั้งอาจจะถึงขั้นช่วยชีวิตเราได้ด้วยซ้ำ
นี่คือสาเหตุที่ทำไมเวลาคน 2 คนเถียงกัน ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็ตาม แม้จบการเถียงกันแล้วทั้งฝ่ายที่แพ้ ชนะ หรือเสมอ ก็ยังจะคิดว่าตัวเอง ‘ถูก’ เสมอ
แต่ถ้าหากเรามองดีๆ เมื่อคนมีความเห็นไม่ตรงกัน มันเป็นไปได้สูงมากเลยว่าจะมีความเห็นของใครที่ผิด ซึ่งจริงๆ จะดีกว่าไหมถ้าเรามีกระบวนการที่ชัดเจนเพื่อให้แน่ใจว่าความคิดเห็นของเราไม่ผิด
คนที่เห็นกับดักนี้จะพยายามปรับตัว โดยการปรับตัวก็อาจทำได้หลายอย่าง เช่น
1. การสอนให้สมองทำในสิ่งที่ไม่ถนัด เช่น คนที่เป็นคนครีเอทีฟมากๆ ทำงานเฉพาะเมื่อตัวเองอยากทำ ก็สามารถสอนให้ตัวเองมีวินัยและสม่ำเสมอได้ ผ่านการฝึกฝนที่เข้มข้น
2. ใช้ Compensating Mechanisms เช่น เครื่องมือต่างๆ ที่คอยเตือนสติ
3. ขอความช่วยเหลือจากคนอื่นในส่วนที่เราคิดว่าเราไม่ถนัด
เรย์ย้ำอีกครั้งว่า ทั้ง Ego และ Blindspot นั้นเป็นข้อบกพร่องที่ทำให้คนเก่ง ฉลาด ทำงานหนัก แต่ไม่ประสบความสำเร็จตามศักยภาพของตัวเองมาเยอะแล้ว
มีเรื่องหนึ่งที่เรย์เล่าในหนังสือ (แต่ไม่ใช่ตัวอย่างของเรื่องสมองที่ว่านี้) แต่ผมคิดว่ามันน่าสนใจทีเดียวว่าอะไรที่ทำให้คนที่มีทุกอย่าง สามารถพลาดท่าเสียทีได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ในช่วงกลางทศวรรษ 80s Bridgewater Associate มีลูกค้าชื่อ อลัน บอนด์ (Alan Bond) ซึ่งเป็นหนึ่งในบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดของออสเตรเลีย
ธุรกิจของอลันนั้นมีการกู้ยืมเงินเป็น USD เพื่อซื้อกิจการต่างๆ เช่น โรงงานเบียร์ในออสเตรเลีย ที่เขายืมเงินเป็น USD ก็เพราะว่าอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ณ ตอนนั้น ถูกกว่าอัตราดอกเบี้ยของออสเตรเลีย
แม้ว่าตัวเขาจะรู้หรือไม่ก็ตาม การทำแบบนี้คือการคาดการณ์ว่า USD จะไม่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับ AUD
เมื่อ USD แข็งค่าขึ้น รายได้จากกิจการเบียร์ของเขาจึงไม่พอที่จะจ่ายหนี้ อลันโทรหาเรย์เพื่อขอคำแนะนำ ซึ่งเรย์ก็ได้คำนวณว่าถ้ามีการทำ Hedging ควรจะทำที่เท่าไร เพื่อเป็นการรับประกันว่าจะไม่เสียหายเรื่องค่าเงินไปมากกว่านี้
เรย์บอกให้อลันรอ เดี๋ยวเมื่อ AUD แข็งค่าขึ้นแล้วรีบ Hedge และ AUD ก็แข็งค่าขึ้นจริงๆ แต่อลันไม่ Hedge เพราะคิดว่าปัญหาเรื่องของค่าเงินได้ผ่านไปแล้ว
อีกไม่นาน AUD ก็ร่วงลงมาทำ New-Low คราวนี้อลันต้องขอประชุมด่วนกับเรย์ ซึ่งสิ่งที่เขาแนะนำให้ทำคือรีบรับความเสียหายเท่านี้และประกันความเสี่ยงซะ แต่อลันไม่ทำ และคราวนี้ AUD ไม่ปรับตัวแข็งค่าขึ้นมาอีก ทุกอย่างก็สายเกินไป ในที่สุดเขาก็ล้มละลาย
อลันเป็นหนึ่งในหลายเคสคนที่ร่ำรวย เก่ง และประสบความสำเร็จที่สุดลำดับต้นๆ ของโลก ที่ต้องสูญเสียทุกอย่างไปในพริบตา เพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่
อ่านเรื่องนี้แล้วต้องคิดว่าตอนนี้เรากำลังตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ Ego กับ Blindspot หรือเปล่า เพราะไม่มีอะไรที่จะเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราเท่ากับตัวเองอีกแล้ว
ขอยก Quote ของชาร์ลส สเปอร์เจียน (Charles Spurgeon) มาเป็นเครื่องเตือนใจครับว่า ‘Beware of no man more than of yourself; we carry our worst enemies within us.’
ภาพประกอบ: Pichamon Wannasan