×

โบรกฯ คงเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีหน้า แม้แผนเปิดประเทศส่งผลดีกลุ่มท่องเที่ยว แต่ยังต้องติดตามผลตอบรับจากนักท่องเที่ยวระยะยาว

13.10.2021
  • LOADING...
ดัชนีหุ้นไทย

แม้แถลงการณ์จากนายกรัฐมนตรีเรื่องการเปิดประเทศเมื่อค่ำวันที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมาจะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นไทย โดยการซื้อขายภาคเช้าปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 13 จุด แต่โบรกเกอร์ยัง ‘คง’ เป้าหมายดัชนีปี 2565 เนื่องจากต้องติดตามผลการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวในระยะยาวก่อน  

 

ณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยยังคงเป้าหมายดัชนีปี 2565 ที่ระดับ 1,722 จุด แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะได้รับปัจจจัยสนับสนุนเพิ่มขึ้นจากการประกาศเปิดประเทศ วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ก็ตาม เนื่องจากประกาศเปิดประเทศนั้นเป็นสิ่งที่ฝ่ายวิจัยคาดการณ์ไว้แล้ว และตลาดหุ้นก็ตอบรับปัจจัยดังกล่าวมาระยะหนึ่งแล้ว

 

โดยเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกแถลงการณ์ ประกาศแผนเปิดประเทศไม่ต้องกักตัวเริ่มวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ โดยมีประเด็นสำคัญหลัก ดังนี้ 

 

  1. เปิดรับนักท่องเที่ยวแบบไม่ต้องกักตัวตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นต้นไป สำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว เดินทางเข้าประเทศไทยทางอากาศ และมาจากประเทศความเสี่ยงต่ำ โดยต้องมีหลักฐานการตรวจวิธี RT-PCR ก่อนเดินทางออกจากประเทศต้นทาง และจะมีการตรวจหาเชื้อโควิดอีกครั้งเมื่อเดินทางมาถึงไทย ทั้งนี้ เบื้องต้นประเทศความเสี่ยงต่ำคาดจะมีอย่างน้อย 10 ประเทศ เช่น อังกฤษ, สิงคโปร์, เยอรมนี, จีน และอเมริกา รวมถึงตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนประเทศมากขึ้นในวันที่ 1 ธันวาคม 2564 และ 1 มกราคม 2565 

 

  1. อนุญาตเปิดผับบาร์วันที่ 1 ธันวาคมนี้ โดยจะพิจารณาอนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารได้ และจะพิจารณาอนุญาตให้สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และสถานบันเทิงเปิดให้บริการได้

 

ณัฐพลกล่าวว่า การประกาศดังกล่าวจะช่วยเร่งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในช่วงปลายปี โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่น่ากลับมาฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ซึ่งหากจำนวนนักท่องเที่ยวกลับมายังประเทศไทยเพิ่มขึ้นตามเป้าหมาย ก็จะช่วยเร่งกำลังซื้อภายในประเทศได้อีกต่อหนึ่งด้วย 

 

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวในปี 2565 อยู่ที่ 5-6 ล้านคน ซึ่งต่ำกว่ามุมมองโดยรวม (Consensus) ที่คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวในปี 2565 ไว้มากกว่า 10 ล้านคน ซึ่งหากเป็นไปตามคาดการณ์ ก็น่าจะช่วยผลักดันอัตราการเติบโตของ GDP ในปีหน้าได้ 

 

“แม้การเปิดประเทศจะเป็นข่าวดี แต่หลายประเทศในอาเซียนก็ประกาศเปิดประเทศเช่นเดียวกัน เช่น มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย ทำให้ในปลายปีต้องมีการแย่งกันดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ ซึ่งประเทศไทยเองก็ต้องกลับมาสำรวจตัวเองด้วยว่า ยังคงเป็นหมุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวหรือไม่ ประเทศต้นทางนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายมีเงื่อนไขเรื่องการเดินทางระหว่างประเทศอย่างไร และเราสามารถควบคุมสถานการณ์โควิดได้ดี และสร้างความเชื่อมั่นได้ต่อเนื่องหรือไม่ จะเห็นได้ว่ายังมีปัจจัยเสี่ยงที่ยังต้องติดตามอยู่ จึงยังคงเป้าหมายดัชนีปีหน้าไว้เท่าเดิม” 

 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นปีหน้า จะมีรีวิวเป้าหมายดัชนีและ EPS Growth อีกครั้ง หากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการขยายตัวของ GDP ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ 

 

กรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน- กลยุทธ์การลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยยังคงเป้าหมายดัชนีปี 2565 ที่ 1,750 จุดเช่นเดิม โดยมองปัจจัยเรื่องการประกาศเปิดประเทศเป็นปัจจัยที่คาดการณ์ไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นปีหน้าอาจจะมีการรีวิวเป้าหมายดัชนีอีกครั้ง ภายใต้สมมติฐานภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ 

 

ทั้งนี้ มองว่าการประกาศเปิดประเทศครั้งนี้สามารถเรียกความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้น และภาพรวมเศรษฐกิจได้ดี อย่างไรก็ตาม จากนี้ไปยังต้องติดตามต่อว่าประเทศไทยจะสามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดได้ต่อเนื่องหรือไม่ รวมถึงการกระจายและฉีดวัคซีนแก่ประชาชนจะเป็นไปตามแผนหรือไม่ 

 

“ตอนนี้ประชาชนไทยได้รับวัคซีนเข็มแรกไปแล้ว 43.8% และได้รับเข็มที่ 2 ไปแล้ว 32% ถ้าหากประเทศไทยได้รับวัคซีนอีก 20 ล้านโดสในสิ้นปี ก็จะทำให้อัตราการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นเป็น 60% ซึ่งถือเป็นสัญญาณเชิงบวก” 

 

ธีรเศรษฐ์ พรหมพงษ์ นักกลยุทธ์เศรษฐศาสตร์มหภาค บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า จากแถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรี สะท้อนถึงแนวทางการผ่อนคลายซึ่งเน้นไปที่ภาคการท่องเที่ยว การเดินทางเข้าประเทศ (Inbound) ของต่างชาติ ตอกย้ำมุมมองเชิงบวกของหุ้นในกลุ่ม Re-Opening และถือเป็นการปลดล็อกในจังหวะที่เหมาะสม เนื่องจากเป็นช่วง High Season และมี Pent-up Demand จากภาคการท่องเที่ยว ทั้งชาวต่างชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาติตะวันตกที่เข้าสู่หน้าหนาว และชาวไทยที่อยู่ในภาวะอัดอั้นจากสถานการณ์โควิดที่ยืดเยื้อ และแม้ว่าจะเริ่มมีการผ่อนคลายตั้งแต่ช่วงวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ในหลายพื้นที่ก็ยังประสบกับปัญหาฝนตก น้ำท่วม ทำให้การท่องเที่ยวในประเทศยังเร่งขึ้นได้ไม่เต็มที่

 

ทั้งนี้ ประเมินหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการประกาศเปิดประเทศ ดังนี้

 

  1. AOT ถือได้ว่าเป็นหุ้นแถวแรกที่ได้ประโยชน์โดยตรงตั้งแต่ก้าวแรกของการเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยของนักท่องเที่ยวต่างชาติ จากรายได้กิจการการบินที่จะเร่งตัว รายได้ค่าเช่าที่จะกลับมาฟื้นตัว

 

  1. หุ้นกลุ่มโรงแรมที่น่าจะถึงเวลาเก็บเกี่ยว หลังจากผ่านพ้นช่วงแห่งความยากลำบากและการเตรียมพร้อม ทั้งด้านการบริหารจัดการต้นทุนและการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเป็นการเปิดรับนักท่องเที่ยวในช่วง High Season เป็นครั้งแรกหลังจากที่ประเทศไทยเผชิญโควิด ที่มีระลอกใหม่เข้ามาในทุกช่วงเทศกาลตั้งแต่สงกรานต์ ปี 2563 (MINT, CENTEL, ERW, AWC)

 

  1. กลุ่มการบริโภคในประเทศที่แม้จะฟื้นตัวจากกำลังซื้อในประเทศได้แล้วระดับหนึ่ง แต่จะเร่งตัวจากกำลังซื้อของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่กลับเข้ามา (CPN, CPALL) และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ได้ประโยชน์โดยตรงจากภาวะเศรษฐกิจที่เข้าสู่จุดฟื้นตัว (KBANK, BBL)

 

  1. หุ้นในกลุ่มสื่อสาร (ADVANC, DTAC) ถือเป็นหุ้นแถวสามที่มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน จากรายได้การให้บริการเครือข่าย ลูกค้าระบบเติมเงิน ที่จะฟื้นตัวตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ และกลุ่มโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีฐานลูกค้าเป็นชาวต่างชาติ (BH)

 

ขณะที่ด้านฝ่ายวิจัย บล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ว่า การแจ้งเปิดประเทศจะเป็น Positive Sentiment หนุน SET ให้ปรับตัวขึ้นได้ต่อจากความคาดหวัง Economic Engine ที่สำคัญกลับมาทำงานได้อีกครั้ง ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวม 

 

หุ้นที่คาดว่าจะ Outperform SET มากที่สุด โดยได้รับอานิสงส์จากการเปิดประเทศ และราคาหุ้นยังฟื้นตัวช้า ประกอบด้วย

 

  1. AOT ซึ่งจะได้ประโยชน์มากสุดจากแผนเปิดประเทศ ส่งผลให้การท่องเที่ยวที่จะเริ่มกลับมาฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้น ช่วยหนุนผลการดำเนินงานเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ 1QFY22E

 

  1. ERW คาดจำนวนนักท่องเที่ยวจะกลับมาฟื้นตัวได้ ซึ่งจะช่วยให้ผลการดำเนินงานฟื้นตัวได้ดีกว่าคาดตั้งแต่ 4Q21E เป็นต้นไป ซึ่ง ERW ได้ประโยชน์มากที่สุดจากสัดส่วนรายได้ในประเทศไทยสูงที่สุดในกลุ่มที่ 88%

 

  1. AMATA เนื่องจากนักลงทุนจะสามารถเดินทางเข้าประเทศได้ง่ายขึ้น ทำให้ยอด Presale และ Transfer จะดีขึ้น ถึงแม้ว่าลูกค้าส่วนใหญ่จะมาจากประเทศจีนที่ยังไม่อนุญาตให้เดินทางออกนอกประเทศ แต่คาดว่าจะได้รับ Sentiment เชิงบวกของยอด Transfer ที่จะเพิ่มขึ้น จากฐานที่ต่ำในช่วงปี 2020-21E

 

  1. CPALL โดยคาดว่ารัฐบาลจะเริ่มคลายเคอร์ฟิวเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว และได้ประโยชน์จากนักท่องเที่ยวที่จะเริ่มกลับมา ซึ่งจะทำให้ Trafficในร้านสะดวกซื้อสูงขึ้น

 

  1. BH เนื่องจากมีสัดส่วนรายได้ผู้ป่วยต่างชาติสูงที่สุดในกลุ่ม รองลงมาเป็น BDMS ซึ่งจะได้ประโยชน์จากผู้ป่วยต่างชาติ Fly-in เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม Medical Tourism ที่อยู่ในกลุ่มประเทศยุโรปและสหรัฐอเมริกา (5% ของรายได้รวม) และตะวันออกกลาง (5% ของรายได้รวม)
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising