การตัดสินใจลงสนามแข่งขันไม่ว่าจะเป็นกีฬาหรืออุตสาหกรรมใดก็ตาม หากเป็นการแข่งขันที่เราเป็นรองก่อนลงสนาม เรามักจะมีทางเลือกอยู่ 2 ทางคือลงไปพร้อมกับความเชื่อว่าอย่างไรเราก็เป็นรองพวกเขา ไม่มีทางสู้ได้ หรือลงไปเพื่อจะพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นว่าเราอยู่ในระดับไหน
ความเชื่ออย่างที่สองคือสิ่งที่ อากิระ นิชิโนะ หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยมักกล่าวถึงอยู่เป็นประจำ ก่อนที่การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี จะเริ่มต้นขึ้น
นิชิโนะยอมรับเช่นกันว่าไทยเป็นรองหลายทีมในการแข่งขันรายการนี้ แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นจุดที่ทำให้เขาไม่กล้าตั้งเป้าหมายพาไทยไปแข่งขันโอลิมปิกในปี 2020 ที่ญี่ปุ่น ประเทศบ้านเกิดของเขาเอง
“ซีเกมส์ก็ตกรอบ ยังจะกล้าตั้งเป้าโอลิมปิกอีกนะ” เสียงแฟนบอลบางกลุ่มสะท้อนกลับมายังเป้าหมายของโค้ชทีมชาติไทยที่ยืนยันเป้าหมายไปโอลิมปิกในงานแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ
ก่อนการแข่งขันเกมแรกจะเริ่มต้นขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าแฟนบอลหลายคนยังมีภาพจำของทั้งฟอร์มการเล่นและผลการแข่งขันที่ฟุตบอลทีมชาติไทยตกรอบแรกในศึกซีเกมส์ที่ประเทศฟิลิปปินส์เมื่อปลายปี 2019 แต่ผลการแข่งขันก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเราสามารถก้าวมาได้ไกลขนาดไหน
กล้ายอมรับความผิดพลาดในฐานะผู้บริหาร
เกมแรกที่สนามราชมังคลากีฬาสถานเมื่อวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา ไทยประเดิมสนามพบกับบาห์เรน ซึ่งความกล้าครั้งแรกของทีมชาติไทยปรากฏขึ้น เมื่อนิชิโนะเลือกใช้ผู้เล่น 11 ตัวจริงส่วนใหญ่คล้ายกับชุดซีเกมส์ที่ผ่านมาลงสนามต่อหน้าแฟนบอลที่เดินทางมาชมการแข่งขันไม่ถึง 1 ใน 4 ความจุของสนาม นั่นคือแค่ 7,072 คน
แต่สุดท้ายผ่านพ้นไป 90 นาทีแรกในรายการนี้ ข้อสงสัยทุกอย่างเกี่ยวกับทีมชาติไทยชุด U23 ก็หายไป เมื่อพวกเขาสามารถพิสูจน์ตัวเองด้วยการต้อนบาห์เรนไปถึง 5-0 เปลี่ยนเสียงที่ตั้งคำถามเป็นเสียงที่เราเองได้ยินในสนามช่วง 5 นาทีสุดท้ายจากกองเชียร์และผู้สื่อข่าวไทยบางส่วนที่ร่วมเชียร์ว่า “เอาอีกๆๆๆ”
หลังจบเกม มีหลายคำถามเกิดขึ้นเกี่ยวกับฟอร์มการเล่นและผลงานในเกมแรกของทีมชาติไทย แต่สุดท้ายผู้สื่อข่าวในห้องแถลงก็ได้ตัดสินใจถามนิชิโนะว่าอะไรคือความแตกต่างระหว่างทีมที่ลงแข่งขันในรายการนี้กับซีเกมส์
ซึ่งนิชิโนะได้ออกมายอมรับว่า “ความเข้าใจของแต่ละคนไม่ได้ต่างจากซีเกมส์ แต่ที่ผลงานไม่ดีเป็นเพราะผมบริหารจัดการได้ไม่ดี เมื่อกลับมาที่ไทยเราก็ได้ฟื้นฟูร่างกาย และการได้เป็นเจ้าภาพก็ทำให้เด็กมีความมุ่งมั่น มีความเข้าใจ และเล่นได้เป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น”
นอกจากนี้ภายในงานแถลงข่าวหลังเกมสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มกับอิรัก ผู้สื่อข่าวจากต่างประเทศสอบถามขึ้นอีกครั้งถึงเรื่องผลงานในซีเกมส์ ซึ่งนิชิโนะก็ยืนยันคำเดิมว่าความผิดพลาดเกิดขึ้นจากตัวของเขาเอง
“ก่อนอื่นผมขอพูดคำเดิม จากซีเกมส์จนถึงตอนนี้ สำหรับนักกีฬา ความเข้าใจและความฟิตไม่ได้แตกต่าง ความผิดพลาดในซีเกมส์คือผมจัดการได้ไม่ดี เพราะเพิ่งรู้จักนักเตะตอนเดินทาง และต้องเล่นหญ้าเทียมแบบวันเว้นวัน ทำให้เราทำผลงานในซีเกมส์ได้ไม่ดี ในอนาคตเราอยากท้าทายให้มากกว่านี้ สู้กับทีมระดับสูงให้มากกว่านี้
“การแข่งขันในครั้งนี้ทำให้เรามีประสบการณ์จากทีมระดับสูง นักเตะเรายังขาดประสบการณ์ หลังจบทัวร์นาเมนต์ เมื่อยังไม่มีแผนมันก็ไม่ต่อเนื่อง ซึ่งเราควรมีในการเจอกับทีมใหญ่ และไม่ใช่แค่ชุดนี้ แต่ยังรวมถึงชุดที่อายุต่ำกว่านี้ด้วย”
เสมือนเป็นการยอมรับข้อผิดพลาดในอดีต และเดินหน้าไปสู่เป้าหมายในอนาคต
กล้าที่จะสู้กับทีมที่มีศักยภาพด้านร่างกายสูงกว่า
หากดูผลการแข่งขันทั้ง 3 นัดจะเห็นได้ชัดว่าฟอร์มการเล่นของไทยนัดแรกและในครึ่งแรกของเกมที่ 2 ซึ่งพ่ายให้กับออสเตรเลีย ไทยมีศักยภาพเพียงพอทั้งในด้านของเทคนิค ความเร็ว และความเข้าใจในแท็กติกด้วยการเดินเกมรุกไปข้างหน้า พร้อมกับกดดันคู่ต่อสู้เมื่อทีมเสียบอล ส่วนหนึ่งมาจากสิ่งที่นิชิโนะกล่าวย้ำมาโดยตลอด นั่นคืออยากให้นักเตะ โดยเฉพาะเยาวชนกล้าที่จะเล่นและแสดงออกในการแข่งขันระดับสูง และที่สำคัญคือพร้อมทำงานเป็นทีม
ผลก็คือในรายการนี้เราได้เห็นทั้ง ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา, สุภโชค สารชาติ และศุภชัย ใจเด็ด เล่นอย่างมีความมั่นใจและเข้าใจ ซึ่งในเกมรุกของไทยถือว่าเป็นจุดที่สามารถทำได้ดีเยี่ยมที่สุดในการแข่งขันรายการนี้ คือมีเกมรุกที่รวดเร็วและแม่นยำ
แต่เมื่อการแข่งขันดำเนินผ่านไปพร้อมกับนักเตะจากออสเตรเลียที่เข้าบอลในเกมอย่างรุนแรงด้วยพละกำลังที่เหนือกว่าอย่างต่อเนื่อง ก็เริ่มส่งผลให้นักเตะไทยอ่อนล้าลงอย่างเห็นได้ชัด
จุดนี้นิชิโนะก็ยอมรับในช่วงหลังจบเกมกับออสเตรเลียว่านักเตะไทยเป็นรองในด้านของสภาพร่างกาย
“เกมนี้ตลอด 90 นาที เราเป็นรองเรื่องสภาพร่างกาย พอโดนปะทะบ่อยๆ เข้า เราก็ไม่สามารถยืนระยะได้ตลอดทั้ง 90 นาที การเล่นของเราในเกมนี้ เราพยายามใช้จุดเด่นคือเล่นบอลบนพื้น ออกบอลให้เร็ว และครึ่งแรกเราก็ทำได้ดี
“ผู้เล่นในแนวรุกพยายามใช้ความเร็วเข้าทำได้ดี แล้วพอครึ่งหลังแรงก็หมด ไม่สามารถวิ่งแซงคู่ต่อสู้ได้ เราต้องพยายามพิจารณาอีกครั้งว่าเราจะรับมือกับสไตล์การเล่นแบบนี้ได้อย่างไรบ้าง
“เกมรับของเรา นักเตะแต่ละคนก็พยายามเล่นตามแผนและช่วยกัน ส่วนเกมรุก ด้วยสภาพร่างกายที่ล้าและแรงหมดก่อน ก็ทำให้การเคลื่อนที่ไม่สามารถทำได้ตามที่ฝึกซ้อม”
อย่างไรก็ตาม แม้สภาพร่างกายจะเป็นรอง แต่นิชิโนะและแข้งช้างศึกวัยเยาว์ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าแข้งไทยสามารถต่อกรกับทีมใหญ่ในระดับเอเชียได้
กล้าที่จะลอง
การเปลี่ยนผู้เล่นในตำแหน่งตัวจริงถึง 7 คนในเกมที่ไทยเสมอกับอิรักนัดสุดท้ายถือว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนกล่าวถึงภายในห้องทำงานของสื่อมวลชนในสนามราชมังคลากีฬาสถาน ก่อนที่เกมจะเริ่มต้นขึ้น
แม้ว่าหลายคนยังคงเชื่อมั่นในการตัดสินใจของโค้ช แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมถึงได้กล้าเปลี่ยนผู้เล่น 11 ตัวจริงมากขนาดนี้ ในเกมที่เรายังต้องการผลเสมอเพื่อผ่านเข้ารอบ
นิชิโนะได้ออกมายอมรับหลังเกมว่าเป็นความเสี่ยงที่จะเปลี่ยน 11 ผู้เล่นตัวจริงหลายตำแหน่ง รวมถึงการส่งเอา เบนจามิน เดวิส แข้งดาวรุ่งจากทีมฟูแลม ลงสนามในตำแหน่งกองหน้าที่เล่นในรูปแบบของ False 9
แต่เขาก็กล้าที่จะทดลองพร้อมกับความเชื่อมั่นในตัวของนักเตะทุกคน ซึ่งเหมารวมถึงตัวสำรองที่ไม่ได้ลงสนามในช่วงสองเกมแรกอีกด้วย
“การเปลี่ยนแปลง 11 ตัวจริงในวันนี้ จากที่นัดแรกและนัดที่สองที่ผ่านมาเราทำงานเป็นทีมได้ดี นักเตะทุกคนฟื้นฟูได้ดี แต่เห็นได้ชัดว่าทุกคนมีอาการล้า วันนี้จึงตัดสินใจใช้ตัวสำรองที่ยังไม่ได้ลงสนาม ซึ่งในตอนซ้อมหลายคนทำได้ดี เราก็อยากให้โอกาส ซึ่งในช่วงก่อนเกมได้กำชับนักเตะว่าไม่ต้องกลัวและจงมีสมาธิ โดยเฉพาะในครึ่งหลังที่เราจะต้องวัดกัน ซึ่งทุกคนก็ปรับตัว และสุดท้ายก็สามารถยันสกอร์ไว้ได้
“แผนการเล่นที่ใช้ เบนจามิน เดวิส กับวรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ ในแดนหน้าที่ผมตัดสินใจใช้ทั้งคู่ ก่อนอื่นเลยคือทั้งคู่ไม่ใช่สายวิ่ง แต่ทั้งสองคนมีเซนส์บอลที่ทันกันและสามารถเก็บบอลได้ เราจึงตัดสินใจให้ลง ในกรณีของเบนจามิน เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาเจ้าตัวเจ็บคอ ไม่สบาย และไม่สามารถไปยืดเส้นยืดสายกับทีมได้ แต่ที่ผ่านมาทั้งคู่สามารถทำได้ดี ประสานงานได้ดีเยี่ยมในการซ้อม ก็เลยลองใช้ทั้งคู่ลงสนามพร้อมกัน โดยเน้นที่การครองบอลและใช้ผู้เล่นด้านข้างเป็นตัวเข้าทำ ซึ่งต้องยอมรับว่าเสี่ยง แต่ก็ได้ผล แต่ครึ่งหลังที่เราเปลี่ยนตัวเบนจามินออกเป็นเพราะเขามีใบเหลืองและสุ่มเสี่ยงที่จะโดนไล่ออก เราจึงต้องลดความเสี่ยงด้วยการเปลี่ยนตัวเขาออก
กล้าที่จะฝัน
การแข่งขันรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปีถือเป็นการแข่งขันชุดสุดท้ายก่อนที่จะก้าวขึ้นไปสู่ทีมชาติชุดใหญ่สำหรับหลายๆ ทีมที่เดินทางมาแข่งขันรายการชิงแชมป์เอเชียที่ประเทศไทยในครั้งนี้ รวมถึงย่อมมีความฝันที่อยากจะก้าวขึ้นไปแข่งขันรายการโอลิมปิกสักครั้งหนึ่ง
หนึ่งในนั้นคือ ทิตาธร อักษรศรี แบ็กซ้ายทีมชาติไทยที่โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมตลอด 3 เกมของทีมชาติไทยในรอบแบ่งกลุ่ม
ทิตาธรถือเป็นหนึ่งในนักเตะที่ถูกกล่าวถึงภายในงานแถลงข่าวเกมนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม ซึ่งต้องบอกว่าคำตอบที่นิชิโนะได้กล่าวถึงทิตาธรเป็นสิ่งที่สร้างเสียงฮือฮาให้กับผู้สื่อข่าว โดยเฉพาะจากประเทศไทยได้มากพอสมควร
“ผมคิดว่าทิตาธรมีรูปร่างที่ดี แข็งแกร่ง และถนัดเท้าซ้าย ซึ่งเหมาะกับการเป็นแบ็กซ้าย แต่เขายังมีจุดอ่อนเรื่องเกมรับ และหวังว่าจะเป็นนักเตะที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต หวังว่าเขาจะมีความคิดเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งแบ็กซ้ายของ ธีราทร บุญมาทัน ในอนาคต”
จากการตามรายงานข่าวฟุตบอลทีมชาติไทยทั้งชุดใหญ่และรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี สิ่งที่คุ้นหูมากที่สุดจากการนั่งฟังการแถลงข่าวหรือก่อนการฝึกซ้อม ความกล้าที่จะพิสูจน์ตัวเองในการแข่งขันคือสิ่งที่นิชิโนะมักจะกระตุ้นแข้งฟุตบอลทีมชาติไทยอย่างสม่ำเสมอ ทั้งการแข่งขันในสนามและการพิสูจน์ตนเองกับทีม
จากความพยายามนี้เองทำให้เราเห็นนักเตะไทยลงแข่งขันรายการระดับชิงแชมป์เอเชียแบบเคารพ แต่ไม่เกรงกลัวคู่ต่อสู้ ซึ่งวันนี้ความกล้าต่างๆ ที่ถูกปลูกฝังลงไปสู่สนามฟุตบอลจึงส่งผลให้เราสามารถก้าวขึ้นมาเป็น 1 ใน 8 ทีมสุดท้ายของฟุตบอลระดับเอเชียรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปีได้สำเร็จ
แต่เป้าหมายสู่การแข่งขันโอลิมปิก นิชิโนะได้เผยแล้วว่าการผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของรายการนี้เป็นเพียงก้าวแรก แต่สำหรับก้าวต่อไป ความท้าทายจะยกระดับสูงขึ้น เช่นเดียวกันกับการเตรียมพร้อมและความกล้าที่จะก้าวขึ้นไปท้าทายและทำให้ได้ตามเป้าหมาย นั่นคือการแข่งขันโอลิมปิก 2020 ที่กรุงโตเกียว
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์