×

Bradley Cooper จากบทเล็กๆ ใน Sex and the City สู่การกำกับ A Star Is Born พระเอกฮอลลีวูดที่ไม่ได้มีแค่ผมสีบลอนด์และตาสีฟ้า

20.02.2019
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

7 MINS READ
  • แบรดลีย์ คูเปอร์ ก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาปริญญาโทด้วยผลงานเดบิวต์จากบทบาทเล็กๆ ในทีวีซีรีส์เรื่อง Sex and the City (1998) ก่อนที่อีก 3 ปีต่อมา แบรดลีย์จะได้รับโอกาสทางการแสดงเป็นครั้งแรกในภาพยนตร์คอเมดี้เรื่อง Wet Hot American Summer (2001)
  • ภาพยนตร์ The Hangover ทำให้ใครหลายคนเริ่มรู้จักชื่อของแบรดลีย์จากบทบาท ฟิล เวนเนค ซึ่งภาพยนตร์ทั้ง 3 ภาค The Hangover (2009), The Hangover Part 2 (2011) และ The Hangover Part 3 (2013) ทำรายได้รวมกันสูงถึง 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ
  • ปี 2013 แบรดลีย์ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลทางการแสดงใหญ่ๆ หลายเวทีเป็นครั้งแรกทั้ง Golden Globes, SAG Awards, BAFTA Awards และ Academy Awards จากบท แพท โซริตาโน ในภาพยนตร์เรื่อง Silver Linings Playbook (2012) และต่อมาได้เข้าชิงจากภาพยนตร์ American Hustle (2013) และ American Sniper (2014) ซึ่งนั่นทำให้เขากลายเป็นนักแสดงชายคนที่ 10 ในประวัติศาสตร์ของโลกภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 3 ปีติดต่อกัน
  • 17 เมษายน 2017 แบรดลีย์ในวัย 42 ปีได้เริ่มต้นทำสิ่งใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต นั่นก็คือการเป็น ‘ผู้กำกับภาพยนตร์’ เรื่อง A Star Is Born (2018) ซึ่งกวาดรายได้ทั่วโลกไปมากถึง 421 ล้านเหรียญสหรัฐ อีกทั้งยังมีชื่อเข้าชิงในงานประกาศรางวัลออสการ์ 8 สาขา

Matt Petit / ©A.M.P.A.S.  

 

ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ แบรดลีย์ คูเปอร์ จะไม่ใช่นักแสดงที่ชนะรางวัลอะไรมากมายนัก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาขาดความสามารถในงานแสดง เพราะภาพยนตร์หลายเรื่องที่เขาเล่นได้กลายเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเขาคือหนึ่งในนักแสดงยอดฝีมือแห่งวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูดยุคสมัยปัจจุบันที่เรารู้จักและคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี

      

แบรดลีย์ ชาร์เลส คูเปอร์ เกิดเมื่อวันที่ 5 มกราคม 1975 เมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา เติบโตขึ้นมาในครอบครัวฐานะปานกลาง ไม่ได้ร่ำรวย ไม่ได้ลำบาก หรือต้องต่อสู้ชีวิตมากเท่าไรนัก

 

แบรดลีย์จบปริญญาตรีเกียรตินิยมเมื่อปี 1997 จากคณะศิลปศาสตร์ เอกวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ก่อนที่เขาจะย้ายไปเรียนปริญญาโทต่อที่ Actors Studio Drama School เมืองนิวยอร์ก สถานที่ที่ทำให้เขาเริ่มหันมาสนใจทางด้านการแสดงอย่างจริงจัง และดูเหมือนว่าแบรดลีย์จะไม่ต้องเสียเวลาไปกับการรอคอยนานเท่าไรกับการเริ่มต้นอาชีพนักแสดง เพราะเขาก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาปริญญาโทด้วยผลงานเดบิวต์จากบทบาทเล็กๆ ในทีวีซีรีส์เรื่อง Sex and the City (1998)  

 

 

 

 

 

ก่อนที่อีก 3 ปีต่อมา แบรดลีย์จะได้รับโอกาสทางการแสดงเป็นครั้งแรกในภาพยนตร์คอเมดี้เรื่อง Wet Hot American Summer (2001) ของผู้กำกับ เดวิด เวน ภาพยนตร์ที่เขายอมทิ้งงานรับปริญญาของตัวเองเพื่อไปเข้าฉากถ่ายทำ ซึ่งก็แน่นอนว่าด้วยความที่เป็นภาพยนตร์เรื่องแรก ผลงานการแสดงที่เขาฝากไว้มันก็ยังไม่ดีพอที่จะทำให้ชื่อของแบรดลีย์โด่งดังและเป็นที่รู้จัก แต่หลังจากเดบิวต์เข้าสู่วงการภาพยนตร์ฮอลลีวูดแล้ว เขาก็ใช้เวลาหลายปีหลังจากนั้นทุ่มเทให้กับการทำงานและเดินทางตามหาความสำเร็จให้แก่ตัวเอง

 

เขามีโอกาสได้เล่นภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่อง ไล่ตั้งแต่ภาพยนตร์ตลกอย่าง Wedding Crashers (2005), Failure to Launch (2006), The Comebacks (2007), He’s Just Not That Into You (2009), The A-Team (2010) ฯลฯ แต่ก็ถือว่ายังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะส่วนใหญ่บทบาทที่เขารับเล่นเป็นเพียงบทเล็กๆ ในภาพยนตร์คอเมดี้ที่ไม่ได้มีความโดดเด่นอะไรมากมาย

 

จนกระทั่งการมาถึงของภาพยนตร์ The Hangover จุดเริ่มต้นของภาพยนตร์ไตรภาคแนวคอเมดี้สุดเพี้ยนของผู้กำกับ ท็อดด์ ฟิลลิปส์ ที่ทำให้ใครหลายคนเริ่มรู้จักชื่อของแบรดลีย์จากบทบาท ฟิล เวนเนค หนึ่งในสามของแก๊งเพื่อนซี้ขาเมา ซึ่งหากมองในแง่ของความสำเร็จก็ถือว่าทั้งตัวภาพยนตร์และแบรดลีย์ต่างก็ประสบความสำเร็จจากผลงานชิ้นนี้ ภาพยนตร์ทั้ง 3 ภาค The Hangover (2009), The Hangover Part 2 (2011) และ The Hangover Part 3 (2013) ทำรายได้รวมกันสูงถึง 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนแบรดลีย์เองก็เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น

 

Matt Brown / ©A.M.P.A.S.

   

ปี 2013 ดูเหมือนจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดบนเส้นทางนักแสดงของแบรดลีย์ เมื่อเขาถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลทางการแสดงใหญ่ๆ ในหลายเวทีเป็นครั้งแรกทั้ง Golden Globes, SAG Awards, BAFTA Awards และสำคัญที่สุด Academy Awards จากบท แพท โซริตาโน ชายหนุ่มผู้ป่วยเป็นโรคไบโพลาร์ในภาพยนตร์ดราม่า-คอเมดี้เรื่อง Silver Linings Playbook (2012) ที่เขารับบทนำร่วมกับ เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ซึ่งเคมีของทั้งคู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เข้ากันได้เป็นอย่างดี

  

การแสดงอันยอดเยี่ยมใน Silver Linings Playbook ของแบรดลีย์ส่งให้เขาคว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมและฉากจูบยอดเยี่ยมของงาน MTV Movie Award 2013 จนทำให้นักเขียนคนหนึ่งของนิตยสาร Rolling Stone กล่าวว่า “นั่นเป็นการแสดงที่น่าตื่นเต้นและดีที่สุดในชีวิตของแบรดลีย์”

 

ถือเป็นเรื่องน่าเสียดายที่สุดท้ายบทสรุปของงานประกาศรางวัลเบอร์ใหญ่ในปีนั้นจะจบลงด้วยการที่แบรดลีย์ไม่สามารถคว้ารางวัลอะไรกลับมานอนกอดที่บ้านได้เลยแม้แต่รางวัลเดียว แต่นั่นก็เป็นเหมือนการประกาศให้โลกได้รับรู้อย่างเป็นทางการแล้วว่าเขาคือหนึ่งในนักแสดงที่น่าจับตามองมากที่สุดคนหนึ่งของฮอลลีวูด

 

Angela Weiss / AFP

 

หลังจากที่ชีวิตเข้าสู่ช่วงพีกสุดๆ เมื่อปี 2013 กราฟชีวิตของแบรดลีย์ก็ยังคงพุ่งแรงขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง เมื่อเขากลับมามีชื่อเข้าชิงในงานประกาศรางวัลออสการ์อีกครั้งเมื่อปี 2014 และ 2015 จากบทสมทบในภาพยนตร์ดราม่า-อาชญากรรมเรื่องเยี่ยมอย่าง American Hustle (2013) ที่กำกับโดย เดวิด โอ. รัสเซล และบทนำใน American Sniper (2014) ของผู้กำกับรุ่นเดอะ คลินต์ อีสต์วูด ทำให้เขากลายเป็นนักแสดงชายคนที่ 10 ในประวัติศาสตร์ของโลกภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 3 ปีติดต่อกัน

 

ถึงตรงนี้ก็พูดได้อย่างเต็มปากว่าแบรดลีย์ คูเปอร์ คือนักแสดงที่มีชื่อเสียง เพราะตลอดช่วงเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ผลงานเปิดตัว Wet Hot American Summer เขาเดินทางมาไกลมากจากจุดเริ่มต้น และได้พิสูจน์ความสามารถผ่านผลงานการแสดงในภาพยนตร์หลายๆ เรื่อง

       

17 เมษายน 2017 แบรดลีย์ในวัย 42 ปีได้เริ่มต้นทำสิ่งใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต นั่นก็คือการเป็น ‘ผู้กำกับภาพยนตร์’ A Star Is Born (2018) ภาพยนตร์รีเมกแนวโรแมนติก-ดราม่าเรียกน้ำตาที่มีเสียงเพลงและดนตรีเป็นส่วนประกอบสำคัญ ซึ่งงานนี้นอกจากเขาจะรับหน้าที่เป็นผู้กำกับแล้ว แบรดลีย์ยังควบตำแหน่งนักแสดงนำฝ่ายชายของเรื่องที่ต้องแสดงคู่กับ เลดี้ กาก้า นักร้องเสียงทรงพลังที่เข้ามารับบทนำฝ่ายหญิงอีกด้วย

 

 

 

 

 

แต่ที่น่าทึ่งไปกว่านั้นคือเสียงร้องของเขาใน Shallow เพลงประกอบของเรื่องที่ทำเอาคนทั้งโลกเซอร์ไพรส์ เพราะก่อนหน้านี้แทบไม่มีใครเคยรู้มาก่อนเลยว่านักแสดงอย่างแบรดลีย์จะร้องเพลงได้เพราะขนาดนี้ แถมบทบาทในเรื่องของเขาอย่างการเล่นเป็นนักดนตรีมาดเซอร์ชื่อดังนามว่า แจ็คสัน เมน ก็ช่างเป็นบทที่ดูเท่และมีเสน่ห์มากเหลือเกิน

        

แบรดลีย์เฝ้ารอโอกาสที่จะได้เป็นผู้กำกับภาพยนตร์มานาน ตลอดช่วงเวลาการเป็นนักแสดง เขาได้เรียนรู้และศึกษางานจากผู้กำกับหลายคนที่ตัวเขาเองมีโอกาสร่วมงานด้วย ไม่ว่าจะเป็น ท็อดด์ ฟิลลิปส์, เดวิด โอ. รัสเซล หรือผู้กำกับรุ่นใหญ่มากประสบการณ์อย่าง คลินต์ อีสต์วูด เขาให้เวลาตัวเองถึง 4 ปีในการสั่งสมประสบการณ์ ก่อนจะลงมือทำภาพยนตร์เรื่อง A Star Is Born เพราะหากว่ากันตามตรงแล้วมันก็ถือเป็นเรื่องเสี่ยงอยู่ไม่น้อย ถ้าเขาจะเลือกเปิดตัวในฐานะผู้กำกับด้วยการหยิบเอาภาพยนตร์เก่าที่ถูกรีเมกมาแล้วถึง 2 ครั้งมาปัดฝุ่นแล้วสร้างขึ้นใหม่เป็นครั้งที่ 3

 

“มันค่อนข้างเสี่ยงกับการผลักดันตัวเองไปทำหน้าที่ตรงนั้น เพราะการเป็นผู้กำกับมันแตกต่างจากการเป็นนักแสดง และทุกอย่างมันก็ขึ้นอยู่กับเวลา ผมจึงต้องรอเวลาที่ตัวเองพร้อมจริงๆ เสียก่อนแล้วค่อยลงมือทำมันครับ” แบรดลีย์กล่าว

 

Andrea Raffin / Shutterstock

 

A Star Is Born เวอร์ชันล่าสุดของแบรดลีย์เปิดตัวครั้งแรกในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิส ก่อนจะเข้าฉายอย่างเป็นทางการในอเมริกาเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2018 และเรื่องราวหลังจากนั้นก็คือช่วงเวลาแห่งความสำเร็จ เมื่อตัวภาพยนตร์ได้รับกระแสดีเกินคาด โดยกวาดรายได้ทั่วโลกไปมากถึง 421 ล้านเหรียญสหรัฐ อีกทั้งยังมีชื่อเข้าชิงในงานประกาศรางวัลออสการ์ 8 สาขา (ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม, นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม, นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม, เพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ถ่ายภาพยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม และลำดับเสียงยอดเยี่ยม)

 

แม้แบรดลีย์จะเปิดตัวในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ได้อย่างสวยหรู แต่ทว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกอายและผิดหวังก็คือการพลาดเข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขาผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เพราะก่อนหน้านี้ในงานประกาศรางวัลเวทีใหญ่อย่าง Golden Globes, BAFTA Awards และ DGA Awards เขามีชื่อเข้าชิงในสาขาผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมทุกเวที ทั้งยังได้เข้าชิงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม รางวัลใหญ่ที่สุดของงาน  

 

แบรดลีย์รู้สึกว่าการไม่ได้เข้าชิงออสการ์ในสาขาผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปีนี้มันเป็นเหมือนกับรอยด่างที่เกิดขึ้นในชีวิตเขา แต่เราเชื่อว่าในสายตาของคนที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่อง A Star Is Born คงไม่ได้คิดแบบนั้น เพราะความสำเร็จที่เกิดขึ้นหลังจากที่ภาพยนตร์เข้าฉายมันพิสูจน์แล้วว่าเขาทำได้ดีทีเดียวสำหรับงานกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิต

 

 

 

 

 

สำหรับ Shallow อีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นใน A Star Is Born เพลงประกอบภาพยนตร์ที่แบรดลีย์ร้องร่วมกับเลดี้ กาก้า กลายเป็นกระแสฟีเวอร์และเป็นเพลงฮิตที่สุดในช่วงเวลาที่ภาพยนตร์เข้าฉาย ทั้งยังประสบความสำเร็จบนเวทีประกาศรางวัลอย่าง Golden Globes และ BAFTA Awards หลังคว้ารางวัลในสาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมมาครองได้ ทั้งยังส่งให้แบรดลีย์และเลดี้ กาก้า ชนะรางวัล Grammy Awards สาขาบันทึกเสียงยอดเยี่ยมและสาขาศิลปินคู่/กลุ่มที่เล่นเพลงป๊อปยอดเยี่ยมอีกด้วย

 

เมื่อไม่นานมานี้ ณ คอนเสิร์ตของเลดี้ กาก้า ในลาสเวกัส เธอได้ชวนแบรดลีย์ที่นั่งอยู่ในกลุ่มคนดูให้ขึ้นมาร้องเพลง Shallow แบบสดๆ ร่วมกันเป็นครั้งแรกท่ามกลางสายตาของผู้คนนับพัน มันเป็นการแสดงที่สวยงามเกินกว่าจะบรรยาย จนใครหลายคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “นี่แหละคือฉากจบที่สมบูรณ์แบบที่สุดของภาพยนตร์เรื่อง A Star Is Born”

 

หลังจากที่ A Star Is Born ประสบความสำเร็จ นั่นก็ทำให้เราปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าแบรดลีย์คือหนึ่งในนักแสดงที่เต็มไปด้วยความสามารถของโลกภาพยนตร์ยุคปัจจุบัน และด้วยความสามารถที่มากมายขนาดนี้ มันก็ทำให้เราคิดขึ้นมาได้ว่า บางทีคำว่า ‘A Star Is Born’ ก็อาจจะหมายถึงตัวเขาเองนั่นล่ะ

 

Cover Photo: Vincenzo Pinto / AFP

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising