×

BNK48 สะท้อนเบื้องหลังชีวิตไอดอลผ่านบทเพลง ‘RUMOR’

14.05.2025
  • LOADING...
bnk48-rumor-single-release-2025

THE STANDARD POP ต้อนรับ 6 สาวจาก BNK48 โมเน่ต์-ภาริตา ริเริ่มกุล, ฮูพ-ปาฏลี ประเสริฐธีระชัย, พีค-ภูษิตา วัฒนากรแก้ว, มิชา-ณัฐรินีย์ กุศลพัฒน์, เฟม-นันทภัค กิตติรัตนวิวัฒน์ และ วาว่า-พิมพ์นเรศ ลำใย ที่มาเยือนพร้อมซิงเกิลใหม่ RUMOR ที่กำลังสร้างกระแสแรงแบบหยุดไม่อยู่ หลังแตะหลัก 5 แสนวิวแล้วในตอนนี้ แน่นอนว่าเราไม่พลาดที่จะชวนพวกเธอมานั่งพูดคุยในบรรยากาศสบายๆ 

 

 

แต่ RUMOR ไม่ใช่แค่เพลงสนุกที่มีท่าเต้นอันโดดเด่นเท่านั้น เพราะเนื้อหาของเพลงยังสะท้อนชีวิตจริงของการเป็นไอดอล อาชีพที่ต้องเผชิญทั้งข่าวลือ เสียงวิจารณ์ และสายตาจับจ้องตลอดเวลา สำหรับพวกเธอ เพลงนี้คือเรื่องเล่าของเด็กผู้หญิงธรรมดาที่เติบโตท่ามกลางแรงกดดัน ความคาดหวัง และการตีความหลากหลายจากโลกภายนอก

 

บทสนทนาครั้งนี้จะพาคุณเข้าไปฟังเสียงหัวใจของพวกเธอ ตั้งแต่ความรู้สึกเมื่อได้เป็นส่วนหนึ่งของเพลงที่พูดแทนชีวิตจริง เบื้องหลังการรับมือกับความท้าทาย 

 

ไปจนถึงการมองคำว่า ‘ไอดอล’ ด้วยสายตาที่เติบโตขึ้น เพราะเสน่ห์ของ BNK48 ไม่ได้อยู่แค่ในบทเพลงหรือการแสดงบนเวที แต่คือความจริงใจในรอยยิ้มและหยดน้ำตา ที่พร้อมส่งต่อพลังใจกลับไปยังทุกคนที่เคียงข้างพวกเธอเสมอมา

 

BNK48

 

 

Monet รู้สึกอย่างไรบ้าง? จากเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยซ้อมเต้นเพลงนี้คนเดียวในห้อง วันนี้ได้ก้าวขึ้นมาเป็น Center ของเพลง RUMOR และได้พาเพลงนี้มาเป็นซิงเกิลพิเศษที่แฟนๆ ให้ความสนใจ

 

Monet: หนูฟังเพลงนี้ครั้งแรกตอนปี 2021 เป็นช่วงที่เวอร์ชันของ AKB ปล่อยออกมา จำได้เลยว่าหนูยังอยู่ที่หอ เปิดคลิปซ้อมดูซ้ำๆ ทุกวันจนพี่เจ้าเข็ม (อดีตเมมเบอร์รุ่น 3) ที่เป็นเพื่อนในวงยังแซวว่า “วันนี้ดูอีกแล้วเหรอ” 

 

คือหนูอินกับเพลงนี้มากจริงๆ และหนูก็ชอบท่าเต้นด้วย แม้ว่าตอนนั้นหนูยังเต้นไม่เก่ง ท่าเต้นก็แกะไม่ค่อยได้ เวลาอยากซ้อม หนูก็เลือกที่จะซ้อมคนเดียวในห้อง เปิดเพลงแล้วเต้นใส่หูฟังแบบอินสุดๆ เหมือนคนบ้าเลย (หัวเราะ) แต่เพราะหนูรักเพลงนี้มากจริงๆ

 

มันมีช่วงหนึ่งที่หนูเคยแอบคิดเล่นๆ ว่า ถ้าได้เป็นเซ็นเตอร์เพลงนี้ก็คงดี แต่ตอนนั้นคือเรายังอยู่ท้ายแถวสุดๆ เพลงเดบิวต์ของรุ่นก็ยังไม่ได้อยู่ในแถวหน้าเลย ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสมาถึงจริงๆ 

 

แต่พอวันนี้ได้มายืนเป็นเซ็นเตอร์ในเพลงที่เรารัก มันเหมือนพาตัวเองกลับไปมองเด็กคนนั้นที่เริ่มจากศูนย์ หนูรู้สึกดีใจและภูมิใจมากๆ “ถ้าเด็กคนนั้นได้รู้ว่าเขาจะมาอยู่ตรงนี้ หนูว่าคงจะยิ้มไม่หุบแน่ๆ”

 

สิ่งที่หนูตั้งใจตอนนี้คือ ทำให้ดีที่สุด และอยากพาเพลงนี้ไปให้ไกลที่สุดค่ะ อยากให้ RUMOR สร้างปรากฏการณ์ สร้างอะไรบางอย่างที่แฟนๆ และสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างให้กับ 48TH

 

BNK48

 

 

สำหรับคนอื่นๆ ที่มีโอกาสติดในซิงเกิลนี้ รู้สึกอย่างไรบ้างกับการได้เป็นส่วนหนึ่งของเพลงที่มีความหมายขนาดนี้?

 

Wawa: หนูจำได้เลยว่ามีงานหนึ่งที่เปิดเพลงนี้ขึ้นมา ตอนนั้นรู้สึกเลยว่าเพลงนี้เท่มากและอยากเต้นมาก แต่ยังไม่มีโอกาส จนมาวันนี้ที่หนูได้ติดเซ็มบัตสึของเพลงนี้ ก็ดีใจสุดๆ เลยค่ะ ยิ่งพอรู้ว่าเพลงนี้ได้ทำ MV ด้วย ยิ่งตื่นเต้นมากจริงๆ เพราะมันคือโอกาสที่เราจะได้ถ่ายทอดพลังของเพลงออกไปให้ทุกคนเห็น หนูหวังว่า MV จะทำให้คนดูสัมผัสได้ถึงความตั้งใจของพวกเราจริงๆ ค่ะ

 

Micha: สำหรับหนูก็เหมือนกันเลยค่ะ ตอนที่รู้ว่าได้ติดเซ็มบัตสึก็ดีใจมากอยู่แล้ว แต่พอรู้ว่าจะได้ถ่าย MV ด้วย มันยิ่งทำให้รู้สึกว่า เพลงนี้มีความพิเศษจริงๆ หนูอยากให้ทุกคนได้เห็นและสัมผัสพลังของเพลงนี้ เหมือนที่พวกเรารู้สึกเวลาได้ซ้อมและแสดงมันค่ะ

 

BNK48

 

เพลงนี้พูดถึงการยืนอยู่ท่ามกลางกระแสข่าวลือและการถูกตัดสินจากคนรอบข้าง ในฐานะไอดอลที่ถูกจับตามองอยู่เสมอ เรามีวิธีรับมือกับสิ่งเหล่านี้อย่างไร?

 

Hoop: พอรุ่น 3 เข้ามา หนูรู้สึกว่าเราต้องเจอข่าวลือเยอะมาก ทั้งข่าวแบบขำๆ หรือข่าวที่ปั่นๆ หนูก็เป็นหนึ่งในคนที่เจอบ่อยเหมือนกันค่ะ เมื่อก่อนหนูเซนซิทีฟมาก เวลาเจอข่าวไม่จริง หนูจะเครียดจนเก็บมาคิดหนักเลย อย่างตอนที่มีคนบอกว่าหนูบูลลี่โมเน่ต์ ทั้งที่จริงๆ เราแค่ไลฟ์เล่นกันเฉยๆ หนูซีเรียสมากจนเก็บมาคิดหนักถึงขั้นที่สุขภาพจิตและร่างกายเริ่มไม่ไหวเลย จนมีช่วงหนึ่งเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า “เรามาทำอะไรตรงนี้?”

 

แต่หลังๆ หนูเริ่มปรับวิธีคิด พยายามมองข่าวลือในมุมตลกแทน ถ้ามันไม่จริงก็คิดว่า “เออ ตลกดีนะ” มีคนขยันถึงขนาดมานั่งจับเวลาทำสถิติการจับมือของเราเลย (หัวเราะ) หรือมีคนมาบอกว่าหนูให้ VIP คนอื่นเยอะมาก หนูได้แต่ตอบเขาว่า ‘พี่จะเชื่อใครก็ได้ หนูไม่ว่าเลย แต่ขอแค่พี่ฟังหนูนะ หนูไม่เคยทำอะไรแบบนั้นจริงๆ’

 

ทุกวันนี้หนูพยายามมองข่าวลือในมุมขำๆ แทน เพราะสุดท้ายหนูเรียนรู้ว่ามันไม่มีวิธีรับมือที่ตายตัว แค่เปลี่ยนมุมมองให้มันกลายเป็นพลังบวก ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องสนุก แล้วชีวิตเราก็จะสนุกค่ะ

 

Fame: ของหนูคือมีข่าวลือว่าหนูเป็นผู้ชายปลอมตัวมาสมัคร BNK48 ค่ะ (หัวเราะ) ด้วยความที่หนูสนิทกับเพื่อนๆ วงเหนือ CGM48 แล้วเราก็มีโมเมนต์น่ารักๆ ด้วยกัน หนูแค่แชร์ให้แฟนคลับได้เห็น แต่กลับมีคนตีความแปลกๆ หนูเคยโดนต่อว่าแรงๆ ในโซเชียลเหมือนกัน แต่ตอนนี้หนูไม่ใส่ใจแล้ว เพราะหนูรู้ดีว่าสิ่งที่เขาพูดไม่ใช่เรื่องจริง เราไม่ควรเสียเวลาไปกับอะไรแบบนั้นค่ะ

 

Peak: หนูโดนหนักเลยค่ะ ตอนอายุ 16 เพิ่งสมัคร BNK48 แต่ยังไม่ได้เปิดตัว ก็มีข่าวลือว่าโกงเงินคนอื่น โดนโทรมาต่อว่าด้วยคำหยาบมากมาย จนแม่ต้องพาไปแจ้งความ 

 

ตอนเปิดตัวแล้วก็ยังมีคนขุดเรื่องนี้มาอีก ตอนแรกก็ร้องไห้หนักเลยค่ะ แต่หลังจากนั้นเริ่มตั้งสติได้ว่า เราไม่ได้ทำอะไรผิดจริงๆ แล้วก็เรียนรู้ว่า ต่อให้เราจะพูดยังไง ถ้าบางคนเขาไม่เชื่อ เขาก็ไม่เชื่ออยู่ดี เราทำได้แค่โฟกัสกับสิ่งที่เราทำ เลยอยากให้คนเสพข่าวมีวิจารณญาณ และรู้จักกรองข้อมูลเท็จจริงให้มากขึ้นค่ะ

 

BNK48

 

ท่ามกลางข่าวลือมากมาย สิ่งหนึ่งที่เพลงพูดถึงคือ ‘ความเชื่อใจ’ เรารู้สึกอย่างไรกับการที่แฟนคลับยังคงเลือกเชื่อในตัวคุณและสนับสนุนคุณต่อเนื่อง?

 

Hoop: แฟนคลับสำหรับหนูไม่ใช่แค่คนที่เราฮีลใจให้ แต่เขาก็เป็นคนที่ฮีลใจเราด้วย หนูรู้สึกว่าการมีพวกเขาอยู่ทำให้เรามีกำลังใจอยากเป็นคนที่ดีขึ้นเรื่อยๆ มีคนเคยถามว่า “ทำไมฮูฟในไลฟ์กับเวลาออกงานถึงดูต่างกัน?” 

 

คือจริงๆ เวลาหนูไลฟ์ หนูรู้สึกว่าได้คุยกับเซฟโซนของตัวเอง เพราะแฟนคลับที่ดูไลฟ์คือคนที่อยากรู้จักเราจริงๆ ไม่มีใครนั่งฟังเราพูดงงๆ อยู่คนเดียว 2 ชั่วโมงหรอกค่ะ (หัวเราะ) 

 

หนูให้ความสำคัญกับพื้นที่ของแฟนคลับมาก และทุกก้าวที่หนูเติบโตในฐานะ BNK48 ไม่ว่าจะสุขหรือเศร้า คนที่หนูอยากเล่าให้ฟังก็คือแฟนคลับ พวกเขาเป็นพลังใจที่ทำให้หนูอยากอยู่ตรงนี้ต่อไป

 

Monet: หนูเชื่อว่าแฟนคลับที่รักและหวังดีกับเราจริงๆ เขาไม่คาดหวังในสิ่งที่เราทำไม่ได้ บางครั้งความคาดหวังมันก็ไม่ผิดนะ แต่ถ้าเราไม่ได้เป็นแบบนั้นจริงๆ มันก็ฝืนยาก 

 

สิ่งที่หนูซาบซึ้งมากคือ แฟนคลับกลุ่มนี้ไม่เคยตัดสินเราเลย ไม่ว่าเราจะพูดอะไร หรือแม้แต่เรื่องที่บางทีหนูยังไม่กล้าบอกแม่ แต่กลับกล้าเล่าให้แฟนคลับฟัง เพราะเขาเข้าใจและอยู่ข้างเราเสมอ

 

หนูเคยเห็นหลายคนในวงการที่ต้องเปลี่ยนตัวเองตามความคาดหวังของผู้คน ซึ่งมันดูเศร้ามาก เพราะสุดท้ายเราก็เป็นแค่คนธรรมดาคนนึง เราไม่ควรต้องเปลี่ยนเพื่อใคร 

 

หนูอยู่กับ BNK48 มาตั้งแต่อายุ 12 รู้สึกว่าแฟนคลับก็โตมากับเราด้วย ความสัมพันธ์มันลึกกว่าคำว่าแฟนคลับนะ มันเหมือนมีสายใยบางอย่างที่ผูกพันกันจริงๆ และคิดเหมือนกันว่าสักวันถ้าแฟนๆ เหล่านี้ไม่อยู่แล้ว มันคงเหมือนใจเราหายไปส่วนหนึ่งเลย พวกเขาคือส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นความรักที่เจ๋งมากๆ ค่ะ

 

Micha: บางทีหนูก็รู้สึกว่าตัวเองยังทำได้ไม่ดีหรือยังไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่ควร แล้วแอบกลัวว่าแฟนคลับจะผิดหวัง แต่ความจริงคือแฟนๆ เขาเข้ามาปลอบใจ บอกว่า “ไม่เป็นไร ครั้งหน้าค่อยสู้ใหม่” มันเป็นกำลังใจสำคัญมากเลยค่ะ ทำให้เรารู้สึกว่าพวกเขาคือพื้นที่ปลอดภัย (Safe Zone) ของเราจริงๆ

 

Wawa: หนูโชคดีที่ไม่ค่อยเจอแฟนคลับแปลกๆ เท่าไร แต่ในโซเชียลเคยโดนเหมือนกัน บางทีแค่คุยเล่นกับแฟนคลับ ก็มีคนเอาไปตั้งกระทู้แล้วคอมเมนต์แรงๆ อย่าง “ทำไม่ได้แล้วเข้ามาเป็น BNK48 ทำไม?” 

 

ตอนนั้นเครียดจนร้องไห้กับประโยคเหล่านี้เลยค่ะ แต่พอได้ทบทวนตัวเอง หนูก็เข้าใจว่า โลกนี้มันต้องมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบเรา อยู่ที่เราจะมองแบบไหน หนูเลยเลือกเก็บเฉพาะกำลังใจดีๆ ค่ะ แฟนคลับที่คอยบอกว่า “ทำอะไรก็ได้ แค่เป็นคนดีก็พอ” ฟังแล้วมันอุ่นใจ นี่แหละคือแรงผลักดันให้หนูอยากทำงานต่อไปค่ะ

 

BNK48

 

มีเรื่องไหนที่เรารู้สึกว่าคนภายนอกยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวเราอยู่บ่อยๆ จนกลายเป็น ‘ข่าวลือ’ หรือภาพจำที่ไม่ตรงกับความจริง? ถ้าวันนี้ได้อธิบายใหม่ อยากพูดอะไรกับพวกเขา?

 

Peak: หลายคนมองว่าหนูเป็น Extrovert เพราะเห็นเวลาอยู่กับเพื่อนจะดูซ่าๆ ดีดๆ แต่จริงๆ หนูเป็น Extrovert แค่เวลาอยู่กับเพื่อนสนิทค่ะ ถ้าอยู่ข้างนอกคนเดียวจะเป็น Introvert มากๆ 

 

ซึ่งความจริงมันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตรงนั้นจริงๆ คือเวลาสนุกสนานเฮฮากับเพื่อนๆ เราจะเหมือน Extrovert แบบเต็มที่ แต่พอมาอยู่คนเดียว ไปไหนคนเดียวก็จะเป็นโหมด Introvert บ้าง ก็อยากจะอธิบายตรงนี้ แต่ถ้าใครอยากรู้จักหนูให้มากกว่านี้ แนะนำให้ซื้อบัตร แล้วมาเจอกันมางานจับมือนะคะ (หัวเราะ)

 

Hoop: ขำสุดคือมีแฟนคลับไปตั้งกระทู้ว่าหนูบีตบ็อกซ์ในไลฟ์ค่ะ คือจริงๆ หนูไม่ได้บีตบ็อกซ์นะคะ แค่ขำเฉยๆ (หัวเราะ) โปรดแก้ข่าวให้หน่อยค่ะ เจอแฟนๆ ตามงานจับมือทีไร ต้องโดนแซวว่า “ฮูฟ บีตบ็อกซ์ให้ฟังหน่อย!” 

 

อีกเรื่องคือคนชอบหาว่าหนูอวดรวย หนูเป็นลูกคนรวยอะไรอย่างนี้ ซึ่งหนูก็ภูมิใจที่พ่อหนูทำธุรกิจประสบความสำเร็จ แต่อีกมุมหนึ่งก็คือหนูก็ไม่ได้รวยค่ะ หนูก็ทำงานหาเงินเอง ใช้เงินเดือนตัวเอง ไม่ได้ขอเงินพ่อแม่แล้วค่ะ ที่ผ่านมาไม่ได้อวดจริงๆ ที่เห็นนั้นคือสิ่งที่พ่อสร้างไว้ค่ะ

 

Monet: ของหนูจะเป็นเรื่องที่มีดราม่าเรื่องเรียกพี่เป (ปาเอญ่า อดีตสมาชิกรุ่น 3) ว่า ‘แม่’ ในไลฟ์วันนั้น คือเรื่องนี้หนูยังไม่มีโอกาสได้พูด เรื่องมันผ่านมา 2 ปีแล้ว

 

คือมันเป็นการเล่นกันขำๆ ค่ะ หนูกับพี่เปสนิทกันมาก แล้วพี่เปจะเรียกแม่ว่า ‘คุณแม่’ ซึ่งในวงไม่ค่อยมีใครเรียกแบบนี้ ส่วนใหญ่จะเรียก ‘แม่’ เฉยๆ หนูก็เลยแซวไปว่า “ใครเรียกแม่ว่า คุณแม่?” 

 

แล้ววันนั้นบังเอิญหน้าพี่เปนิ่งมาก คนก็ตีความว่าเปโกรธหนู เลยเป็นดราม่าขึ้นมา มีคนแคปภาพไป แล้วก็บอกว่า “เปทำหน้าไม่พอใจเพราะโกรธโมเน่ต์” คนก็ตัดไปลงในโซเชียล คนดูเยอะมาก มีคอมเมนต์เข้าใจหนูผิดเยอะมากว่า หนูกลายเป็นเด็กไม่ดีไปเลย

 

หนูกังวลมากตอนนั้นกลัวเพื่อนในวงจะมองว่าหนูไม่มีมารยาท แต่จริงๆ เราเล่นกันเฉยๆ แล้วสุดท้ายคนที่โพสต์คลิปนั้นก็ลบให้ เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด ก็ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ

 

Wawa: ตอนหนูเปิดตัวรุ่น 4 ใหม่ๆ มีคนบอกว่าหนูเป็นเด็กซึน ไม่ค่อยพูด ซึ่งจริงๆ หนูเป็นคนที่ถ้ายังไม่สนิทจะไม่ค่อยพูดเฉยๆ แต่พอทำงานกับพี่ๆ มากขึ้นก็พูดมากขึ้น มีแฟนคลับบอกว่า “วาว่าพูดเก่งขึ้นนะ” หนูก็ขำเลยว่า เอ้า หนูไม่ได้พูดมากอยู่แล้วเหรอ? (หัวเราะ)

 

แล้วตอนเด็กๆ เวลาหนูกับซินดี้ที่ชอบชวนไปเข้าห้องน้ำกัน คือไปดักรอรอเล่น ‘จ๊ะเอ๋’ อยากแกล้งคนเข้าห้องน้ำเฉยๆ แต่ไม่ได้เล่นซ่อนแอบกัน

 

Fame: ของหนูคือ หลายคนชอบคิดว่าหนูไม่มีเพื่อนในวง พอ ‘เจ้าเข็ม’ ที่เป็นเพื่อนสนิทหนูออกจากวง ผู้คนก็จับปฏิกิริยาของหนู แล้วคิดว่าหนูเหงาหนูไม่มีเพื่อนแล้ว เพราะหนูสนิทกับเจ้าเข็มมาก 

 

แต่จริงๆ หนูไม่ได้เหงา หนูแค่เป็นคนที่พูดไม่ทันเพื่อนมากกว่า (หัวเราะ) หนูรู้ตัวเลยว่าเป็นคนที่คิดเยอะเวลาจะพูดหรือตอบ ทำให้ช้า บางทีในกลุ่มคุยกันเร็ว หนูยังมัวแต่คิดอยู่เลย พอจะเริ่มคุยบ้าง..เขาก็เปลี่ยนเรื่องกันแล้ว 

 

Hoop เสริม: จริงๆ เฟมเป็น Extrovert ที่ตอบสนองช้า ทำให้หลายคนคิดว่าเป็น Introvert แต่จริงๆ แค่แอ็กทีฟช้า พอเฟมจะเข้าวงสนทนา เพื่อนเขาเปลี่ยนหัวข้อกันแล้ว

 

Fame: อีกเรื่องคือครอบครัวหนูขายหม้อแปลงนะคะ ไม่ใช่กรมไฟฟ้า! อยากอธิบายให้เข้าใจตรงกันแค่นี้แหละ (หัวเราะ)

 

Micha: หนูขอแก้ข่าวที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยก่อน หลายคนมักคิดว่าหนูดุหรืออารมณ์เสีย เพราะหน้าหนูนิ่งมาก แต่จริงๆ หนูไม่ได้ดุนะ บางทีหนูแค่ยิ้มจนเมื่อย หนูเป็นคนที่เหมือนแบตต่ำตลอดเวลา เลยทำให้บางทีเราไม่ได้ยิ้มออกมาบ่อยเท่านั้นเอง

 

BNK48

 

จากวันแรกที่คุณเข้าวงจนถึงวันนี้ คำว่า ‘ไอดอล’ ยังมีความหมายแบบเดิมอยู่ไหม แล้วนิยามคำนี้เปลี่ยนไปในใจคุณอย่างไรบ้างเมื่อเวลาผ่านไป?

 

Hoop: ตอนหนูเข้าวงใหม่ๆ หนูมองว่าไอดอลเป็นเหมือนนางฟ้าที่ทำทุกอย่างเป๊ะๆ ไม่ทำอะไรผิด เป็นแบบอย่างในทุกด้าน ดูเข้าถึงยากมากๆ 

 

แต่พอเข้ามาอยู่จริงๆ หนูได้เรียนรู้ว่า ไอดอลก็คือคนธรรมดาคนนึงที่อาจเป็นแรงบันดาลใจหรือกำลังใจให้คนอื่นได้ เรามีโอกาสได้สร้างความสุข สร้างพลังบวก หรือกระทั่งเป็นกระบอกเสียงในสังคม ซึ่งมันมีความหมายมากกว่าที่คิด 

 

หนูรู้สึกว่าศิลปินหรือไอดอลคือเหมือนโลโก้ที่สะท้อนภาพลักษณ์ของวงและประเทศ อย่างเช่น คุณเฌอปราง ก็เป็นเหมือนโลโก้ของ BNK48 และเราในฐานะรุ่นน้องก็ต้องรักษามาตรฐานนั้นให้ดีที่สุดค่ะ

 

Peak: หนูเคยคิดว่าไอดอลคืองานโชว์ที่ต้องร้อง เต้น เป๊ะๆ อย่างเดียว แต่พอได้เข้ามาในวงถึงรู้ว่า เราต้องเป็นทั้งศิลปินและเอนเตอร์เทนเนอร์ด้วย การที่เราสร้างรอยยิ้มและเป็นเซฟโซนให้แฟนๆ มันเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญ หนูเลยมองว่า ไอดอลไม่ได้แค่ทำโชว์เก่ง แต่ต้องเป็นแรงบันดาลใจและพลังใจให้คนที่รักเราด้วยค่ะ

 

Monet: หนูเข้ามาแบบงงๆ ด้วยซ้ำ เพราะจริงๆ หนูไม่ได้สมัครเอง แม่เป็นคนยื่นสมัครให้ หนูไม่รู้จักใครในวงเลย รู้จักแค่เพลงคุกกี้เสี่ยงทายกับพี่ๆ รุ่นแรกๆ แต่พอเข้ามา หนูได้ซึมซับคัลเจอร์ของวงและรู้เลยว่าการได้เป็นไอดอลที่นี่มันมีความหมายมาก 

 

ตอนเข้ามาใหม่ๆ หนูไม่เข้าใจอะไรเลย โดยเฉพาะรายละเอียดของการเป็นไอดอลในแบบ BNK48 แต่พอได้เรียนรู้คัลเจอร์ของ 48 Group หนูก็เริ่มเข้าใจว่า การติดเซ็มบัตสึมีความหมายยังไง หรือการได้อยู่แถวหน้า ได้เป็นเซ็นเตอร์ มันรู้สึกพิเศษแค่ไหน แม้กระทั่งการที่เราได้เต้นโดยไม่ต้องมองหลังเพื่อน หรือการมีอันดับในงาน General Election ทุกอย่างล้วนมีคุณค่าทางใจมากๆ

 

สำหรับหนู มันคือเรื่องสำคัญจริงๆ เพราะหนูเป็นคนที่ถ้าอินอะไรแล้วจะอินสุด พอได้เริ่มเข้าใจระบบและวัฒนธรรมของวง หนูก็รู้สึกรักและเคารพรุ่นพี่มากขึ้น และยิ่งมั่นใจว่า 48 Group เป็นระบบที่แข็งแรง และจะอยู่กับวงการบันเทิงไทยไปได้อีกนาน

 

ทุกวันนี้หนูรักวงนี้มาก เวลาได้ยินใครพูดแซวหรือเข้าใจผิดเกี่ยวกับ BNK48 หนูพร้อมลุกขึ้นมาปกป้องเสมอ เพราะหนูชื่นชมระบบของวงที่ไม่เพียงทำให้เมมเบอร์มีความสุขในการเป็นศิลปิน แต่ยังส่งต่อรอยยิ้มและพลังใจไปถึงแฟนคลับด้วย ซึ่งพวกเขาเองก็เป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของวงนี้

 

Fame: หนูเห็นด้วยกับโมเน่ต์เลยค่ะ วงเรามีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครจริงๆ หนูเคยไปดูคอนเสิร์ต T-POP หลายวง แต่รูปแบบของ 48 Group มันชัดเจนและมีโครงสร้างที่แข็งแรงมากๆ ซึ่งมันทำให้เรามีความผูกพันกับแฟนคลับในแบบที่พิเศษ หรือเรียกว่าหาจากไหนไม่ได้อีกแล้ว

 

Hoop (เสริม): ใช่เลยค่ะ วงเรามีธรรมเนียมที่แข็งแรงมาก ทั้งงานจับมือ งานคอนเสิร์ต หรือแม้แต่กฎระเบียบต่างๆ ที่แฟนคลับเห็นแล้วรู้ทันทีว่านี่คือ 48 Group มันเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวจริงๆ

ส่วนเรื่องที่หลายคนมองวงเราเป็น BNK48 เป็น T-Pop หรือไม่ หนูรู้สึกว่าไม่อยากให้ทุกคนไปโฟกัสตรงนั้น

 

อยากให้มองในมุมที่ว่าพวกเราคือศิลปินไทย และเราทุกคนสามารถสนับสนุน Soft Power ไทยให้ไปไกลถึงระดับโลกได้ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบไหนก็ตาม

 

เพราะสุดท้ายแล้วพลังของทุกคน ไม่ว่าจะซัพพอร์ตหรือไม่ ก็สามารถร่วมกันผลักดันเพลงไทยและศิลปินไทยให้คนต่างชาติรู้จักได้มากขึ้น ซึ่งหนูว่ามันน่าจะเป็นเป้าหมายที่สำคัญกว่าค่ะ

 

BNK48

 

หลายคนมองว่าไอดอลเป็นแรงบันดาลใจ แต่เบื้องหลังคำชื่นชมเหล่านี้ก็มีแรงกดดันตามมาด้วย เราจัดการกับแรงกดดันเหล่านี้อย่างไร?

 

Micha: แฟนคลับมักบอกว่าหนูเป็นกำลังใจให้พวกเขา หนูก็เลยอยากทำทุกงานให้ดีที่สุด เพราะเวลาพวกเขาเห็นเราบนเวที มันอาจเป็นกำลังใจเล็กๆ ให้เขามีพลังงานเชิงบวกมากขึ้น 

 

หนูเลยพยายามไม่กดดันตัวเอง แต่ก็อยากพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้เขาเห็นการเปลี่ยนแปลง เผื่อจะมีคนชมว่า “วันนี้ร้อง-เต้นดีขึ้นนะ” แค่นั้นก็อาจเป็นกำลังใจให้เขาได้แล้วค่ะ

 

Wawa: หนูก็เคยกดดันเหมือนกันค่ะ โดยเฉพาะเวลาแฟนคลับบอกว่าเขาอยากเป็นแบบเรา มันทำให้หนูรู้สึกว่า เราต้องทำตัวให้ดีเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้ได้ หนูพยายามเต็มที่ แต่ก็ต้องคอยเตือนตัวเองว่าอย่ากดดันเกินไป เพราะเวลาที่เราทำอะไรด้วยความสุข มันจะออกมาดีที่สุดค่ะ

 

Fame: เมื่อก่อนหนูจะเครียดมาก เวลามีแรงกดดัน แต่หลังๆ หนูเรียนรู้ว่าบางเรื่องเราต้องปล่อยวาง หนูพยายามโฟกัสแค่สิ่งดีๆ แล้วตัดเรื่องลบๆ ออกไป 

 

ตอนแผ่นดินไหว ก็เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของหนูเหมือนกัน วันนั้นหนูอยู่คนเดียวบนชั้นสูง เห็นกำแพงร้าวต่อหน้าต่อตา เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าความตายอยู่ใกล้เราขนาดนี้

 

ตอนนั้นมีแต่คำถามในหัว พรุ่งนี้จะได้เจอแฟนคลับไหม? เพราะอีกนิดเดียวก็ถึงงานใหญ่ของวงแล้ว เมมเบอร์คนอื่นเป็นยังไงบ้าง? หนูตัดสินใจวิ่งลงมา แล้วรู้เลยว่าชีวิตมันไม่แน่นอน 

 

จากวันนั้น หนูคิดแค่ว่าใช้ชีวิตให้มีเรื่องดีๆ เข้ามาเถอะ ส่วนเรื่องลบๆ ก็ปล่อยมันไปค่ะ

 

BNK48

 

ในฐานะที่คุณอยู่ระหว่างความรักจากแฟนๆ และเสียงวิจารณ์จากสังคมออนไลน์ เรารักษาสมดุลในใจตัวเองอย่างไร เพื่อไม่ให้สูญเสียตัวตนในการเป็นไอดอลตรงนี้?

 

Monet: หนูรู้สึกว่าพออยู่ตรงนี้มาหลายปี เส้นทางของหนูก็ค่อยๆ เติบโตขึ้น จากเด็กแถวหลังที่เป็นทั้งแฟนคลับและไอดอล เคยอยู่ในกลุ่มซื้อขายโฟโต้เซ็ตด้วยซ้ำ และหนูไม่เคยคิดว่าโฟโต้เซ็ตของตัวเองจะมีคนอยากได้ เพราะตอนนั้นมันก็เป็นเรื่องของดีมานด์-ซัพพลาย แต่ลึกๆ ก็เคยแอบหวังว่า วันหนึ่งจะมีคนอยากได้รูปของเรา

 

จากวันนั้นจนถึงวันนี้หนูได้ติดเซ็มบัตสึบ่อยขึ้น เป็นเซ็นเตอร์ ได้ยืนแถวหน้า ได้เห็นคนดูเต็มตา ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยเห็นอะไรเลยนอกจากแผ่นหลังของเพื่อน

 

แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือบางครั้งเรากลับเริ่มมองสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ มองมันเป็นแค่งาน ทั้งที่ความจริงมันพิเศษมากๆ เลยนะ

 

หนูคิดว่าถ้าตัวเองในวันนั้นมาเห็นหนูในวันนี้ คงเสียใจมาก เพราะเรากำลังลืมไปว่า ทุกอย่างที่มีวันนี้ได้ ก็เพราะตัวเราคนนั้นพยายามอย่างเต็มที่ เราพยายามเราตั้งใจซ้อม ไม่งั้นเราไม่มีทางได้มาเป็นตัวเองในวันนี้

 

แม้ตอนนี้บางทีก็มีเหนื่อย มีขี้เกียจบ้าง เป็นธรรมดาของคนที่ต้องทำสิ่งเดิมทุกวัน แต่หนูไม่อยากให้ตัวเองหลงระเริงชื่อเสียง หรือว่าเหลิงกับคนที่เขามารักเรามากขึ้น เหลิงกับคำชม จนเผลอทรยศความพยายามของตัวเองในอดีต

 

หนูอยากเตือนตัวเองเสมอว่าเรามีวันนี้ได้ เพราะเราเคยพยายามมากแค่ไหน จงอย่าลืม ‘ตัวเรา’ ในวันวานไปเด็ดขาด

 

Peak: หนูเคยรู้สึกว่าตัวเองสูญเสียความเป็นตัวตนไปช่วงหนึ่งหลังเข้าวง เพราะเดิมทีหนูเป็นคนที่ชัดเจนกับตัวเองมาก ถ้าชอบอะไรก็จะทำสิ่งนั้นจนกว่าจะหมดอิน แต่พอมีเสียงจากคนรอบข้างมากขึ้น หนูกลายเป็นคนที่ฟังคนอื่นมากจนลืมฟังเสียงของตัวเอง

 

มันทำให้หนูเริ่มหลงทาง ตั้งคำถามกับตัวเองว่าจริงๆ แล้วเราเป็นใคร? เราจะหล่อ จะเท่ จะสวย จะเซ็กซี่ หรือควรจะเป็นอะไรกันแน่?

 

ช่วงนั้นเคยเครียดมากจนไปร้องไห้กับพี่เฌอ หนูรู้สึกเหมือนอยู่ผิดที่ แต่ก็ยังอยากอยู่ตรงนี้ให้ได้อย่างมีความสุข โดยไม่รู้สึกฝืน

 

แม้ทุกวันนี้หนูจะโอเคแล้ว แต่ก็ยังจำได้ว่ามีบางคอมเมนต์ที่กระทบใจมาก อย่างเวลาที่หนูชอบแต่งตัวเท่ๆ แล้วมีคนพูดว่า “หล่อเหมือนผู้ชายเลย ทำไมไม่ไปเป็นผู้ชายล่ะ” ซึ่งฟังดูเหมือนชม แต่จริงๆ มันบั่นทอนมาก เพราะหนูก็เป็นผู้หญิงของหนู เราแค่ชอบสไตล์เท่ๆ ชิลๆ เท่านั้นเอง

 

แล้วก็เคยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นทอม ทั้งที่แค่ตัดผมสั้นเพราะผมมันเสีย 

 

มันทำให้หนูเริ่มตั้งคำถามว่า เราเป็นใคร? เรามีคาแรกเตอร์แบบไหน? เรามาทำตรงนี้เพราะอะไร?

 

แต่สุดท้าย หนูก็ผ่านมันมาได้ เพราะเริ่มกลับมาเชื่อตัวเองอีกครั้ง และคนรอบข้างก็ให้กำลังใจดีมาก โดยเฉพาะที่บ้านที่บอกว่า “จะเป็นแบบไหนก็เป็นไปเลย ถ้าใครรักเราจริง เขาก็จะอยู่กับเราแบบนั้น”

 

วันนี้หนูเชื่อว่าคนเรามีสิทธิ์เติบโต เปลี่ยนแปลง และเป็นในสิ่งที่อยากเป็นได้ ขอแค่เราไม่ลืมว่าตัวเองคือใคร และแฟนคลับที่รักเรา ก็คงอยากเห็นเรามีความสุขในแบบที่เป็นตัวเองเหมือนกัน

 

BNK48

 

Wawa: หนูเป็นคนที่กลัวว่าถ้าเผลอทำอะไรผิดหรือพูดอะไรไม่ดีออกไป แฟนๆ จะไม่รัก ไม่อยู่กับเราอีกแล้ว หนูเลยพยายามทำให้ตัวเอง ‘เพอร์เฟกต์ที่สุด’ ในทุกด้าน คอยสังเกตข้อดีของคนอื่นเพื่อนำมาปรับตัวเองให้ดีขึ้น

 

ตอนเข้าวงใหม่ๆ หนูอายุแค่ 12-13 ปี หลายคนมองว่าเด็กมาก ทำให้ไม่ได้มีแฟนคลับเยอะเท่าคนอื่น ก็แอบนอยด์อยู่บ้าง แต่ในใจก็คิดว่าถ้าอยากให้คนรัก เราต้องพยายามให้ดีที่สุด

 

หนูเลยศึกษาคนในวงเยอะมาก โดยเฉพาะคนที่มีแฟนคลับเยอะๆ ว่าเขาทำยังไง ทำไมคนถึงรักเขา หนูก็พยายามทำให้ตัวเองเก่งขึ้น พูดจาให้ดีขึ้น เวลาพูดอะไรออกไป หนูจะคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าสมควรพูดไหม จะทำให้ใครรู้สึกไม่ดีหรือเปล่า เพราะหนูกลัวเสียคนรอบข้างไป

 

แต่พอได้ทำงานร่วมกับพี่ๆ ในวงมากขึ้น ได้คุย ได้ปรึกษากัน หนูก็ค่อยๆ เปิดใจ กลายเป็นคนพูดเก่งขึ้นเยอะ วันนี้หนูอยากบอกว่า ที่หนูกล้าพูดมากขึ้น เพราะกำลังมีความสุขจริงๆ ค่ะ

 

Hoop: เรื่องนี้ค่อนข้างเซนซิทีฟสำหรับหนู เพราะหนูเคยโดนพูดบ่อยมากว่า “ทำไมถึงได้แต่งานคนเดียว” หรือ “ทำไมมีแต่หนูที่ได้โอกาส”

 

ตอนนั้นหนูรู้สึกตัวเล็กมาก มันกลายเป็นปมไปเลย ทุกครั้งที่ได้งานเดี่ยว หนูจะรู้สึกอาย ไม่กล้าบอกใคร ไม่อยากให้ใครรู้เลยด้วยซ้ำ ทั้งที่จริงๆ แล้วหนูน่าจะรู้สึกภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองพยายามมา

 

เพราะกว่าหนูจะมายืนตรงนี้ได้ หนูต้องสร้างตัวตนของตัวเอง พยายามทุกทางให้คนได้เห็นในสิ่งที่เป็นหนูจริงๆ

 

แต่ทุกครั้งที่มีคนพูดว่า “หนูได้งานเพราะโชคดี เพราะผู้ใหญ่รัก” มันเจ็บมากค่ะ มันทำให้หนูไม่กล้าภูมิใจกับความพยายามของตัวเอง ไม่กล้าแม้แต่จะพัฒนาตัวเอง เพราะกลัวว่าถ้าหนูไปได้ไกลขึ้น คนจะยิ่งดูถูกมากกว่าเดิม

 

จนเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา หนูเคยต้องหยุดทำงาน ต้องโซเชียลดีท็อกซ์ แล้วก็ได้เจอประโยคหนึ่งที่เปลี่ยนความคิดหนูไปเลย

 

“Stay soft. Do not let the things that have hurt you turn you into a person you are not.”

 

“จงอ่อนโยนอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้สิ่งที่ทำร้ายคุณเปลี่ยนคุณให้เป็นคนที่คุณไม่ได้เป็น”

 

มันทำให้หนูรู้ว่า คำพูดของคนอื่นไม่ควรพรากความเป็นตัวเราไป หนูเริ่มกลับมารักตัวเอง และเข้าใจว่าการที่หนูได้รับโอกาสเหล่านี้คือสิทธิ์ที่หนูควรภูมิใจ

 

วันนี้หนูไม่รู้สึกผิดอีกแล้ว เพราะหนูพยายามอย่างเต็มที่ และหนูสมควรได้รับมันค่ะ

 

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising