เดินทางมาถึง ‘รุ่นที่ 5’ แล้ว สำหรับ BNK48 อีกหนึ่งวงไอดอลที่อยู่คู่วงการบันเทิงไทยมาอย่างยาวนาน
เร็วๆ นี้ ทั้ง 11 สาวสมาชิก BNK48 รุ่นที่ 5 ได้เปิดตัวต่อแฟนเพลงอย่างเป็นทางการ พร้อมซิงเกิลประจำรุ่นอย่าง Mirai to wa? เพลงที่พวกเธอถ่ายทอดออกมาได้น่าสนใจทั้งตัวมิวสิกวิดีโอและเนื้อหาเพลงที่สะท้อนถึงตัวตนของรุ่นที่ 5 ในฐานะสมาชิกใหม่ที่ต้องเข้ามารับช่วงต่อดูแลอนาคตวงถัดจากรุ่นพี่
และอีกเช่นเคย THE STANDARD POP ได้โอกาสเปิดบ้านต้อนรับ 4 สาว ตัวแทนจากรุ่นที่ 5 อย่าง เกลญ่า-นภภัค โชคคุณานันทกุล, อาหลี-ชนากานต์ โอสถานุภาพ, นีน-นีร บุนนาค และ เมย์จิ-ศุภิสรา จิริวิภากร
ที่นอกจากจะแวะเวียนมาฝากผลงานเพลงใหม่แล้ว พวกเธอยังได้มอบบทสนทนาที่น่าประทับใจ ผ่านการบอกเล่าเรื่องการเดินทาง การตามหาความฝัน และสิ่งที่อยากลงมือทำในอนาคต เพื่อนำพาวงให้ประสบความสำเร็จแบบเดียวกับภาพในวันวานที่รุ่นพี่ได้ทำเอาไว้
เพื่อไม่ให้เสียเวลา…เรามาคุยกับพวกเธอไปพร้อมๆ กันเลย
ก่อนเริ่มบทสนทนาอันเข้มข้น เราขอพาผู้อ่านไปส่องโปรไฟล์คร่าวๆ ของ 4 สาว BNK48 รุ่น 5 เพื่อทำความรู้จักในเบื้องต้นว่าแต่ละคนมีกิจกรรมหรือความชอบในด้านดนตรีแบบไหนกันบ้าง
เกลญ่า-นภภัค โชคคุณานันทกุล (15 ปี)
อาหารที่ชอบ: ชอบกินปลาแซลมอน ถ้า 1 ปี มี 365 วัน หนูกินได้ทั้งปีเลยค่ะ และชอบกิน ‘อาซาอิ’ อร่อยดี มันรู้สึกเฟรชๆ
กิจกรรมโปรดยามว่าง: ชอบทำขนมค่ะ แต่ต้องเป็นวันที่ว่างมากๆ จริงๆ เพราะชอบกินชอบทำขนม
แนวเพลงที่ชอบฟัง: ชอบฟังเพลงที่ฟังแล้วร้องตามได้ เพลงเพราะๆ ซึ้งๆ แนวป๊อป เพลงช้าฟังง่าย สบายๆ
เพลง BNK48 ที่ชื่นชอบ (ถ้าไม่ใช่เพลงประจำรุ่น): ชอบเพลง Kimi wa Melody (เธอคือ…เมโลดี้) ฟังง่าย ไพเราะด้วย
สิ่งที่ฮีลใจในวันที่เหนื่อยล้า: เวลากลับไปที่บ้านแล้วไปนั่งตรงมุมประจำที่บ้านก็คือโซฟาค่ะ ถือเป็นมุมผ่อนคลาย หรือไม่ก็ออกไปเดินเล่น ช้อปปิ้งคลายเครียด
สิ่งที่ Made My Day สำหรับเรา: คงเป็นวันที่ตื่นมาแล้วเห็นตัวเองหน้าตาดี หรือมีคนชม ก็ Made My Day แล้วค่ะ
สิ่งที่ผู้คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรา: คนชอบเข้าใจผิดว่าหนูเป็นคนแรง เป็นคนหยิ่ง แต่จริงๆ หนูเป็นคนที่น่ารักมาก เป็นมิตรกับทุกคน
สมาชิก 48GroupTH ที่ชื่นชอบ: หนูชอบพี่เอิร์น (วชิราพร พัฒนพานิช BNK48 รุ่น 3) ตอนแรกหนูกลัวพี่เขา แต่พอได้คุยกับพี่เขาถึงได้เห็นอีกมุมที่พี่เขาเป็นคนน่ารักมาก มี Performance ที่เด่นมากๆ มีคาริสม่า-ออร่ามาก อยากเป็นแบบพี่เขา
อีกคนหนึ่งก็เป็นพี่เฌอ (เฌอปราง อารีย์กุล อดีต BNK48 รุ่น 1 และกัปตันวง ตอนนี้เป็นผู้จัดการวง BNK48) พี่เขาสามารถจัดการ วางแผน จัดระบบระเบียบทุกอย่างได้ดีมากๆ พี่เขาเก่งมากๆ
อาหลี-ชนากานต์ โอสถานุภาพ (20 ปี)
อาหารที่ชอบ: ชอบอาหารจืด ไม่ค่อยปรุงแต่งอาหาร เช่น ก๋วยเตี๋ยวก็จะกินน้ำใสได้โดยไม่ปรุงเลย ชอบกินผักมาก เพิ่งมาค้นพบตัวเองว่าชอบกินผักตอนโต เพราะว่าตอนเด็กไม่กินผักเลย เป็นคนที่ไม่ชอบกินเนื้อหมู แต่กินไก่กับปลา และชอบของหวาน ติดน้ำหวานมากช่วงหลัง
กิจกรรมโปรดยามว่าง: ชอบเดินช้อปปิ้ง และชอบอยู่คนเดียว เช่น ตอนอยู่กับเพื่อนที่หอ มีฟีลที่อยากนั่งคนเดียวเฉยๆ รู้สึกว่าการอยู่คนเดียวเฉยๆ มันไม่เหนื่อยดี เพราะการคุยกับเพื่อนมันใช้พลังเยอะ (หัวเราะ) แบบวันหยุดก็ชอบอยู่คนเดียว ชอบผ่อนคลาย
แนวเพลงที่ชอบฟัง: ชอบฟังเพลงที่ความหมายดีๆ ถ้าเป็นแนวดนตรีจะชอบเพลงสบายๆ Lazy ไม่ชอบฟังเพลงแบบบีตหนักๆ
เพลง BNK48 ที่ชื่นชอบ (ถ้าไม่ใช่เพลงประจำรุ่น): หนูฟังเพลงของ 48TH ทุกเพลงเลย โดยเฉพาะเพลง Yume wa Nigenai – จะไม่หนีจากความฝัน ของ CGM48 จริงๆ ชอบเพลงของ CGM48 หลายเพลงเลย อย่าง Melon Juice ก็ชอบ
สิ่งที่ฮีลใจในวันที่เหนื่อยล้า: ชอบเก็บห้องค่ะ เพราะรู้สึกว่าถ้าวันไหนเราเหนื่อยมากแล้วไปนอนเฉยๆ รู้สึกว่ามันจะยิ่งเหนื่อยกว่าเดิม ถ้าได้เก็บห้องและค่อยไปนอนมันจะรู้สึกสบายใจและหายเหนื่อยได้มากกว่าการลงไปนอนในสภาพแวดล้อมที่รกอยู่ ชอบจัดการเคลียร์สิ่งที่ค้างคาให้เสร็จ เพื่อเราจะได้ไม่มาเหนื่อยในวันต่อไป
สิ่งที่ Made My Day สำหรับเรา: ชอบเห็นตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้นในทุกๆ วัน ชอบดูคลิปตัวเองหลังซ้อมเต้นเสร็จ ถ้าดูแล้วรู้สึกว่าชอบที่ตัวเองเต้นวันนี้ เราจะมีความสุขมาก นอนหลับฝันดีได้
สิ่งที่ผู้คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรา: คนเข้าใจผิดว่าหนูเป็นคนคุยเก่ง หนูแค่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนพูดเก่งในแง่ที่มีคนเข้ามาคุยด้วย แต่กลับกันหนูเป็นคนที่ไม่ค่อยกล้าเข้าไปคุย โดยเฉพาะกับคนที่ไม่รู้จักจะไม่กล้าเข้าไปทักไปคุยเลย
สมาชิก 48GroupTH ที่ชื่นชอบ: สำหรับหนูคือพี่ฮูพ (ปาฏลี ประเสริฐธีระชัย BNK48 รุ่น 3 และกัปตันวง BNK48 คนปัจจุบัน) เขาเป็นคนที่ทำให้หนูอยากมาสมัคร BNK48 มากๆ หนูมีช่วงที่ห่างหรือไม่ตาม BNK48 อยู่นาน จนรุ่น 3 ได้เปิดตัว และหนูก็โดนพี่ฮูพตกมาตลอด ชอบทุกอย่างที่เป็นเขา
และพอได้เข้ามาเป็นสมาชิกวง อีกคนที่นับถือมากๆ คือพี่เฌอปราง (เฌอปราง อารีย์กุล อดีต BNK48 รุ่น 1 และกัปตันวง ตอนนี้เป็นผู้จัดการวง BNK48) รู้สึกว่าพี่เฌอเป็นทุกอย่างให้กับวงนี้จริงๆ คนแบบพี่เฌอไม่ควรมีคนเดียวบนโลก
นีน-นีร บุนนาค (อายุ 22 ปี)
อาหารที่ชอบ: ชอบกินอาหารญี่ปุ่น เช่น ซูชิ ราเมน คัตสึด้ง ชอบกินเนื้อปิ้งย่าง ชาบู ส่วนอาหารไทยชอบผัดไทย ไม่ค่อยชอบอาหารที่มีรสชาติเผ็ด
กิจกรรมโปรดยามว่าง: ดูอนิเมะ เล่นเกมที่เล่นง่ายๆ หรือไม่ก็เป็นเกมแบบแนว Puzzle แก้ไขปริศนา ไม่ค่อยเล่นเกมแบบ Shooting (FPS) ขนาดนั้น
แนวเพลงที่ชอบฟัง: ชอบฟัง J-Pop ส่วนหนึ่งฟังเพราะติดมาจากเพลงประกอบอนิเมะ และช่วงหลังเริ่มหันมาฟัง K-Pop ด้วย
เพลง BNK48 ที่ชื่นชอบ (ถ้าไม่ใช่เพลงประจำรุ่น): ชอบเพลง BORDERLESS (Kokkyou no Nai Jidai) เป็นเพลงโปรดตั้งแต่ของ AKB48 แล้วเขาก็เอามาทำเป็นซิงเกิลที่ 17 พอดี
สิ่งที่ฮีลใจในวันที่เหนื่อยล้า: ดูอนิเมะ อ่านมังงะ เล่นเกม
สิ่งที่ Made My Day สำหรับเรา: แมวที่บ้านค่ะ ตอนนี้ที่บ้านมีแมวอยู่ 4 ตัว ชอบเล่นกับแมว
สิ่งที่ผู้คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรา: ความจริงแล้วหนูไม่ได้เป็นคนเท่เลย หลายคนอาจมองว่าหนูเท่จากบุคลิกของหนู แต่ส่วนตัวไม่ได้คิดว่าเป็นคนเท่ตั้งแต่แรก คิดว่าตัวเองเป็นคนสบายๆ ชิลๆ
สมาชิก 48GroupTH ที่ชื่นชอบ: คนที่เป็นไอดอลของหนูและนับถือในด้านไอดอลมากๆ คือพี่มิวสิค (แพรวา สุธรรมพงษ์ อดีต BNK48 รุ่น 1) ถ้าเป็นมุมอื่นอย่างไลฟ์สไตล์จะชอบพี่วี (วีรยา จาง อดีต BNK48 รุ่น 2)
เมย์จิ-ศุภิสรา จิริวิภากร (19 ปี)
อาหารที่ชอบ: ชอบอาหารอีสาน ชอบอาหารรสเผ็ด แต่ไม่ชอบกินผักค่ะ หนูสามารถไปกินข้าวกับอาหลีได้ เพราะอาหลีจะเป็นคนกินผักให้ (หัวเราะ)
กิจกรรมโปรดยามว่าง: หนูเป็นคนไม่ค่อยชอบอยู่บ้านเท่าไร ชอบออกไปเดินสยาม หนูชอบดูหนังมาก เรียกว่าถ้ามีหนังอะไรเข้าใหม่หนูไปดูได้หมดเลย
แนวเพลงที่ชอบฟัง: แล้วแต่วัน แล้วแต่อารมณ์ ขึ้นอยู่กับบรรยากาศในช่วงนั้น
เพลง BNK48 ที่ชื่นชอบ (ถ้าไม่ใช่เพลงประจำรุ่น): ขึ้นอยู่กับบรรยากาศในช่วงนั้นเหมือนกัน ถ้าวันไหนอารมณ์ดีก็จะฟังเพลงสนุก ถ้าเศร้าก็จะเป็นเพลงแบบ Mata Anata no Koto wo Kangaeteta
สิ่งที่ฮีลใจในวันที่เหนื่อยล้า: ไปเดินเล่นที่สยามค่ะ
สิ่งที่ Made My Day สำหรับเรา: การได้เห็นหน้าสุนัขของตัวเอง วันไหนคิดถึงก็จะชอบดูรูปถ่ายสุนัขที่บ้าน แค่นี้ก็ใจฟูแล้ว
สิ่งที่ผู้คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรา: ที่ทุกคนเห็นหนูเฮฮา อยากจะบอกว่าหนูก็มีมุมซีเรียสอยู่เหมือนกัน (หัวเราะ)
สมาชิก 48GroupTH ที่ชื่นชอบ: ตอนตามวงช่วงแรกๆ ชอบพี่ปัญ (ปัญสิกรณ์ ติยะกร อดีต BNK48 รุ่น 1) เขาเป็นคนที่เต้นได้เท่และมีเสน่ห์มาก พอตามวงนานขึ้นก็ชอบพี่เจนนิษฐ์ (เจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ อดีต BNK48 รุ่น 1) เขาก็น่ารักเหมือนกัน 2 คนนี้คือที่สุดของหนูเลย
หลังจากได้รู้จักตัวตนไปประมาณหนึ่งแล้ว ถัดมาเราได้ชวนน้องๆ ทั้ง 4 บิดเข็มนาฬิกาย้อนกลับไปดูชีวิตในช่วงก่อนเข้าสู่ BNK48 แต่ละคนเป็นเด็กสาวแบบไหน ตอนนั้นแต่ละคนกำลังทำอะไรอยู่?
อาหลี: ก่อนที่จะเข้ามาเป็น BNK48 หนูรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กที่มีแพสชันกับอะไรแล้วจะไปให้สุดมาก ก่อนเข้ามาเป็น BNK48 เป็นช่วงที่กำลังมีแพสชันกับการเรียนหนังสืออย่างจริงจังมาก ตอนช่วงแบบมัธยมคือหนูเรียนไม่ได้เรื่องเลย ตอนมัธยมต้นหนูเรียนได้รองโหล่เลย ได้เกรด 2
แล้วด้วยความที่บ้านให้อิสระกับหนูมากๆ แบบว่าอยากทำอะไรทำเลย พอเราเห็นว่าเขาให้อิสระขนาดนี้เลยเกิดเป็นความรู้สึกผิดว่าเขาไว้ใจให้เราใช้ชีวิตเอง แล้วทำไมเราถึงตอบแทนเขาด้วยการทำแบบนี้ เลยกลับไปตั้งใจเรียนตอนช่วงมัธยมปลาย และเกรดก็ดีขึ้นมาเป็น 3.6 ประมาณนี้
พอเริ่มเข้ามหาวิทยาลัย ได้เลือกมหาวิทยาลัยที่เราอยากเรียนเอง เราได้ยื่นพอร์ตเข้าเอง ก็เลยรู้สึกว่าในเมื่อเขาเชื่อใจเรา เราก็จะทำให้ดี หนูตั้งใจเก็บ A มาทุกตัว ได้ A ทุกเทอม เลยรู้สึกว่าช่วงก่อนเข้าวงเป็นช่วงที่มีแพสชันกับการเรียนอย่างมาก เพราะเป็นคนทำอะไรแล้วทำสุดกำลัง
นีน: ก่อนที่จะเข้า BNK48 หนูเป็นคนหนึ่งที่พยายามมาเส้นทางไอดอลอยู่หลายครั้ง หนูมีความฝันอยากเป็นไอดอล ชอบร้องชอบเต้นบนเวทีอยู่แล้ว หนูก็ไปลง ไปหาที่เรียน ไปหาที่ออดิชันต่างๆ เพื่อที่จะได้ลองทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ
ซึ่งความจริงหนูก็ออดิชันมาตั้งแต่รุ่น 2 แล้วสำหรับ BNK48 หนูออดิชันมาตลอด แล้วหนูก็ตั้งใจว่าจะออดิชันจนกว่าอายุจะเกิน เพราะการได้เป็นส่วนหนึ่งของวง BNK48 เป็นอีกความฝันของเราเหมือนกัน
แต่ช่วงปีก่อนรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่มีเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้นกว่าตอนที่ออดิชันรุ่น 2 เหมือนตอนออดิชันรุ่น 2 เราสมัครมาแค่เพราะว่าอยากลองทำ แต่ไม่ได้วางเป้าหมายไว้ใหญ่ขนาดนั้น เพราะตอนนั้นก็ยังเรียนอยู่ด้วย
ก่อนที่จะเข้า BNK48 ก็อยู่ในช่วงจุดเปลี่ยนของชีวิตเหมือนกัน เพราะว่าของ BNK48 รุ่น 5 ถือเป็นโอกาสสุดท้ายของหนูแล้ว เพราะหนูจะอายุเกินแล้ว เพราะฉะนั้นมันเลยเป็นช่วงที่ต้องวางแผนชีวิตไว้หลากหลาย เพราะถ้ารุ่น 5 เรายังไม่ได้ หนูก็ต้องคิดแล้วว่าอนาคตหนูจะต้องทำอย่างไรต่อไปกับชีวิตของตัวเอง ไม่ว่าจะเรียนหรือทำงาน
เกลญ่า: ก่อนที่จะเข้ามา ช่วงนั้นจะกำลังสอบเข้า ม.4 ค่ะ ค่อนข้างที่จะติวหนักแบบวันละประมาณ 4-5 ชั่วโมง ค่อนข้างที่จะเครียดมากช่วงนั้น
ก่อนที่จะเข้ามา ปกติตอนเย็นหนูก็จะไปเที่ยวกับเพื่อนหรือว่าไปแฮงเอาต์กับเพื่อนตอนเย็น แต่ว่าพอเข้ามาเหมือนเราโตกว่าเด็กวัยปกติมากขึ้น แล้วเวลาที่เคยใช้แบบปกติก็น้อยลง ค่อนข้างที่จะไม่ได้ไปไหนกับเพื่อนเยอะขนาดนั้นหลังเข้าวง
เมย์จิ: เมื่อก่อนก็เป็นเด็กบ้าๆ บอๆ (หัวเราะ) ช่วงที่ส่งใบสมัครเข้ามาออดิชันรุ่น 5 เป็นช่วงที่หนูเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย อ่านหนังสือหนักมาก ตอนนั้นก็ใช้ชีวิตสุดอยู่นะ แบบว่าอ่านหนังสือจนเครียด แล้วก็ไปคลายเครียดด้วยการเดินสยาม เดินสยามเสร็จกลับมาอ่านหนังสือต่อ ก็วนอยู่ประมาณนี้ค่ะ เรียกว่าใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นปกติทั่วไป
ก่อนเข้าวงเราเชื่อว่าแต่ละคนมีความฝัน มีภาพของตัวเองในอนาคตในแบบที่แตกต่างกันออกไป เลยอยากรู้ว่าภาพอนาคตในวันวานของแต่ละคนเป็นอย่างไร (ก่อนจะเห็นการเปิดออดิชัน BNK48 รุ่น 5)
นีน: หนูก็มี BNK48 เป็นเป้าหมายอย่างหนึ่งอยู่แล้ว แต่หนูก็มีอีกอย่างหนึ่งเหมือนกัน มันเป็นเหมือนตัวเลือกในกรณีที่ไม่ได้เข้ามาเป็น BNK48 คือการตั้งใจที่จะไปเรียนแฟชั่นที่ญี่ปุ่น เพราะว่าก่อนหน้านี้หนูเรียนแฟชั่นมาอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ดร็อปเรียนเพื่อมา BNK48
เกลญ่า: ความฝันหนึ่งเดียวของหนูตั้งแต่เกิดคือการที่ได้มาอยู่ในวงการบันเทิงค่ะ แต่ความฝันแรกสุดเลยคือการได้เป็นดีไซเนอร์ค่ะ ไม่เคยบอกใครเหมือนกันค่ะ แต่ว่าหลังจากนั้นก็เป็นนักเต้น นักร้อง นักแสดงเลยค่ะ ติดต่องานได้นะคะ (หัวเราะ)
เมย์จิ: ถ้าแบบเด็กๆ เลย อยากเป็นหมอค่ะ แต่ด้วยความที่ตอนเด็กชอบดูหนังดูละคร ก็เลยอยากเป็นนักแสดงด้วย ตอนเด็กๆ ฝันไว้สูงอยู่ อยากเป็นทั้งหมอทั้งนักแสดงด้วยพร้อมกัน หนูเคยเอาไปบอกแม่ แล้วแม่ก็บอกว่าเดี๋ยวรอดูตอนโตนะลูก (หัวเราะ) แต่พอโตขึ้นมาเรื่อยๆ ความเริ่มอยากเป็นหมอก็เริ่มหายไปแล้ว เพราะว่าสมองมันเริ่มไม่ไหว แล้วเริ่มชอบงานวงการบันเทิงมากกว่า
อาหลี: หนูไม่เคยมีความฝันในวงการบันเทิง แค่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ชอบร้องเพลง เป็นคนที่แฮปปี้กับการร้องเพลง อีกอย่างที่อยากเป็นคือหนูอยากเป็นนักธุรกิจอายุน้อยร้อยล้าน อันนี้เป็นเป้าหมายส่วนตัวมาตลอด คือตั้งแต่เกิดมาหนูรู้สึกว่าตัวเองมีหัวทางด้านนี้แบบมากๆ ชอบวิเคราะห์การตลาด
หนูอาจจะเป็นเด็กเนิร์ดโดยที่หนูไม่รู้ตัว แค่หน้าหนูอาจจะไม่ค่อยเนิร์ด คิดว่าหนูมีเลือดเด็กเนิร์ดเยอะอยู่ เพราะว่าตอนเด็กอ่านหนังสือเยอะ โตมาก็เลยติดนิสัยชอบนั่งมอง คิดอะไรไปเรื่อย ก็เลยรู้สึกว่าอยากเป็นนักธุรกิจอายุน้อยที่ประสบความสำเร็จ
หลังจากได้เห็นความฝันและชีวิตในช่วงก่อนเข้าวง BNK48 เราจึงอยากรู้ว่าอะไรคือแรงจูงใจหรือแรงผลักดันที่พาให้ทั้ง 4 สาวตัดสินใจสมัครเข้ามาเป็น BNK48 รุ่น 5
นีน: แรงจูงใจหนูมีตั้งแต่นานแล้ว เพราะชอบ BNK48 เป็นทุนเดิม แค่รู้สึกว่าการมาสมัครรุ่น 5 เป็นการสมัครที่รู้สึกปล่อยจอยสุดๆ เพราะรู้สึกว่าถ้าทำอะไรสักอย่างภายใต้ความกดดันมักจะไม่รอด เลยตั้งใจทำเต็มที่เท่าที่ทำได้ อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด พยายามปล่อยตัวเองสบายๆ เพราะหนูรู้ว่าเวลาหนูเครียดหนูจะทำออกมาได้ไม่ดี อีกอย่างคือหนูรู้สึกว่ารุ่น 5 เป็นจังหวะที่ดีที่สุดของหนูในการสมัครเข้าวง หลังเคยพยายามมาหลายครั้งแล้ว
อาหลี: ตอนเด็กหนูชอบร้องเพลงบนเวที เพราะเวลาขึ้นไปร้องผู้ใหญ่ก็จะให้เงิน หรือจริงๆ แล้วหนูชอบเพราะอยากได้เงิน (หัวเราะ) แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือเป็นคนที่แฮปปี้กับการร้องเพลง แต่ไม่ได้เคยมีความฝันว่าเราจะต้องไปเป็นศิลปิน
จนวันที่หนูเริ่มเรียนหนังสือไปเรื่อยๆ แล้วก็เริ่มรู้สึกว่าอยากลองอะไรใหม่ๆ บวกกับได้เห็น BNK48 เปิดรับสมัครรุ่น 4 ซึ่งหนูได้สมัครรุ่น 4 เหมือนกัน เพราะ IG Stories พี่ฮูพลงว่ารับสมัคร พร้อมประโยค ‘Now on Never’ หนูเลยรู้สึกว่าช่วงชีวิตที่เราจะสามารถเป็นศิลปินหรือไอดอลมันแค่แป๊บเดียว คือเราไม่สามารถไปทำตอนโตได้แล้ว อันนี้น่าจะเป็นโอกาสสำหรับหนู อยากจะลองดู อยากออกจากเซฟโซน สุดท้ายหนูยังไม่ผ่านออดิชันรุ่น 4
แต่หนูไม่ยอมนะ เพราะเป็นคนไม่ชอบความพ่ายแพ้ ใจเราคิดว่าเราทำได้ เราก็รู้สึกว่าอยากลองอีกครั้ง เลยตัดสินใจมาสมัครออดิชันรุ่น 5 วันสุดท้าย โดยที่ไม่ได้บอกใครเลย จนวันที่หนูเข้าห้องออดิชัน แม่หนูก็เพิ่งรู้วันนั้น สุดท้ายก็ทำสำเร็จ แล้วได้มาเป็นสมาชิกรุ่น 5 อยู่ตรงนี้
เกลญ่า: เพลงแรกที่ใช้เรียนร้องเพลงในชีวิตหนูตอนประถมคือเพลง 365 ค่ะ หนูค่อนข้างที่จะชอบเพลงนี้เป็นทุนเดิม แล้วพอหนูอายุถึงเกณฑ์ที่สมัครได้ เลยตัดสินใจมาออดิชันรุ่น 4
แต่ว่ารุ่น 4 หนูไม่ได้มีแรงจูงใจหรือไม่ได้มีแรงผลักดันอะไร แค่มาออดิชันกับเพื่อนด้วยซ้ำค่ะ ตอนนั้นได้เข้าถึงรอบ Final แต่ก็ยังไม่ติด กรรมการก็ถามว่าในอนาคตจะมาอีกไหม หนูก็บอกว่าจะมาอีก เพราะว่ารู้สึกว่าถ้ารุ่น 4 หนูได้มาถึง Final แล้ว ทำไมรุ่น 5 หนูจะไม่ได้
พอมาสมัครรุ่น 5 แต่ว่ารอบนี้บอกแม่ค่ะ รอบนี้แม่รู้ แม่เป็นคนช่วยเลือกรูปที่ส่งมาสมัครด้วย แล้วสุดท้ายก็ติดมาเป็นสมาชิกของวง มันรู้สึกดีใจมากค่ะ
เมย์จิ: หนูตามวง BNK48 อยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ก็เคยสมัครเหมือนกัน แต่ว่าน่าจะไม่ผ่านตั้งแต่รอบแรกเลย พอมาตอนรุ่น 4 ได้ไปถึงรอบ Final เหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ไม่ติด หนูเลยตัดสินใจไปเรียนแลกเปลี่ยนก่อน
พอกลับมาเป็นช่วงที่เตรียมสอบมหาวิทยาลัย และเป็นช่วงที่เขาเปิดรับรุ่น 5 ตอนแรกก็คิดอยู่ว่าถ้าสมมติเราสมัครรุ่น 5 แล้ว เรื่องมหาวิทยาลัยเราจะยังไงดี เพราะมันเป็นช่วงเดียวกันกับช่วงอ่านหนังสือ แล้ววันสอบมันคือช่วงเดียวกันเลย แต่สุดท้ายก็มานั่งคิดว่าตอนรุ่น 4 เราก็ไปไกลอยู่นะ (หัวเราะ) เลยตัดสินใจยื่นใบสมัครอีกสักที และสู้จนติดเข้ามาในวงค่ะ
หลังการสมัคร ออดิชัน และได้เปิดตัวเข้าสู่วง BNK48 ในฐานะสมาชิกรุ่น 5 แล้ว ภาพที่คิด (เกี่ยวกับชีวิตในวง) เหมือนหรือแตกต่างจากที่คิดไหม?
นีน: ด้วยความที่หนูตามวงมานาน มันก็ทำให้พอเห็นภาพอยู่บ้าง แต่พอได้เข้ามาอยู่จุดนี้ สิ่งที่เราเจอกับตัวจริงๆ ความลำบากที่เจอ มันไม่ใช่สิ่งที่รับมือได้ง่ายขนาดนั้น ก็พยายามที่จะเรียนรู้และจัดการมันไปเรื่อยๆ
เกลญ่า: สำหรับหนูคือแตกต่างมากค่ะ คือหนูก็มีภาพหนึ่งเหมือนกันว่าไอดอลมันเป็นแบบนี้แบบนั้น แต่เมื่อเทียบกับความเป็นจริง มันค่อนข้างที่จะไม่เหมือนกันหรือว่าเรียกว่าไม่เหมือนกันเลยก็ได้
เพราะว่าในภาพที่หนูคิดก็คือไอดอลน่าจะทำเพลงแบบน่ารักๆ เต้นง่ายๆ แบ๊วๆ แต่ความจริงคือซ้อมหนักกัน 5-6 ชั่วโมงเลย ท่วงท่าการเต้นมันอาศัยความแข็งแรงมากกว่าที่คิด เหนื่อยกว่าที่คิด อีกอย่างคือไอดอลเป็นทุกอย่างได้จริงๆ ไม่จำเป็นว่าต้องน่ารักอย่างเดียว แต่สามารถที่จะมอบความสุขให้กับคนอื่น หน้าที่มันเยอะกว่าภาพที่เห็นจริงๆ
อาหลี: คล้ายกับเกลญ่า ถ้ามองจากข้างนอกว่าไอดอลมันน่าจะแบบเต้นง่าย แบ๊วๆ ยิ้มๆ แต่ความจริงแล้วมันมากกว่านั้น การที่เราจะเต้นแล้วทำให้ดูแฮปปี้หรือส่งความสุขให้คนดูได้มันไม่ใช่เรื่องง่าย มันต้องผ่านการฝึกฝนที่หนักมามากๆ
อย่างบางท่าที่ทุกคนมองว่ามันง่าย ตอนแรกหนูก็เคยเป็นคนที่คิดแบบนั้น ดูท่าเต้นก็ไม่น่ายากนะ แต่พอได้ลองไปเต้นจริงๆ ปรากฏเต้นไม่ได้ มันไม่สามารถเต้นได้โดยที่ไม่มีพื้นฐานจริงๆ รายละเอียดท่าทุกอย่างมันมีความหมาย ไม่ใช่แค่ท่าเต้นเพื่อแบบความสวยงาม แต่ว่ามันมีความหมายที่เราต้องสื่อ หน้าที่ของเราคือการส่งความหมายของเพลงไปให้ถึงคนดู อันนี้คือสิ่งที่หนูก็เพิ่งรู้จากการเข้ามาเป็นไอดอล
เลยอยากจะบอกทุกคนว่าไอดอลที่เราเห็นเขาออกไปโชว์ คือเขาเต้นโดยเสริมพื้นฐานไปแล้ว แต่ละคนต้องฝึกหนักมาก ถึงมันจะต่างจากที่หนูคิดไว้ในตอนแรกมาก แต่ก็สนุกและชอบมาก
เมย์จิ: หนูก็คิดไว้ก่อนแล้วว่าถ้าเข้ามาเราจะต้องเจอกับสิ่งที่หนักแน่ๆ แต่พอเข้ามามันหนักกว่าที่คิดมาก ด้วยความที่หนูเป็นคนหัวช้าตอนเต้น บางทีหนูก็จะเต้นตามไม่ทัน และไลน์เต้นหนูมันไม่ค่อยไอดอล ก็เลยต้องซ้อมให้หนักขึ้น อยู่จนดึกเลยก็มี ต้องปรับลุค สไตล์ใหม่ การยืนตรงนี้จึงเป็นสิ่งที่ยากกว่าที่คิดไว้จริงๆ
ในวันที่มีนามสกุล BNK48 ต่อท้ายชื่อ ชีวิตเราเป็นอย่างไรบ้างในช่วงที่ผ่านมา มีอะไรเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน?
อาหลี: จนถึงตอนนี้หนูยังรู้สึกว่าเราไม่ได้เป็นคนมีชื่อเสียงในวงกว้าง ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนดังเลยนะ จนไปงานจับมือครั้งล่าสุด (Group Handshake) มีแฟนคลับมาจับมือ แล้วเขาพูดว่าพี่เจอหนูบ่อยมากเลยที่มหาวิทยาลัย
มันเลยทำให้หนูรู้สึกตัวว่าคนรอบตัวเป็นแฟนคลับเราเยอะมาก แต่เราแค่ไม่รู้ แล้วเหมือนบางทีเราไม่ได้ระวังตัว ไม่ได้วางตัวในที่สาธารณะได้ดีขนาดนั้น ก็เลยรู้สึกว่าหรือจริงๆ หนูต้องเริ่มแต่งหน้าไปเรียนให้มันดีขึ้น เพราะว่าหนูกังวลมากเวลาทุกคนมาบอกว่าเจอหนูที่มหาวิทยาลัย คำถามแรกของหนูคือสภาพหนูเป็นยังไงคะ (หัวเราะ)
เลยรู้สึกว่าเราต้องเริ่มแคร์สายตาคนมากขึ้น เราต้องห่วงภาพลักษณ์มากขึ้น มันไม่ได้เป็นเรื่องความห่วงสวย แต่เป็นห่วงภาพลักษณ์โดยรวมมากกว่า เพราะมันไม่ได้มีแค่ชื่อเรา มันมีชื่อวงในตอนท้าย มันมีภาพรวมของวงติดกับเรามาด้วย
เกลญ่า: สิ่งที่เปลี่ยนไปคือเรื่องการใช้ชีวิตมากกว่าค่ะ ปกติตอนเย็นจะไปเดินเล่นกับเพื่อน แต่ตอนนี้เลิกเรียนคุณพ่อคุณแม่ก็จะพาไปหอเพื่อซ้อมทุกวัน จนเป็นกิจวัตรประจำวันใหม่ของหนูไปแล้ว
อีกอย่างที่หนูเปลี่ยนไปสำหรับหนูคือยิ้มค่ะ เมื่อก่อนไม่ยิ้มเลย นี่เป็นอีกเรื่องที่แฟนคลับทักเยอะมาก เรื่องสีหน้า การยิ้ม การวางตัว
อาหลี: เมื่อก่อนน้องยิ้มน้อยมากจริงๆ เจอหน้ากันก็เหมือนเป็นคนไม่พอใจอะไรสักอย่างตลอดเวลา (หัวเราะ) แต่ตอนนี้ยิ้มมากขึ้น พูดเก่งขึ้นเยอะ
เมย์จิ: ส่วนของหนูก็ปกติ หนูเป็นคนกระโตกกระตาก เวลาอยู่ข้างนอกกับเพื่อนหนูจะเป็นตัวของตัวเองมากๆ เป็นคนพูดเสียงดัง แต่ตอนนี้ต้องระวังตัวขึ้น ระวังคำพูดคำจา เป็นอะไรต้องระวังตัวมากขึ้น เวลาอยู่ข้างนอกก็จะลดเอเนอร์จี้หน่อย
นีน: หนูไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปมาก เพราะว่าอย่างที่หนูบอกว่าหนูดร็อปเรียนไปแล้ว มันก็เลยเป็นวันว่าง คือตอนแรกหนูก็จะเรียนภาษาญี่ปุ่นแบบส่วนตัว ช่วงก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้เรียนเลย เพราะว่าเอาเวลาไปซ้อมก่อนดีกว่า แต่หลังจากนี้น่าจะกลับมาเรียนภาษาญี่ปุ่นมากขึ้น เพื่อสอบภาษาญี่ปุ่นเตรียมไว้เผื่ออนาคตจะได้ใช้ มีติดตัวไว้ก็ดีกว่า เลยรู้สึกว่าไม่น่าจะเปลี่ยนอะไรมาก
เมื่อพูดคุยมาถึงตอนนี้ เราเชื่อว่าทุกอย่างในเส้นทางนี้ของพวกเธอไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเพียงอย่างเดียว หากย้อนเวลาไปในช่วงที่เปิดตัวไม่นาน ได้เกิดประเด็นในคลิปเต้นฉลอง 200 ล้านวิวเพลง คุกกี้เสี่ยงทาย
เมื่อมีแฟนคลับบางส่วนมองว่าเหล่าสมาชิกรุ่น 5 ในเวลานั้นที่เปิดตัวไม่นาน ถูกพูดติเรื่องไลน์เต้นต่างๆ นานา เราจึงอยากรู้ว่าจากเหตุการณ์นี้มีผลต่อน้องๆ อย่างไร มันได้เปลี่ยนให้ทุกคนหันมาฝึกฝนหนักขึ้น หรือเป็นแรงผลักดันสำหรับเราในฐานะสมาชิก BNK48 มากแค่ไหน
อาหลี: หนูรู้สึกว่าช่วงนั้นรุ่น 5 เพิ่งเข้ามา เรายังไม่เข้าใจระบบการทำงานมากกว่าว่าจริงๆ แล้วการทำงานด้วยตัวเอง การฝึกทบทวนท่าเต้นด้วยตัวเองมันสำคัญอย่างไร
มันเหมือนกับว่าเราฝึกในห้องซ้อมได้แค่ไหน วันถ่ายเราก็ลุยไปแบบนั้นเลย พอถึงวันที่เริ่มได้รับ Feedback เราก็มานั่งคุยกัน ตกตะกอนจนได้เห็นว่ามันมีส่วนที่เราผิดด้วย ทำไมเราไม่นัดกันมาซ้อม ทำไมเราถึงไม่ทบทวนเพิ่ม ทำไมเราถึงไม่ช่วยกันดู แต่เราไม่ได้โทษกันนะ
มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้รู้ว่าเราควรจะผลักดันตัวเองให้มากขึ้น เราต้องมุ่งมั่นกว่านี้ เพื่อจะทำงานสักอย่างออกไปสู่สายตาแฟนเพลง มันไม่ได้ถึงกับเป็นปมในใจขนาดนั้น แต่มันคงอยู่ในใจของทุกๆ คน เพราะว่าคำพูดตอนนั้น หลายคนที่พิมพ์มามันก็เป็นเรื่องจริง แล้วมันก็อาจจะอยู่ในใจของน้องๆ บางคน ส่วนตัวไม่ได้เสียใจแล้ว แต่อยากจะก้าวข้ามมันไปให้ได้มากกว่า
ตอนช่วงที่เดบิวต์หนูรู้สึกว่ารุ่น 5 เป็นรุ่นที่แบบพัฒนาเร็วมากจริงๆ หนูนั่งดูน้องๆ สอบเต้นทีละคน หนูดูเพื่อนแล้วหนูนั่งร้องไห้เลย เพราะจากวันแรกที่เราเจอกันจนถึงวันนี้ มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เราก็เชื่อมั่นในตัวเพื่อนทุกคน เรามาไกลกันมากๆ พอมันผ่านวันที่เดบิวต์ไปด้วยกันก็แอบซึ้ง
หนูคิดว่าเราก็น่าจะลบคำสบประมาทนั้นไปได้ประมาณหนึ่งแล้ว Performance เราอาจยังไม่ได้ 100% แบบว้าวสุดๆ แต่หนูก็เชื่อว่าทุกคนเห็นว่ามันดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
ถึงตอนนี้ทุกคนในห้องนี้ต่างเติบโตขึ้นเยอะพอสมควร จากการฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ตลอด 5-6 เดือนของการเป็น BNK48 และเชื่อว่าแต่ละคนเริ่มมีภาพ เห็นอนาคตของตัวเองกับวงที่มากขึ้น เราจึงอยากรู้ว่าแต่ละคนอยากเติบโตไปเป็นไอดอลแบบไหน
นีน: ถ้าคิดเร็วๆ หนูก็รู้สึกว่าอยากเป็นไอดอลที่ตัวเองก็มีความสุข คนอื่นก็มีความสุข ไม่ลำบากตัวเองและไม่ลำบากคนอื่น
ไม่ได้อยากเป็นไอดอลที่มีชื่อเสียงขนาดนั้น แต่อยากเป็นไอดอลที่ทำให้คนที่ติดตามรู้สึกว่าไม่ผิดหวังที่จะติดตามเรา แล้วก็สบายใจที่อยู่กับเรา แล้วก็มีความสุขที่เห็นเรา แค่นั้นก็พอแล้ว
อีกอย่างคืออยากเป็นไอดอลด้านตัวตนให้กับใครสักคนที่เขาอาจจะไม่มั่นใจในตัวเอง เพราะหนูก็เป็นคนที่ไม่มั่นใจตัวเองด้วย หนูเคยโดนแฟนคลับมาบอกว่า “เนี่ยรู้ไหมว่าเราทำตัวน่ารักแล้วมันน่ารัก แล้วเขาจะชอบทำตัวให้มันน่ารักสิ” ซึ่งหนูรู้ดีว่าตัวเองจะไม่มีความสุขแน่ถ้าทำแบบนั้น
หนูรู้อยู่แล้วว่าตัวเองเป็นคนยังไง อยากเป็นนีนที่เป็นนีนจริงๆ เพราะหนูก็รู้อยู่แล้วว่าการที่ถึงแม้ว่าหนูจะทำตัวน่ารักเพื่อเปลี่ยนตัวเอง สุดท้ายแล้วมันก็อยู่ได้แค่แป๊บเดียว เพราะมันไม่ใช่ตัวเรา เลยรู้สึกว่าถ้าหนูสามารถมั่นคงในตัวเองได้ หนูก็สามารถส่งต่อความรู้สึกนี้ให้กับคนที่กำลังโดนใครบอกให้เป็นใคร ให้ทำยังไง ให้ไปเรียนต่ออะไร หรือว่าให้ใช้ชีวิตยังไงก็ตาม ได้แบบมีความมั่นใจแล้วก็ยึดมั่นในตัวเองมากขึ้นได้ด้วย
เกลญ่า: หนูอยากเป็นไอดอลที่รักตัวเองค่ะ หมายถึงว่าถ้าไม่รักตัวเองแล้วหนูก็ไม่มีทางที่จะไปรักหรือมอบความรักให้คนอื่นได้ หนูอยากเป็นไอดอลที่มอบความสุข มอบกำลังใจให้กับคนอื่น เวลาเห็นพี่ๆ น้องๆ เพื่อนๆ ท้อแท้ ก็อยากที่จะให้ความสุขเขาไม่มากก็น้อย
เมย์จิ: หนูอยากเป็นไอดอลที่เป็นตัวของตัวเอง โชว์ความเป็นตัวเองออกมาให้คนอื่นได้เห็น อยากให้แฟนคลับชอบเราที่เราเป็นเรา
อาหลี: หนูอยากเป็นไอดอลที่ทำให้น้องๆ รุ่นใหม่ เห็นว่าการเริ่มต้นจากศูนย์สู่การเป็นไอดอลมันเป็นไปได้ เพราะหนูรู้สึกว่าตัวเองเริ่มมาจากศูนย์จริงๆ ในวันที่ขึ้นเวทีแคนดิเดต หนูเต้นไม่เป็นเลย เหมือนเรามาเริ่มใหม่กับที่นี่เลย
อยากจะส่งต่อความฝันนี้ออกไปถึงน้องๆ ที่มีความตั้งใจแบบเรา ให้รู้ว่าแค่ตั้งใจทำอะไรเราก็ทำได้ ต่อให้เราจะไม่มีพื้นฐานหรือไม่ได้เริ่มมาเท่าใคร แต่เราสามารถเดินไปข้างหน้าได้ในแบบของเรา โดยไม่ต้องเปรียบเทียบกับใครว่าเราจะเดินได้ไกลเท่าเขาไหม
ถึงตรงนี้ เราคิดว่าถึงโอกาสอันดีที่จะให้ตัวแทนได้เล่าถึงความหมายและความรู้สึกที่มีต่อเพลง Mirai to wa? ซึ่งเป็นเพลงประจำรุ่นของพวกเธอ
เกลญ่า: หนูไม่ได้รู้จักเพลงนี้มาจากญี่ปุ่นตั้งแต่แรกค่ะ แต่พอมาฟังเนื้อภาษาไทยที่ผ่านการแปลเป็นไทยมาแล้ว รู้สึกว่ามันเป็นความหมายที่ดีมากๆ ตรงกับชีวิตของพวกเรารุ่น 5 แต่ละคนที่มาจากสถานที่ที่ไม่เหมือนกัน บางคนเริ่มมาจากศูนย์ หรือบางคนก็เคยเป็นไอดอลมาก่อน
แต่พอเข้าวงมา รู้สึกว่าทุกคนเริ่มนับหนึ่งใหม่พร้อมกันนะคะ มันก็เหมือนกับภาพในมิวสิกวิดีโอเลย เหมือนอนาคตของพวกเรากำลังเริ่มต้นใหม่ไปด้วยกัน ก้าวไปด้วยกัน ทุกคนล้วนเริ่มนับหนึ่งใหม่
ส่วนความหมายของเพลงเกี่ยวกับเรื่องอนาคตที่จะก้าวไปด้วยกันอย่างในมิวสิกวิดีโอ พวกเราคือเด็กสาวที่ไม่มีความมั่นใจที่พยายามรวบรวมความกล้ามาออดิชัน ในภาพนั้นจะเห็นว่าเราไม่กล้า เรากลัวจะทำไม่ได้ ไม่มีความมั่นใจ รู้สึกว่าตัวเองทำไม่ได้ จนถึงขั้นจะล้มเลิกความตั้งใจไป
แต่พอนาฬิกาทรายมันพลิก แล้วมันก็ย้อนกลับไป เหมือนสุดท้ายแล้วพวกเราตัดสินใจกันใหม่ว่าเราจะขอลองทำอีกครั้ง เพราะว่าถ้าเราไม่ทำครั้งนี้ เราก็อาจจะไม่มีโอกาสได้ทำมันอีกแล้ว สุดท้ายแล้วยังไงเราก็ต้องทำ เพราะถ้าเรามุ่งมั่น ตั้งใจทำจากหัวใจ เชื่อว่าสักวันหนึ่งมันจะสำเร็จอย่างแน่นอน
นีน: อีกมุมหนึ่งก็อาจจะสื่อถึงพวกเรารุ่น 5 ที่จะเป็นอนาคตใหม่ของวง เพราะว่าท่อนสุดท้ายของเพลงร้องว่า “และโอกาสนี้จะเป็นอนาคตของพวกเรารุ่นต่อไป” เป็นท่อนที่อิมแพ็กต์สุดๆ
ในเมื่อเพลงนี้ว่าด้วยเรื่องของ ‘อนาคต’ เลยอยากรู้ว่าแต่ละคนวาดฝันอนาคตของตัวเองกับการเป็น BNK48 ไว้แบบไหน
เมย์จิ: อยากเห็นตัวเองที่พัฒนาไปไกลในทุกด้าน ทั้ง Performance แล้วก็เรื่องการพูดด้วย ความเป็นตัวเองที่เติบโตแบบมีวุฒิภาวะมากขึ้น
อาหลี: ในอนาคตหนูอยากเป็นรุ่นพี่ที่ทำให้น้องๆ สบายใจที่จะเดินเข้ามาคุย หรือเดินเข้ามาให้ช่วยเหลือ อย่างตอนนี้มีรุ่นพี่หลายคนที่ช่วยเราแบบนั้นเหมือนกัน เลยคิดว่าสักวันหนึ่งหนูก็อยากจะเป็นคนที่สอนน้องได้บ้าง อยากเป็นที่พึ่งให้น้องๆ
นีน: อยากเป็นที่พึ่งที่ดีให้น้องๆ ถ้าเป็นอยู่แล้วก็อยากเป็นต่อไป อยากเป็นไอดอลที่มั่นใจในตัวเองแล้วก็ยึดมั่นในความเป็นตัวเอง และช่วยให้คนอื่นๆ มั่นใจในตัวเองมากขึ้นด้วย
เกลญ่า: อยากเป็นคนที่เก่งและดีขึ้นค่ะ เป็นไอดอลที่อยู่บนเวทีแล้วมีเสน่ห์ มีคาริสม่าไอดอลออกมาก็โอเคแล้วค่ะ แล้วก็อยากเป็นความสบายใจให้กับรุ่นต่อไปที่จะเข้ามาด้วย
ณ วันนี้ ความสุขของการเป็น BNK48 ของแต่ละคนคืออะไร
เมย์จิ: ถึงหนูจะขี้บ่น แต่หนูชอบเต้น ชอบร้อง คือทุกครั้งที่ได้ทำหนูรู้สึกว่าเหมือนเรากำลังค้นหาอะไรใหม่ๆ ให้กับตัวเองอยู่ แบบว่าลองท่านี้ที ลองแบบนี้ที ถ้าเกิดเป็นสไตล์นี้จะรอดหรือเปล่า ทุกวันนี้เลยมีความสุขกับการได้ลองสิ่งใหม่ๆ
เกลญ่า: การที่ได้เจอพี่ เจอเพื่อนค่ะ ถ้าคิดง่ายๆ เลยรู้สึกว่าตอนนี้หนูขาดพี่เขาไม่ได้แล้ว ถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกันคงรู้สึกน่าจะเหงามากๆ เพราะตอนนี้พวกเราอยู่กันเป็นกลุ่มก้อนที่สนิทกันมากๆ
อาหลี: หนูชอบดูตัวเอง ชอบเห็นว่าตัวเองเต้นดีขึ้น คือตอนที่สอบเพลงเดบิวต์เสร็จแล้ว ได้ตำแหน่งแล้ว หนูเอาคลิปที่เต้นวันแรกกับวันที่เราสอบมาดูเทียบกัน แล้วหนูรู้สึกว่ามันต่างกันมากขนาดนี้เลย ดูไปก็คิดในใจว่ารู้แล้วทำไมตอนนี้ถึงโดนติ (หัวเราะ) มันเลยชอบที่ได้เห็นตัวเองดีขึ้น มันดีต่อใจจริงๆ
นีน: ตอนนี้หนูมีความสุขที่ได้เรียนรู้ตัวเอง ได้พัฒนาการร้องและการเต้นให้เก่งขึ้น เพราะอยากจะเป็นคนที่ Perform เก่ง ดูเป็นตัวเอง มีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง ตอนนี้หนูรู้สึกมีความสุขกับการที่ได้ฝึกฝน
ในช่วงสุดท้ายของบทสนทนา THE STANDARD POP หยิบยกคำถามที่เป็นเหมือนกิมมิกในวงสัมภาษณ์กับน้องๆ ในวง BNK48 มาถามทั้ง 4 สาว ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่พวกเธอจะตอบคำถามนี้
ถ้าให้พาตัวเราอีกคนมานั่งอยู่ตรงหน้า อยากพูด อยากขอบคุณ หรืออยากบอกอะไรกับเขาคนนี้
นีน: หนูน่าจะเป็นหลายๆ เรื่องเลยที่รู้สึกอยากขอบคุณตัวเอง ขอบคุณที่ยังไม่ยอมแพ้กับความฝัน แล้วก็ขอบคุณที่ยังทำมาโดยตลอด ยังมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำมันมาเสมอ ในที่สุดมันก็ถึงในจุดที่เราเคยคิดไว้แล้ว นั่นคือการเป็น BNK48 ก็ดีใจแล้วก็ภูมิใจในตัวเอง
แล้วก็อยากจะบอกตัวเองว่าเราสามารถพัฒนาตัวเองได้อีก ถึงบางทีหนูจะไม่มั่นใจในตัวเองว่าหนูจะสามารถทำให้มันดีขึ้นไปมากกว่านี้ได้ไหม แต่หนูรู้สึกว่าวันเดบิวต์ที่ผ่านมา กับวันแรกที่หนูเข้ามาออดิชัน มันมีอะไรเกิดขึ้นเยอะมาก มันดูเหมือนไม่นาน แต่มันก็ผ่านอะไรมาเยอะมากจริงๆ
อาหลี: ขอบคุณตัวเองที่เชื่อมั่นในตัวเอง แล้วยังพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ยังมีความสุขกับตรงนี้ ยังเอ็นจอย ต่อให้จะโดนติ มีจุดที่ยังทำได้ไม่ดี ต่อให้เสียใจ ท้อแท้ ก็ขอบคุณตัวเองที่ยังฮึด แล้วก็คอยจัดการปัญหาในใจออกไปได้ตลอด ขอบคุณที่เป็นคนเคลียร์ปัญหาของตัวเองได้ไว จัดการความรู้สึกตัวเองได้เร็ว
ขอบคุณที่ตั้งใจซ้อม คือก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจากมุมมองคนอื่นเวลาเต้นเราเป็นยังไง แต่หนูรู้ตัวเองว่าที่หนูทำคือทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขอบคุณที่ I have สติทุกวันที่มาซ้อม หนูรู้สึกภูมิใจในตัวเองกับสิ่งที่ทำมาทุกอย่าง
เกลญ่า: ตั้งแต่วันแรกเลยก็ขอบคุณตัวเองที่ยื่นใบสมัครเข้ามาค่ะ ขอบคุณที่ตัวเองไม่ท้อ หรือเวลามีเรื่องเครียดก็รู้สึกว่าเหมือนจะเฟล แต่สุดท้ายก็เกือบหลับแต่กลับมาได้ตลอด
ขอบคุณที่เต็มที่กับทุกครั้งที่ไม่ว่าจะขึ้นสเตจ หรือว่าเวลาไปหาพี่ๆ แฟนๆ หรือเวลาไปซ้อม ขอบคุณที่ตัวเองเต็มที่ทุกครั้ง ขอบคุณที่คอยปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอ ขอบคุณที่ทำให้ตัวเองยิ้มเก่งขึ้น แล้วก็ว่าจะพัฒนาต่อไปค่ะ
เมย์จิ: ขอบคุณที่พยายามมาตลอด ไม่ว่าจะเจอกับปัญหาอะไร ก็หาทางต่อสู้มาตลอด ขอบคุณที่เชื่อมั่นในตัวเอง ขอบคุณที่สู้ ถึงวันไหนที่รู้สึกแบบแย่มากๆ ก็ไม่เคยคิดว่าจะหยุดหรือจะไม่ทำต่อ ถึงจะท้อแค่ไหนเราต้องไปต่อ อย่าเพิ่งท้อ
ในฐานะอนาคตของ BNK48 เราบอกอะไรกับแฟนๆ หรืออยากทำอะไรเพื่อวงนับจากนี้?
นีน: เป็นเป้าหมายตั้งแต่เป็นแคนดิเดต คือหนูอยากพาวงไปงานขาวแดงที่ญี่ปุ่น มันจะคล้ายๆ งานปีใหม่ แต่มันจะจัดช่วงต้นปีของญี่ปุ่น เป็นงานที่ใหญ่มากๆ แล้วก็เป็นงานที่แม้แต่คนญี่ปุ่นเองก็ยังอยากที่จะได้ขึ้นไปโชว์ เลยรู้สึกอยากพา BNK48 กลับไปอีกครั้ง
แต่ว่ามันก็จะไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่หนูคนเดียว แต่ในมุมของหนูจะพยายามทำทุกอย่าง ทั้งทักษะร้อง เต้น ทักษะการพูด หรืออื่นๆ อีกมากมายที่ยังขาด หนูจะพัฒนาตัวเองให้เต็มที่ แล้วก็จะคอยเป็นส่วนหนึ่งที่จะอยู่ซัพพอร์ตวงต่อไปเรื่อยๆ เพราะหนูเชื่อว่าจะต้องมีรุ่นต่อไปมาเสริมวงเราอย่างแน่นอน
อาหลี: อยากให้เปิดใจให้พวกเราทุกคน ตอนนี้ BNK48 เป็น New Era จริงๆ ทั้งระบบการฝึกทุกอย่าง ต่อจากนี้พวกเราจะพยายามทำหน้าที่ในฐานะไอดอลอย่างเต็มที่ทุกคน ตอนนี้เราจะพยายามพัฒนาพื้นที่ตรงนี้ให้เป็นที่สำหรับเด็กในอนาคตรุ่นต่อไป เพราะหนูรู้สึกว่าถ้าไม่มีที่ตรงนี้ เด็กหลายคนคงไม่ได้ทำตามความฝัน โดยที่เริ่มต้นจากศูนย์แบบที่หนูเป็น อยากจะบอกคนที่ผ่านเข้ามาอ่านให้ลองเปิดใจกับพวกเรา BNK48 สนับสนุนวงให้อยู่ไปนานๆ
นีน: รู้สึกว่าเพราะว่า BNK48 เป็นวงที่เริ่มต้นมาจากอย่างนี้ มันเริ่มต้นมาจากคอนเซปต์ของเด็กสาวข้างบ้าน เด็กที่ไม่มีอะไรเลยแต่สามารถมาเป็นไอดอลได้ หนูก็รู้สึกว่าอยากให้คอนเซปต์นี้มันยังอยู่ต่อไป และอยากให้ทุกคนเชื่อมั่นและสนับสนุนเราต่อไป
เกลญ่า: ในอนาคตหนูอยากพาวงไปเล่นคอนเสิร์ตใหญ่อีกครั้ง พวกหนูจะทำให้เต็มที่ จะทำให้สุดความสามารถเท่าที่จะทำกันได้ อยากจะทำให้วงมันไปต่อได้เรื่อยๆ
เมย์จิ: อยากทำให้วงนี้อยู่กับพวกเราไปนานๆ จนหนูกลายเป็นอาม่าไปเลย ยังอยากให้วงนี้ยังมีอยู่ อย่างที่อาหลีพูดเลยว่าคือมันไม่ได้หาได้ง่ายๆ สถานที่ที่ให้คนที่เริ่มจากศูนย์ได้พัฒนาตัวเองจนก้าวมาเป็นไอดอล เลยอยากให้ทุกคนอยู่ซัพพอร์ตเราไปนานๆ เพราะเราก็อยากอยู่ตรงนี้ไปนานๆ เหมือนกัน
ฟังเพลง: Mirai to wa? / BNK48