ทิศทางของนาฬิกาหรูมือสองในวันที่ตลาดซบเซา นักสะสมตัวจริงก็กลับมา

ราคานาฬิกาหรูในตลาดมือสองเคยพุ่งขึ้นสูงสุดในเดือนเมษายน 2022 และนับจากนั้นเป็นต้นมาราคาก็ปรับตัวลดลงเรื่อยๆ โดยไตรมาสที่ 4 ของปี 2023 ถือเป็นการปรับตัวลดลง 7 ไตรมาสติดต่อกัน ตามรายงานของ Morgan Stanley และ WatchCharts และหากดูที่ Bloomberg Subdial Watch Index ที่ติดตามราคานาฬิกาหรู 50 เรือนที่มีการซื้อขายมากที่สุดในตลาดรองก็พบว่า ดัชนีลดลงประมาณ 7% ในปีที่ผ่านมา ซึ่งแบรนด์นาฬิกายอดนิยมอย่าง Rolex มีเพียง 2 รุ่นเท่านั้นที่ทำราคาได้สูงขึ้น นั่นคือ Rolex Pepsi GMT Master II (Ref. 126710BLRO) เพิ่มขึ้นประมาณ 2.9% ในช่วง 12 เดือน และ 2.1% ในช่วง 30 วัน อีกรุ่นคือ Lady-Datejust (Ref. 69173) มีราคาเพิ่มขึ้นประมาณ 0.2% ในช่วง 12 เดือน แต่ปรับตัวลดลง 2.0% ในช่วง 30 วัน คำถามที่ตามมานี่คือจุดต่ำสุดของตลาดนาฬิกาหรูมือสองแล้วหรือยัง และทิศทางที่จะเกิดขึ้นต่อไปจะเป็นอย่างไร

อาจต้องทำความเข้าใจก่อนว่าราคาที่พุ่งขึ้นไปเมื่อเกือบ 4 ปีก่อนคือการเพิ่มขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของนาฬิกา เพราะเงินสนับสนุนจากรัฐและคนมีกิจกรรมให้ทำไม่มากในช่วงการระบาดของโควิด ทำให้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการจับจ่ายของสะสมหรูหรา ส่วนในปัจจุบันนี่อาจเป็นราคาที่สะท้อนสถานการณ์ปกติของตลาดนาฬิกาก็ได้ ซึ่งราคาที่ปรับตัวลดลงกลับส่งผลดีให้นักสะสมตัวจริงให้กล้าซื้อนาฬิกาสะสมอีกครั้ง หลังจากสู้ราคาจากนักเก็งกำไรไม่ไหว เพราะก่อนหน้านั้นราคานาฬิกาพุ่งขึ้นเร็วและแรง บางครั้งขึ้น 5% ต่อเดือน โดยเฉพาะกับแบรนด์สามยักษ์ใหญ่ทั้ง Rolex, Patek Philippe และ Audemars Piguet

โดยข้อมูลของ Morgan Stanley ในปี 2023 ราคาของ Rolex, Patek และ AP ลดลง 8%, 16% และ 18% ตามลำดับ แต่ถึงอย่างนั้นในไตรมาสที่ 4 ของปีที่ผ่านมา ราคานาฬิกามือสองของทั้ง 3 แบรนด์ก็ยังคงสูงกว่าราคาขายปลีกถึงราวๆ 24.7%

ปัจจุบันนี้เราจึงได้เห็นนักสะสมตัวจริงกลับเข้าสู่ตลาด ทำให้มีปริมาณการซื้อในตลาดเพิ่มขึ้น และเชื่อว่าอุปสงค์ในตลาดยังคงแข็งแกร่งจากนักสะสมที่ทุ่มเทแบบไม่แคร์อัตราเงินเฟ้อ โดยโมเดลนาฬิกายอดนิยมก็ยังคงหาซื้อได้ยากอยู่ดี ขณะที่ร้านค้าปลีกก็ได้เห็นปรากฏการณ์นักเก็งกำไรเริ่มถอดใจรอในลิสต์ลูกค้า หมายความว่าก็มีโอกาสที่นาฬิการุ่นดีๆ จะตกถึงมือนักสะสมตัวจริงมากขึ้น

ยกตัวอย่างนาฬิกาที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นในรอบ 12 เดือนอย่าง Rolex Pepsi GMT Master II Ref. 126710BLRO ซึ่งพัฒนามาจากนาฬิกาที่ออกแบบเพื่อช่วยให้นักบิน Pan Am ติดตามเวลาได้ 2 ไทม์โซน โดยพัฒนามาจาก Ref. 6542 ในช่วงปี 1950 และได้ชื่อเล่นมาจากกรอบสีแดงและสีน้ำเงินตามโลโก้ของสายการบิน แต่ดันไปคล้ายกับโลโก้ยอดนิยมอย่าง Pepsi เหมือนกัน ก็ยังคงเป็นGMT รุ่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุด จนเป็นหนึ่งในรุ่นที่หายากที่สุด โดยนักสะสมจะต้องรอคิวยาวก่อนที่จะได้เป็นเจ้าของ

ดังนั้นด้วยความหายาก ผนวกกับข่าวลือว่านาฬิการุ่นนี้อาจยุติการผลิตก็ทำให้ราคาของ Rolex Pepsi GMT Master II Ref. 126710BLRO มือสองเพิ่มขึ้น ส่วน Lady-Datejust นับเป็นนาฬิกาผู้หญิงเพียงเรือนเดียวในกลุ่ม Bloomberg Subdial Watch Index ที่ทำราคาสูงขึ้น ด้วยความโดดเด่นจากส่วนผสมของสเตนเลสสตีลและทอง หน้าปัดสีแชมเปญพร้อมเพชรที่ทำเครื่องหมายบอกเวลา นอกจากนี้ นาฬิกาบางรุ่น เช่น Royal Oak, Nautilus, Aquanaut, Rolex GMT และ Daytona ยังคงเป็นที่ต้องการเป็นประวัติการณ์ โดยมีรายชื่อ Waiting List ยาวนานที่สุดเท่าที่เคยมีมา

แต่นาฬิกาที่ได้รับผลกระทบจากราคาจริงๆ กลับเป็นนาฬิการะดับกลาง ที่แบรนด์นาฬิกามักจะแนะนำให้ซื้อเพื่อให้ได้นาฬิการะดับไฮเอนด์จริงๆ เช่น นาฬิกา Rolex DateJust พื้นฐาน ที่ร้านค้าปลีกจะแนะนำให้ซื้อก่อนจะได้นาฬิการุ่นยอดนิยมอย่าง Daytona หรือ GMT-Master II

ในเดือนมกราคมยอดการส่งออกนาฬิกาสวิสเพิ่มขึ้น 3.1% เป็นมูลค่าราวๆ 2.2 พันล้านดอลลาร์ ทำให้จำนวนนาฬิกาที่ส่งออกเพิ่มขึ้น 2.9% เป็น 1.2 ล้านเรือน โดยนาฬิกาที่มีราคาสูงกว่า 3,000 ฟรังก์สวิสหรือราวๆ 120,000 บาท ลดลง 4.5% ในเดือนมกราคม แม้ว่ามูลค่าของมันจะเพิ่มขึ้น 4.3% ก็ตาม ส่วนเมื่อมองไปที่ตลาดส่งออก ตลาดสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของนาฬิกาสวิสเพิ่มขึ้นเพียง 2.2% ในขณะที่การส่งออกไปที่จีนแผ่นดินใหญ่เพิ่มขึ้น 5% ส่วนที่ฮ่องกงลดลง 4.7% เรียกได้ว่าตลาดนาฬิกาในปี 2024 ยังคงฟื้นตัวอย่างช้าๆ ไม่หวือหวา และค่อนข้างอ่อนแอ

สรุปแล้วในปีนี้จะเป็นปีที่ซับซ้อน เห็นได้ชัดว่าตลาดรองจะได้รับผลกระทบจากความต้องการนาฬิกาใหม่ที่ลดลง เนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคยังคงอยู่ในแดนลบ ในขณะที่นักสะสมตัวจริงก็ยังคงสร้างอุปทานพื้นฐานอันแข็งแกร่งให้กับตลาด ซึ่งนี่อาจเป็นความต้องการที่แท้จริงของคนรักนาฬิกามากกว่าความหวือหวาของราคาอย่างเช่นช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา