เดินทางเข้าสู่วันที่ 4 หลายพื้นที่ของเวเนซุเอลาตกอยู่ภายใต้ความมืดมิดอีกครั้ง หลังกระแสไฟฟ้าดับครั้งใหญ่เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 1 เดือน โดยเมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาเกิดเหตุไฟดับครั้งใหญ่ยาวนานกว่า 2 สัปดาห์ ส่งผลให้วิกฤตการณ์ต่างๆ ภายในประเทศทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น
การ์ลอส ลาร์ราซาบัล ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าของเวเนซุเอลา ระบุว่าเหตุไฟฟ้าดับครั้งใหญ่นี้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างใหญ่หลวง และส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจส่งออกน้ำมัน ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักของประเทศ มูลค่าความเสียหายจากการไม่มีกระแสไฟฟ้าใช้ในแต่ละวันสูงถึง 200 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 6.4 พันล้านบาท) ต่อวัน
ชาวเวเนซุเอลากว่า 30 ล้านคนเผชิญหน้ากับความตกต่ำทางเศรษฐกิจมานานกว่า 5 ปี ภายใต้การปกครองของรัฐบาลที่ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาและตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของประชาชนได้ โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ระบุว่าตัวเลขเงินเฟ้อของยักษ์ใหญ่ด้านน้ำมันสำรองของโลกแห่งนี้อาจสูงถึง 10 ล้านเปอร์เซ็นต์ภายในปีนี้
เหตุไฟดับครั้งแรกสร้างความเสียหายสูงถึง 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.2 หมื่นล้านบาท) หรือคิดเป็น 1 เปอร์เซ็นต์ของ GDP โดยเนื้อสัตว์มากกว่า 2,000 ตันและนมวัวกว่า 5 ล้านลิตรพังเสียหาย ส่งผลให้ประเทศเกิดวิกฤตทางด้านอาหาร ประชาชนในหลายพื้นที่ต้องหาสิ่งที่พอจะรับประทานได้จากกองขยะ ดื่มน้ำจากท่อน้ำทิ้ง และผันตัวเป็นขโมยเพื่อความอยู่รอด
โอเปกระบุ ผลผลิตด้านน้ำมันดิบของเวเนซุเอลาลดลงเหลือ 2 ล้านบาร์เรลต่อวันในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2018 ซึ่งถือว่าลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วง 1 ทศวรรษที่ผ่านมาที่สามารถส่งออกน้ำมันดิบได้สูงถึง 3.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน และจากข้อมูลของ British Bank Barclays ระบุว่าปัจจุบันเวเนซุเอลาส่งออกน้ำมันดิบได้เพียง 5 แสนบาร์เรลต่อวันเท่านั้น
มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ที่มีต่อเวเนซุเอลาอาจจะยิ่งทำให้วิกฤตการณ์ในประเทศนี้ยิ่งรุนแรงมากยิ่งขึ้น หลังมีประเด็นทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยสหรัฐฯ ได้สนับสนุน นายฮวน กุยโด ผู้นำฝ่ายค้านผู้ครองเสียงข้างมากในสภาที่ประกาศตนดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีรักษาการให้ทำหน้าที่ในการบริหารประเทศ พร้อมเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งใหม่และเปลี่ยนผ่านการเมืองโดยเร็วที่สุด
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง: