ในช่วงนี้ เงินดิจิทัล Bitcoin ผันผวนจนสร้างความกังวลให้กับบรรดานักลงทุนทั่วโลก ท่ามกลางคำถามที่มีต่อราคาที่ตกรุนแรงในช่วงนี้ว่า “นี่ฟองสบู่เริ่มแตกแล้วใช่ไหม?”
ไม่มีใครให้คำตอบได้ เช่นเดียวกับที่ถามว่าใครเป็นคนสร้าง Bitcoin นั่นล่ะ แม้ว่ารัฐบาลไทยและแบงก์ชาติจะออกโรงเตือนเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง แต่ดูเหมือนสังคมของผู้ลงทุนในเงินดิจิทัลหรือ Crypto Trader กลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และตอนนี้กรุงเทพมหานครก็มี Bitcoin Center Thailand แห่งแรกเกิดขึ้นแล้ว
สำนักข่าว THE STANDARD สัมภาษณ์ผู้ร่วมก่อตั้งชุมชนแห่งนี้และได้คำตอบว่า “มันมาไกลเกินกว่าใครจะหยุดได้แล้ว”
การปฏิวัติทางการเงินครั้งใหม่ด้วยเงินดิจิทัล
ค่ำวันที่ 8 ม.ค. ที่ผ่านมา เป็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ Bitcoin Center Thailand ศูนย์เรียนรู้เงินดิจิทัลและเทคโนโลยี Blockchain ซึ่งตั้งเป้าจะเป็นสังคมของนักลงทุนและผู้ที่สนใจสำหรับแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในการลงทุน เช่นเดียวกับสังคมของนักเล่นหุ้นหรือเกมเมอร์ที่สนใจในเรื่องเดียวกัน
สิ่งที่น่าทึ่งคือ มีคนไปร่วมงานจำนวนมากจนพื้นที่กว่า 200 ตารางเมตรขนาดเท่าร้านกาแฟไม่สามารถรองรับได้พอ จนบรรดาคริปโตเทรดเดอร์ล้นออกไปด้านนอก ประมาณด้วยสายตาเชื่อว่ามีจำนวนนับร้อยคน มีผู้ที่คร่ำหวอดในวงการลงทุนและไอทีปรากฏตัวในงานหลายคน
สิ่งที่สำนักข่าว THE STANDARD ตั้งข้อสังเกตคือวิทยากรในงานพูดกับผู้เข้าร่วมงาน โดยชี้นำว่านี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ที่อำนาจทางการเงินจะกลับมาอยู่ที่มือของประชาชน ไม่ใช่สถาบันการเงินที่เป็นตัวกลาง จึงอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเป็นเรื่องจริง ถือเป็นการปฏิวัติทางการเงิน (Financial Revolution) หรือไม่?
เราจึงเดินทางไปที่ Bitcoin Center Thailand เพื่อหาคำตอบ
ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ผู้ร่วมก่อตั้งคนสำคัญให้ข้อมูลกับสำนักข่าว THE STANDARD ว่า จัดตั้ง Bitcoin Center ขึ้นมาพร้อมกับผู้ร่วมก่อตั้งคนอื่นที่ไม่ประสงค์ออกนาม โดยที่ไม่ต้องไปขออนุญาตสิทธิ์หรือความเห็นชอบจากใครหรือองค์กรใด เพราะไม่มีใครเป็นเจ้าของสิทธิ์เช่นเดียวกับตัวเหรียญ Bitcoin เอง ถ้าใครจะไปตั้งศูนย์เงินดิจิทัลของตนเองในพื้นที่อื่นก็ทำได้ แต่ต้องใช้ชื่อที่แตกต่างกัน เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องหรือเป็นเครือข่ายกันแต่อย่างใด นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะที่นิวยอร์กก็มี Bitcoin Center เช่นเดียวกับที่เกาหลีใต้
“ผมว่าซาโตชิต้องการสร้าง Financial Revolution”
ซาโตชิ นากาโมโตะ เป็นนามแฝงของผู้ที่เชื่อว่าเป็นผู้สร้าง Bitcoin โดยเงินดิจิทัลนี้ถูกขุดครั้งแรกในต้นปี 2009 และข้อมูล ‘Bitcoin: A Peer to Peer Electronic Cash System’ ก็กลายเป็นไวต์เปเปอร์ในตำนาน
“ถ้ามันไปถึงวันที่เกิด Revolution ได้ ซึ่ง Bitcoin หรือเงินดิจิทัลอื่นๆ จะมีต้นทุนหรือค่าธรรมเนียมในการแลกเปลี่ยนใกล้เคียงกับศูนย์หรือต่ำมาก ทุกวันนี้ก็มีเหรียญบางตัวที่ค่าธรรมเนียมต่ำอยู่บ้าง ธนาคารก็ต้องปรับตัวเพราะมันอยู่ไม่ได้” ปกรณ์วุฒิ กล่าว
นี่เป็นโจทย์สำคัญที่ยังเป็นอุปสรรคต่อความไหลลื่นและคล่องตัวในการใช้เงินดิจิทัล เนื่องจากการซื้อขายแลกเปลี่ยนปัจจุบันยังมีต้นทุนในระดับที่สูง รวมถึงการแปลงเงินดิจิทัลกลับมาเป็นเงินสกุลท้องถิ่นของประเทศต่างๆ มีกระบวนการที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่
“เขา (ซาโตชิ) อยากจะพิสูจน์ว่าตัวกลางในภาคการเงินหรือว่าธนาคารนั้นไม่จำเป็น ไม่ต้องมีก็ได้ เขาพยายามสร้างโลกที่เราสามารถย้ายเงินจากอีกซีกโลกไปอีกซีกโลกหนึ่งได้ในเวลาไม่กี่วินาทีด้วยต้นทุนที่ต่ำมาก”
นี่เป็นเป้าหมายใหญ่ที่ท้าทายที่สุดในมุมที่ปกรณ์วุฒิคาดเดา
“Bitcoin ตอนนี้ยังทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์ มันถูกสร้างมาเพื่อเป็นเงิน ผมเชื่อว่ามันเป็นได้ แต่ไม่ถึงขนาดเงินดอลลาร์หรือยูโรจะพังทลายแล้วทุกคนใช้ Bitcoin นะครับ แต่มันจะเป็นส่วนหนึ่งของโลกการเงินในอนาคตจริง” ปกรณ์วุฒิ กล่าว
เห็นด้วยรัฐบาลเตือน นักลงทุนต้องศึกษาให้ดีและรับความเสี่ยงได้
ปกรณ์วุฒิยอมรับว่าก่อนหน้านี้เรื่องเงินดิจิทัลเป็นที่สนใจในวงจำกัดของบรรดาเกมเมอร์ ผู้ที่ชื่นชอบด้านไอทีและนักลงทุนบางส่วนเท่านั้น แต่ปัจจุบัน เมื่อประเด็นราคาที่พุ่งสูงอย่างบ้าคลั่งหลายเท่าตัวในระยะเวลาอันสั้น ทำให้มีผู้ที่หวังเก็งกำไรเริ่มเข้ามาลงทุนมากขึ้นจนน่าตกใจ
เขาไม่สามารถบอกได้ว่าราคาของ Bitcoin ตอนนี้สูงหรือต่ำกว่าที่ควรจะเป็น แต่สิ่งที่เห็นด้วยชัดเจนคือ การเตือนของภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ระมัดระวังในการลงทุน นักลงทุนต้องรับความเสี่ยงทั้งหมดเองเพราะปัจจุบันเงินดิจิทัลยังไม่มีกฎหมายรองรับ และทุกวันนี้ก็ยังอยู่ในภาวะของการเก็งกำไรและความผันผวนที่ยากเกินจะคาดเดา
จุดยืนสำคัญของ Bitcoin Center ไม่ใช่การป้อนข้อมูลเพื่อการเก็งกำไรให้กับคนโลภ หากแต่ต้องการให้ความรู้ ทำความเข้าใจกับผู้คนว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไรกันแน่ รายได้สำคัญจะมาจากการจัดอบรมหรือขายบัตรเข้าชมงานสัมมนาเกี่ยวกับเงินดิจิทัล แม้จะไม่ใช่เงินมากมายแต่ก็จำเป็นกับการดำเนินการในฐานะองค์กรเอกชน
เขาเชื่อว่าประเทศไทยจะไม่แบนการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินดิจิทัลเหมือนบางประเทศ หากแต่ขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งธนาคารแห่งประเทศไทยหรือคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ต่างกำลังเร่งศึกษาและวางแนวทางในการควบคุมดูแลในแนวทางที่เหมาะสมที่สุด
หากทางการวางแผนจะบล็อก Bitcoin จริง ปกรณ์วุฒิก็ยังมองว่าเป็นไปได้ยากในทางปฏิบัติ
“ก่อนที่เมืองไทยจะมีธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินดิจิทัล คนที่สนใจเขาก็แลกเปลี่ยนกันที่ต่างประเทศอยู่แล้ว ถ้าในไทยบล็อก เขาก็ยังมีช่องทางอื่น ถ้ามี Bitcoin อยู่แล้วก็สามารถโอนไปไหนก็ได้ เพราะมี Wallet ของตัวเอง ผมยังนึกไม่ออกว่าเราจะไปบล็อกระบบของ Bitcoin ทั้งประเทศได้อย่างไร?”
ประเด็นนี้ยังมีความเห็นที่แตกต่างกันอยู่มาก ไม่ว่า Bitcoin จะเป็นโฉมหน้าของการปฏิวัติทางการเงิน หรือว่าปรากฏการณ์ใหม่ๆ ที่เกิดชั่วขณะในหน้าประวัติศาสตร์ สิ่งที่ชี้ชัดคือ การเปลี่ยนแปลงจากเทคโนโลยีเกิดขึ้นรวดเร็วและเปลี่ยนทัศนคติ พฤติกรรมของมนุษย์ จากของเล่นเด็กเนิร์ดในโลกออนไลน์ก็กลายเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ร้อนแรงที่สุดในระยะเวลาอันสั้น และตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกต่างก็เห็นพ้องว่าเทคโนโลยี Blockchain นี้มาไกลเกินกว่าที่ใครจะหยุดได้แล้ว
เช่นเดียวกัน ความโลภก็ยังทรงพลังเสมอไม่ว่าจะยุคอะนาล็อกหรือดิจิทัล นักเก็งกำไรจะไม่มีวันสูญพันธ์ุ สติและความรู้ที่เพียงพอคือสิ่งที่ทำให้นักลงทุนที่ฉลาดแตกต่างจากแมงเม่าเสมอ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องได้ที่
