พอรู้ว่าพี่เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์ จะมีคอนเสิร์ต ‘Singing Bird Concert’ ครั้งที่ 1 ตอน ‘เพลงตามคำขอ’ ในวันที่ 2-4 สิงหาคมนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่พี่เบิร์ดจะร้องเพลงที่แฟนเพลงอยากให้ร้องทั้งหมด ผมเลยทำการบ้านเขียนรายชื่อเพลงทั้งหมดที่ผมอยากฟังพี่เบิร์ดร้อง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นเพลงที่ผมไม่ค่อยได้ฟังพี่เบิร์ดร้องในคอนเสิร์ตไหนๆ เช่น ไม่อาจหยั่งรู้ เงาที่หายไป อย่าหลบตากัน เสียงกระซิบ ความรักในอากาศ ฯลฯ เต็มแผ่นกระดาษ A4 ไปให้พี่เบิร์ดด้วย
ผมถือกระดาษแผ่นนั้นในมือ หัวใจผมเต้นแรง นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่จะได้สัมภาษณ์พี่เบิร์ด แต่ก็ยังตื่นเต้นอยู่ ทันทีที่เจอหน้ากัน พี่เบิร์ดพุ่งเข้ามากอดผมก่อน
พี่เบิร์ดอ่านกระดาษแผ่นนั้นโดยยื่นแขนออกไปหาระยะสายตานิดหน่อยตามประสาคนสายตายาว (ไกล) แล้วยิ้ม หลายเพลงเป็นเพลงโปรดของพี่เบิร์ด ซึ่งพี่ยังไม่มีโอกาสได้ร้องเสียที
“พี่ว่าไม่ต้องรอคอนเสิร์ตแล้วล่ะท้อฟฟี่ เดี๋ยวพี่ร้องให้ฟังตรงนี้เลยดีกว่า” พี่เบิร์ดบอก แล้วก็ร้องเพลงที่ผมอยากฟังในกระดาษแผ่นนั้น ไล่ไปทีละเพลง ไม่มีเวที ไม่มีวงดนตรี ไม่มีสปอตไลต์ ไม่มีไฮโดรลิก มีแค่เสียงของพี่เบิร์ดที่สร้างความสุขในทุกย่านเสียงที่ไปถึง
การมีพี่เบิร์ดมาร้องเพลงให้ฟังข้างๆ นี่มันเป็นโมเมนต์ที่ผมจะไม่มีวันลืมเลยล่ะครับ
คอนเสิร์ตอาจจะชื่อ ‘เพลงตามคำขอ’ แต่ถ้าเป็นเรื่องการสร้างความสุข พี่เบิร์ดทำให้ผมเห็นตรงนั้นว่า ไม่ต้องรอให้ใครร้องขอ เราก็ควรเป็นผู้ให้ และให้มากกว่าที่เขาร้องขอ
เมื่อทุกอย่างพร้อม ผมชวนพี่เบิร์ดในฐานะมนุษย์ที่ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของมนุษย์ด้วยกันผ่านบทเพลงมากมายตลอด 30 กว่าปี บวกกับประสบการณ์ชีวิตที่ไม่เหมือนใคร มาคุยว่าพี่เบิร์ดมองเห็น ‘ชีวิต’ ที่อยู่ในบทเพลงเหล่านั้นอย่างไร
Track 1: เหนื่อยไหม (อัลบั้ม ธ ธง ปี 2537)
พอโตขึ้น ผมมาฟังเพลง ‘เหนื่อยไหม’ อีกครั้ง ผมพบว่ามันมีหลายเลเยอร์มาก มันพูดถึงการแอบรักคนที่เขารักคนอื่นก็ได้ หรือจะเป็นเพื่อนห่วงเพื่อนก็ได้ พ่อแม่ห่วงลูกก็ได้ หรือแม้กระทั่งถามตัวเองว่าเหนื่อยไหมก็ได้
อันนี้จริงมากๆ แต่อีกมุมที่พี่เบิร์ดคิดว่าคนอาจคิดไม่ถึงก็ได้ก็ คือคำว่า “เหนื่อยไหมสิ่งที่เธอทำอยู่” มันควรเป็นคำถามที่ลูกถามพ่อแม่มากกว่านะว่าพ่อแม่เหนื่อยไหม…สิ่งที่พ่อแม่ทำอยู่ พ่อแม่เขามองลูกแล้วห่วงอยู่แล้วล่ะว่าลูกเหนื่อยไหม แต่ลูกนี่สิ เราได้ถามพ่อแม่บ้างไหมว่า พ่อเหนื่อยไหมครับ แม่เหนื่อยไหมคะ พ่อแม่จะได้ชื่นใจนะ คำถามของเราแท้ๆ แต่เป็นคำตอบให้พ่อแม่รู้ว่าลูกเป็นห่วง
พี่อยู่เพื่อคำนั้น คำที่บอกว่าเขามีความสุขจากพี่ อยู่เพื่อคำนี้ทั้งในเมื่อวาน วันนี้ และวันพรุ่งนี้
ผมทราบมาจากพี่ดี้-นิติพงษ์ ห่อนาค ซึ่งแต่งเพลง ‘เหนื่อยไหม’ ว่า เพลงนี้แต่งขึ้นเพราะพี่ดี้เห็นพี่เบิร์ดทำงานหนักมากเลยอยากถามพี่เบิร์ดว่า “เหนื่อยไหมสิ่งที่เธอทำอยู่” แล้วพี่เบิร์ดล่ะครับ เหนื่อยไหม…สิ่งที่เธอทำอยู่
ดี้นี่มันปากหวานนะ เวลาดี้พูดกับพี่ไม่เห็นเคยพูดแบบนี้เลย (หัวเราะ) พี่ยังจำได้เลยนะครับว่าบนเวทีคอนเสิร์ตเกาเหลาธงไชยที่ดี้มาเป็นแขกรับเชิญ ดี้ได้เคยแปลงเพลงให้พี่ว่า “แม้เป็นเบิร์ดได้ดั่งใจจินตนา เบิร์ดคงเริงร่าลอยลม” ดี้เคยถามพี่เหมือนกันว่า พี่ไปตายอดตายอยากอยากร้องเพลงขนาดนี้มาจากไหนกัน
ใครถามพี่เบิร์ดว่าเหนื่อยไหมนี่พี่เบิร์ดต้องหยุดเลยนะ ตอบไม่ถูก เพราะว่าพี่เบิร์ดไม่มีครอบครัว ไม่มีใคร มีแต่พี่น้อยคนเดียว เราสองคนไม่เคยถามกันเลยว่าเหนื่อยไหม เพราะเรามันควายระยองกันทั้งคู่ เราสนุก เรามีความสุข เราถึก
พี่เบิร์ดไม่เคยถามตัวเองเลยว่า “เหนื่อยไหม” มีแต่ถามตัวเองว่า “พอไหม” เราทำแบบนี้มากพอที่จะทำให้คนดูมีความสุขไหม ถ้าเขามีความสุขจากสิ่งที่เราทำ แค่นั้นจบแล้ว พี่อยู่เพื่อคำนั้น คำที่บอกว่าเขามีความสุขจากพี่ อยู่เพื่อคำนี้ทั้งในเมื่อวาน วันนี้ และวันพรุ่งนี้
บางทีพี่ก็สงสัยนะว่าพี่ทำเพื่ออะไร เพราะคนที่พี่รักตอนนี้ก็ขึ้นสวรรค์กันไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรต้องห่วง ไม่ต้องพิสูจน์ตัวเองอะไรกันแล้วด้วยซ้ำ ที่จริงจะเลิกก็ได้แล้ว แต่ก็ไม่เคยคิดจะเลิก มีแต่คิดว่า เป้าหมายชีวิตของเราต่อจากนี้เป็นต้นไปคือการทำให้คนมีความสุข จะเป็นวันเวลาแห่งการให้โดยตรง
Track 2: ผิดตรงไหน (อัลบั้ม ตู้เพลงสามัญประจำบ้าน ปี 2542)
เป็นคนดีแล้วมันไม่มีใคร นี่มันเจ็บนะครับพี่เบิร์ด ทำดีกับเขาทุกอย่างแต่เขาก็ไม่รักเรา
ช่างเค้าเลยท้อฟ! ใครไม่เห็นคุณค่าของเราก็ไม่เป็นไร เราต้องเห็นคุณค่าของตัวเองก่อน ที่สำคัญคือ ทุกเรื่องในชีวิตเลยนะ เราต้องไม่โกหกตัวเราเอง พ่อแม่เราสอนเรามาว่าอย่าโกหก โกหกมันเป็นสิ่งไม่ดี ยิ่งโกหกตัวเองยิ่งไม่ดีเข้าไปใหญ่ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อเราทำดีแล้ว โดยที่เราต้องไม่โกหกตัวเองด้วยนะว่าเราทำดีและคิดดีมาตลอด แล้วสุดท้ายเราไม่ใช่คนที่เขาเลือกก็ไม่เป็นไร ถ้าเราทำดีที่สุดแล้วนะ สบายใจได้เลย เลิกเลย จบเลย และไม่ต้องกลัวด้วยเพราะเราไม่ได้ทำอะไรเลวใส่เขานี่นา แต่ถ้าคิดว่าเราน่าจะทำดีได้มากกว่านี้ ทำต่อไป
เราเป็นคนดีแต่เขาไม่รักเราก็ยังดีกว่าเราเป็นคนเลวแล้วเขาก็ไม่รักเราอีก เพราะอย่างน้อยที่สุด ความดีก็ยังอยู่ในตัวเรา ความรักก็ยังอยู่ในตัวเรา การเป็นคนดีมันมีค่า ทำดีไปเถอะ อย่าลังเลที่จะเป็นคนดี พี่เบิร์ดว่าอย่างน้อยเราก็รู้ว่าเราเป็นคนดี เป็นคนดีแล้วมันไม่มีใครมันไม่จริงหรอก เรายังมีตัวเองให้ต้องรักอยู่ เขาไม่รักก็ยังมีคนอื่นที่รักเราอีก ไม่ใช่ว่าคนนี้ไม่รักเราแล้วจบเห่กันแล้วชีวิตนี้ จำคำพี่ไว้นะ ถ้าเป็นคนดีแล้วมันไม่มีใคร ก็ช่างแม่-! (หัวเราะ)
Track 3: เหมือนเป็นคนอื่น (อัลบั้ม สบาย สบาย ปี 2530)
ถ้าเราอยู่ในสถานการณ์ที่คนที่เรารักทำกับเราเหมือนเป็นอากาศธาตุ ไม่เคยสนใจเราเหมือนอย่างเพลง ‘เหมือนเป็นคนอื่น’ พี่เบิร์ดว่าเราควรทำอย่างไรดีครับ
ให้คิดแบบนี้ว่าเรายังมีคนข้างหลัง พ่อแม่ที่เรารัก เพื่อน พี่น้องที่รักเรา ที่เห็นคุณค่าในตัวเรา และคนที่สำคัญที่สุดก็คือคนในกระจก ดูแลคนในกระจกมันด้วย แต่ละวันนี่สายตาเรามองคนอื่นตลอดเวลา แต่ไม่เคยมองเห็นตัวเองเลย เพราะฉะนั้น กลับมาดูแลคนในกระจกด้วย และก็เพิ่มหุ้น เพิ่มคุณค่าให้หุ้นในตัวเราขึ้น อย่างน้อยที่สุดเราต้องแข็งแรงให้ได้ด้วยตัวเองก่อน ถ้าเราไม่รักตัวเอง ใครมองมาก็จะเห็นแต่คนง่อยๆ
มันทำให้พี่นึกถึงเพลง ก็เลิกกันแล้ว (อัลบั้ม ธงไชย เซอร์วิส ปี 2540) ที่บอกว่า “คนที่แพ้ก็ต้องดูแลตัวเอง” เอาจริงๆ ไม่ต้องเป็นคนแพ้เราก็ต้องดูแลตัวเองให้ได้ ชนะก็ต้องดูแลตัวเองให้ได้เหมือนกัน ถ้าดูแลตัวเองได้ก็ไม่มีคำว่า ‘แพ้’
Track 4: ก้อนหินกับนาฬิกา (อัลบั้ม ธงไชย เซอร์วิส พิเศษ ปี 2541)
เพลง ‘ก้อนหินกับนาฬิกา’ พูดถึงคนที่แม้จะทำให้เราเจ็บบ้าง แต่เราก็อดทนที่จะอยู่กับเขา ต่อให้เหนื่อยนักก็ยังรัก ท้อก็ยังรัก คนแบบไหนกันที่ควรค่าแก่การอดทนของเรา คนแบบไหนที่เราควรแคร์
คนที่เขารักเรา ไม่ใช่คนที่เรารักเขานะ คนที่เขารักเรานี่เราแทบไม่ต้องพูด ไม่ต้องคิด เขาก็รักเรา มีแต่จะแคร์เรา สำหรับพี่ ความแคร์หรือความห่วงใยกันนี่มันยิ่งใหญ่กว่าความรักอีกนะ เราควรแคร์คนที่รักเราให้มากกว่าคนที่เรารักเขา เห็นคุณค่าของเขาให้มาก เพราะอย่าลืมนะว่าไม่ใช่ทุกคนบนโลกที่จะเห็นคุณค่าของเรา แต่คนที่เขารักเราเขาเห็นสิ่งนี้ในตัวเรา นั่นแหละคือคนที่เราต้องแคร์ แม้บางครั้งเขาอาจจะทำสิ่งที่ไม่ถูกใจเราบ้าง แต่อย่าลืมว่าเขารักเรา
เพลงนี้เหมือนกัน เวลาฟัง นอกจากฟังในมุมของคนที่เอาแต่ให้คนอื่นแล้ว ลองคิดในมุมกลับว่าถ้ามีคนทำแบบนี้กับเรา คนที่แคร์เราจังเลย แต่เราไม่ค่อยเห็นคุณค่าของเขา เขาจะรู้สึกอย่างไร และที่เขาบอกว่าเขายังทนได้ ไม่ได้แปลว่าเขาจะทนเราได้ตลอดไป เพราะฉะนั้น ลองกลับไปดูว่าเราได้ทำอะไรเพื่อคนที่เขาแคร์ให้สมกับที่เขาเห็นคุณค่าเราบ้างไหม
เราจะมีวิธียอมรับข้อเสียของอีกคนให้เหมือนที่เรายอมรับข้อดีของเขาได้อย่างไรบ้าง
พี่คิดว่ามันต้องเริ่มจากการให้เขาให้มากก่อน รักเขาก็ให้เขา อย่างพี่เบิร์ดกับพี่น้อย พี่เบิร์ดรักพี่น้อยมาก ปกติแล้วพี่น้อยจะนอนหลังพี่เบิร์ด แต่เชื่อไหมครับว่าก่อนที่พี่เบิร์ดจะหลับนี่พี่เบิร์ดเช็ดห้องน้ำหมดเลยนะ เพราะพี่เบิร์ดกลัวว่าพี่เบิร์ดหลับไปแล้วพี่น้อยเดินมาแล้วจะลื่น ทำมานี่ไม่ต้องให้ใครบอก ต่อให้ไปเล่นคอนเสิร์ต ถ่ายละคร ไปที่ไหนก็ตาม ดูก่อนเลยว่าไม่ลื่นแล้วถึงจะนอนได้ เพราะเรารักและห่วงเขา เรากลัวเขาเป็นอันตราย
พอเรารักใครมากๆ เราจะเห็นข้อเสียของเขาเป็นเรื่องเล็กไปเลย เพราะเรารู้ว่าเขารักเรา เขาปรารถนาดีกับเรา ถ้าจะมีข้อเสียบ้างก็ให้รู้ว่าข้อดีของเขาใหญ่จังเลย
พี่เบิร์ดกับพี่น้อยใช้ชีวิตเป็นทีมเดียวกันมาตลอดกว่า 30 ปี มีทะเลาะกันบ้างไหมครับ
ไม่มีครับ ไม่มีเลย เพราะว่าคุยกันมากกว่า แล้วก็ยิ้มให้กัน เพราะว่ามันมีแต่เรื่องตลกครับ ยิ่งโกรธกันยิ่งตลกนะคนเรา พี่คิดว่าจะเป็นพ่อแม่ เพื่อน พี่น้อง คนรัก เพื่อนร่วมงาน ฯลฯ เราต้องใช้การเปิดใจคุยกันให้มาก ฟังให้มากว่าเขาคิดอะไร แล้วหาให้เจอว่าต้นตอจริงๆ ที่เขารู้สึกแบบนั้นมันคืออะไร เขาไม่สบายใจแบบนี้เพราะรักเราใช่ไหม อ๋อ เพราะเขารักเรา เขาห่วงเรา เขาไม่อยากให้เราเป็นคนที่ไม่น่ารัก เขาหวังดีกับเรา เพราะฉะนั้น เราไม่ควรไปโกรธเขา
Track 5: เธอผู้ไม่แพ้ (อัลบั้ม ธ ธง ปี 2537)
พี่เบิร์ดเป็นคนที่มีพลังบวกแบบนี้ มีบ้างไหมครับที่รู้สึกว่าตัวเองแพ้
มันก็มีนะครับโดยเฉพาะการสูญเสีย การจับต้องไม่ได้แล้วของคนที่เรารักมากๆ อย่างพ่อแม่ การสูญเสียท่านไปโดยเราถามไม่ได้ว่าทำไม ไม่มีใครตอบเราได้ ความสูญเสียมันเหมือนฟองน้ำที่มันยุ่ยจนกระทั่งมันบีบจนไม่มีน้ำออกมา วันที่เสียคุณแม่ไปนี่เป็นวันที่พี่เบิร์ดง่อยมากๆ พี่เบิร์ดรู้สึกสูญเสียทุกอย่างไปจริงๆ แต่นอกจากเพลง เธอผู้ไม่แพ้ ที่เป็นกำลังใจให้พี่แล้ว มันมีเหตุการณ์ที่ทำให้กลับคืนมาได้อีกครั้ง มันคือหนึ่งในเรื่องที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตพี่
พี่เบิร์ดได้มีโอกาสได้ร้องเพลงถวายงานให้ในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้จริงๆ ในหลวงท่านตรัสว่า ถ้าเบิร์ดตื่นเต้นให้หลับตาร้องสิ พอขึ้นไปร้องเพลง เชื่อไหมพี่หูอื้อไปหมดเลย พี่มองไปเห็นเจ้านายทุกพระองค์ทรงประทับอยู่ และมองไปเห็นในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงปรบพระหัตถ์เป็นกำลังใจให้เรา พี่เบิร์ดเอารูปแม่ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อตอนร้องเพลง พี่มีแม่ไปด้วยในวันนั้น ตอนนั้นพี่บอกตัวเอง กับบอกแม่เลยว่า แม่…เบิร์ดจะต้องไม่แพ้ เบิร์ดจะกลับมาคึกให้ได้เหมือนเดิม เบิร์ดต้องเอาไปมอบความสุขให้คนอื่น
Track 6: อยู่เพื่อใคร (อัลบั้ม ส.ค.ส. ปี 2530)
ทราบมาว่าเพลง ‘อยู่เพื่อใคร’ เวอร์ชันแรกที่พี่นิ่ม สีฟ้าแต่งเศร้าเกินไปจนต้องแต่งใหม่ เพราะพูดถึงความตาย พี่เบิร์ดมีคำแนะนำอะไรที่อยากจะมอบให้กับคนที่กำลังเผชิญการสูญเสียไหมครับ
ในชีวิตของพี่เบิร์ดจนถึงตอนนี้ พี่เบิร์ดผ่านการสูญเสียมาเยอะมาก มันเลยทำให้เราคิดว่า เราต้องดูแลหัวใจคนรอบตัวให้ดีๆ เพราะไม่รู้เลยว่าวันหนึ่งเขาจะหายไปจากเรา หรือเราจะหายไปจากเขาตอนไหน ทุกคนต้องเผชิญการสูญเสียอยู่แล้ว ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าวันหนึ่งต้องเจอ เราทำดีต่อกันตั้งแต่วันที่เรายังไม่สูญเสียกันและกันดีกว่าไหม มันจะทำให้วันที่เราต้องจากกันไปจริงๆ นั้นความเจ็บจะทุเลาลงไปเยอะ มาตอนนี้พี่เบิร์ดรู้แล้วว่าแม่สบายแล้ว ป๋าสบายแล้ว พี่เต๋อสบายแล้ว เพราะว่าสิ่งที่เราทำมาตลอดเรามั่นใจว่าเราทำดี
Track 7: เสียงกระซิบ (อัลบั้ม ส.ค.ส. ปี 2531)
ผมกลับมาฟังเพลง ‘เสียงกระซิบ’ อีกทีในวัยสามสิบกว่าแล้วค้นพบสิ่งที่ผมไม่เคยคิดมาก่อน ผมพบว่า เนื้อเพลงมันอีโรติกมากนะครับ “ฝังรอยอุ่นไอให้เราจดจำ แสนจะชุ่มฉ่ำ เอ่ยแต่คำที่จริงใจ” หรือ “ลมหายใจอุ่นๆ ไอละมุนจากเธอ ใจฉันคงละเมอไปแสนไกล” นั่นทำให้ผมคิดว่า เสียงกระซิบ ไม่ใช่เสียงกระซิบปกติแน่ๆ
(หัวเราะ) เข้าใจถูกแล้ว เพราะมันเป็นเพลงอีโรติก เมื่อก่อนพี่ก็ไม่เคยคิดนะ แต่พอมาซ้อม Singing Bird แล้วพี่ร้องไปก็ขนลุกไปหมดเลย ชุ่มฉ่ำนี่มันอะไรล่ะ หรือ “ซบลงตรงไหล่แอบอุ่นไอของกายกัน ลมหายใจอุ่นๆ ไอละมุนจากเธอ…” นี่มันแปลว่าต้องใกล้กันมากๆ ขนาดสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกคนเลยนะ โอ๊ย! เสียว! แต่เมื่อก่อนตอนร้องเพลงนี้ไม่เคยคิดแบบนี้เลย แต่เชื่อไหมว่าคนแต่งมันต้องคิด! ใครแต่งนะ อ๋อ…ดี้นี่เอง! ดี้มันเป็นคนทะลึ่ง! (หัวเราะ)
พี่คิดว่านี่เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเพลง เหมือนที่เราคุยกันตั้งแต่ต้นว่า พอประสบการณ์เปลี่ยนไป หรือเราลองฟังเพลงในมุมอื่น เราก็จะได้รับเรื่องราวชีวิตในมุมที่เปลี่ยนไป ดูสิ เพลงเสียงกระซิบกลายเป็นเพลงเสียงกระเส่า (หัวเราะ)
Track 8: หยดน้ำ (อัลบั้ม ธงไชย วิลเลจ ปี 2549)
เพลง ‘หยดน้ำ’ พูดถึงการพัฒนาความสัมพันธ์แบบค่อยเป็นค่อยไป แต่คนยุคใหม่เวลาคบกันเราต้องการความชัดเจน รวดเร็ว คบก็คบเร็ว เจ็บเร็วก็หายเร็ว ไม่ใช่ก็จะได้ไปต่อ ไม่เสียเวลากันและกันมาก วิธีคิดแบบค่อยเป็นค่อยไปแบบนี้มันยังใช้ได้อยู่ไหมครับ
ความชัดเจน รวดเร็ว นี่มันก็ดีอย่างหนึ่งนะ ไม่ต้องเสียเวลา เจ็บก็ไม่นาน แต่เราอยู่ตรงกลางหน่อยดีไหม ใช้เวลาดูกันหน่อย คนเรามันไม่ใช่จะแสดงให้เราเห็นได้หมดในช่วงเวลาสั้นๆ อย่าเพิ่งมามีสติเมื่อเราสูญเสียไปแล้ว จะคบใคร ถอยออกมาก้าวหนึ่งก่อน ไม่ต้องถอยเยอะ ไม่ต้องเอิงเอยเหมือนเพลง หยดน้ำ ก็ได้ แต่ก็ไม่ต้องถึงขนาดพูดกันไม่กี่คำก็ตกลงแล้ว มันสนุกจะตายที่เราจะค่อยๆ ได้เรียนรู้ว่าเขาเป็นคนแบบไหน แต่ละวันมันคือการรู้จักกันมากขึ้น ทำไมต้องรีบไปเอากัน ไม่จำเป็นหรอก พี่เบิร์ดยอมเสียเวลาดีกว่าเสียใจ ให้เสียเวลาคบกันจนแน่ใจก่อน ถ้าเราใช้เวลาจนมั่นใจมากพอเราจะไม่เสียใจ มันดีกว่าต้องเลิกกันบ่อยๆ เพราะเราไม่รู้จักเขามากพอ และเราก็ต้องมาเสียใจ
การที่คนคนหนึ่งเดินเข้ามาในชีวิตเรา เขานำพาเรื่องราวมากมายเข้ามาให้เราศึกษานะครับ เหมือนหนังสือที่เราค่อยๆ อ่านทีละหน้าแล้วเราจะเจออะไรเยอะแยะ แต่ถ้าเผื่อว่าเราได้ศึกษาเขาแล้วมันไม่ถูกกับเราก็ไม่เป็นไร มันยังมีหนังสืออีกหลายเล่มในห้องสมุดให้เราได้ศึกษา เช่นเดียวกัน เราต้องทำตัวให้เป็นหนังสือเล่มที่น่าอ่านด้วย ไม่ใช่ใครมาเปิดอ่านแล้วรู้สึกว่าเล่มนี้ไม่เห็นมีอะไรเลย เราควรใช้ชีวิตของเราให้เหมือนเราค่อยๆ เขียนหนังสือดีๆ ขึ้นมาเล่มหนึ่งที่คนจะอยากอ่านไม่รู้จบ
Bonus Track:
ถ้าให้เลือกเพลงสามเพลงที่เป็นคัมภีร์ชีวิตที่สะท้อนวิธีคิดแบบธงไชย แมคอินไตย์เอาไว้ให้คนศึกษา พี่เบิร์ดจะเลือกเพลงอะไรบ้างครับ
เพลงแรกน่าจะเป็นเพลง สบาย สบาย (อัลบั้ม สบาย สบาย ปี 2530) ครับ เพราะว่ามันแปลได้หลายแบบ ไม่คิดมาก รับมือได้ทุกสถานการณ์ ในขณะเดียวกันมันแฝงไปด้วยวิธีคิดที่เป็นบวก ทุกอย่างสามารถเป็นเรื่องบวกได้หมด ถูกใจก็คบกันไป แต่ถ้าเธอจะไม่รักฉันก็ไม่เป็นไร ก็ยังสบายๆ ใช้ชีวิตอยู่ต่อได้ มันคือเพลงของคนที่เข้าใจชีวิตมากๆ
เพลงที่สองคือ ด้วยรักและผูกพัน (อัลบั้ม หาดทราย สายลม สองเรา ปี 2529) มันคือความห่วงใยให้กัน ถ้าลองไปฟังดูจะเห็นว่าจริงๆ แล้วเพลงนี้ไม่ได้พูดถึงการจากลาเลยนะ แต่พูดถึงการเตรียมพร้อมก่อนจะถึงวันลาด้วยซ้ำ เพราะมันขึ้นต้นว่า “หากเราต้องจากกัน จะเป็นด้วยเหตุใด…” คือมันยังไม่เกิดนะ ซึ่งเหมือนอย่างที่เราคุยกันว่า เราควรแคร์กันตั้งแต่วันที่เรายังไม่จากกันด้วยซ้ำ ถ้าเราคิดดี พูดดี ทำดี จากกันเมื่อไรก็คิดถึงกันเมื่อนั้น “จะไปในทันใด จะไปยืนเคียงข้างเธอ…” มันอบอุ่นมากเลย
เพลงสุดท้ายคือ เล่าสู่กันฟัง (อัลบั้ม ธงไชย สไมล์ คลับ ปี 2544) ความแคร์มันยิ่งกว่าความรักอีกนะ มันเลยทำให้ฝนที่ตกทางโน้นหนาวถึงคนทางนี้ได้ พี่เบิร์ดคิดว่าการเล่าสู่กันฟังนี่มันสำคัญมาก ไม่ใช่แค่เป็นการบอกว่าเธอมีอะไรเธอนึกถึงฉันนะ ฉันแคร์เธอ แต่เวลาที่มีคนมาเล่าชีวิตหรือเรื่องราวต่างๆ ที่เขาได้เจอมาให้เราฟัง มันเป็นการบอกว่าเขาคิดถึงเรา เขาใส่ใจเรา เขาเห็นว่าเรามีความหมายกับเขา มันเป็นความรู้สึกห่วงใยที่ได้ทั้งคนฟังและคนเล่า ที่สำคัญคือ ทุกเรื่องจะดีขึ้นถ้าเรารู้จักสื่อสารกัน บอกความรู้สึกให้กันรู้ คิดอะไรก็เล่าสู่กันฟัง
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์