สำหรับคนที่ดนตรีแจ๊สเป็นเหมือนโลกที่อยู่อีกฟากฝั่ง และแทบไม่รู้จักชื่อของ บิลลี่ ฮอลิเดย์ มาก่อน กระทั่งได้ชมภาพยนตร์สารคดี Billie บิลลี่ ฮอลิเดย์ แจ๊ส เปลี่ยนโลก ซึ่งเป็นเหมือนใบเบิกทางที่พาเราไปทำความรู้จักกับศิลปินผู้ถูกยกย่องให้เป็นราชินีเพลงแจ๊สผู้โด่งดังในยุค 30-50 ย้อนกลับไปตั้งแต่วัยเด็กจนถึงช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต
ตลอดระยะเวลา 1 ชั่วโมง เราได้สำรวจชีวิตของบิลลี่ผ่านเทปบันทึกเสียงของ ลินดา ลิปแน็ก คีล นักข่าวหญิงที่ออกเดินทางสัมภาษณ์คนใกล้ชิดของบิลลี่มาเป็นเวลาถึง 8 ปีเพื่อเขียนชีวประวัติในบั้นปลายชีวิตของบิลลี่ หลังจากที่เธอได้เสียชีวิตลงในปี 1959
แต่ในท้ายที่สุดลินดาก็ไม่สามารถเขียนหนังสือชีวประวัติของบิลลี่ออกมาจนเสร็จ อีกทั้งเทปที่บันทึกบทสัมภาษณ์ของลินดาที่มีความยาวกว่า 200 ชั่วโมงก็ไม่เคยมีใครได้ฟังมันอีก จนกระทั่งผู้กำกับ เจมส์ เออร์สกิน ได้นำเทปม้วนนี้มาปัดฝุ่นใหม่ พร้อมปรับแต่งภาพถ่ายและวิดีโอที่เคยถูกบันทึกไว้ให้กลายมาเป็นภาพสี เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวของราชินีเพลงแจ๊สคนนี้อีกครั้ง
ความรู้สึกแรกหลังจากที่ได้ชมสารคดีเรื่องนี้จนจบ โดยส่วนตัวคิดว่า Billie บิลลี่ ฮอลิเดย์ แจ๊ส เปลี่ยนโลก ค่อนข้างจะเป็นสารคดีที่ดูยากอยู่พอสมควร ด้วยรูปแบบการเล่าเรื่องที่ใช้เทปสัมภาษณ์ของลินดาและคนใกล้ชิดของบิลลี่มาร้อยเรียงเป็นเรื่องราว และฉายภาพการแสดงของบิลลี่ไปพร้อมกัน
แม้ว่าการเล่าเรื่องในลักษณะนี้จะมีความน่าสนใจและชวนติดตาม แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เราต้องมีสมาธิกับเนื้อเรื่องอย่างมาก เพราะตัวสารคดีค่อนข้างจะมีการเล่าเรื่องที่รวดเร็ว และต้องอาศัยการจดจำเพื่อเก็บรายละเอียดต่างๆ ระหว่างทางพอสมควร
ดังนั้นเราคิดว่าสำหรับใครที่ไม่เคยรู้จักบิลลี่มาก่อน การทำการบ้านเกี่ยวกับตัวเธอไว้บ้างก่อนไปชมสารคดีเรื่องนี้น่าจะช่วยให้เข้าใจเรื่องราวต่างๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้น
โดยถ้าตัดเรื่องความดูยากออกไป Billie บิลลี่ ฮอลิเดย์ แจ๊ส เปลี่ยนโลก ก็ยังคงเป็นสารคดีที่ไม่ควรพลาดในฐานะเครื่องมือศึกษาทุกแง่มุมชีวิตของมนุษย์คนหนึ่ง รวมทั้งความพิเศษที่เราสัมผัสได้จากการเล่าเรื่องผ่านเทปสัมภาษณ์ของลินดาและคนใกล้ชิดของบิลลี่ที่ทำให้เราตั้งคำถามว่า ‘ใครกันแน่ที่พูดความจริง’
เพราะบุคคลใกล้ชิดของบิลลี่ที่ลินดาเดินทางไปสัมภาษณ์เพื่อเขียนหนังสือต่างมีมุมมองและความคิดที่มีต่อบิลลี่ที่ ‘เหมือน’ และ ‘แตกต่าง’ กันไป
ทั้งเพื่อนของบิลลี่ที่เคยอาศัยอยู่ร่วมกันในสมัยที่เธอยังไม่โด่งดัง, จอห์น แฮมมอนด์ โปรดิวเซอร์ที่มองเห็นความสามารถของบิลลี่และชักชวนเธอมาร่วมงานด้วย, เลสเตอร์ ยัง นักเล่นเทเนอร์แซกโซโฟนผู้เป็นนักดนตรีคู่ใจของเธอ ไปจนถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นคนจับกุมเธอเข้าคุกจากคดียาเสพติด
นั่นจึงทำให้สารคดีเรื่องนี้ไม่ได้เป็นสารคดีชีวประวัติที่บอกเล่าเส้นทางสู่ความสำเร็จของบิลลี่เพียงอย่างเดียว แต่มันยังพาเราไปสำรวจชีวิตอันโลดโผนและแสนเจ็บปวดของราชินีเพลงแจ๊สคนนี้ไปพร้อมกัน
โดยเฉพาะการถูกกดขี่ท่ามกลางแสงสปอตไลต์ ที่แม้ว่าบิลลี่จะเป็นศิลปินแจ๊สผู้มีความสามารถมากขนาดไหน แต่เธอก็ยังคงต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากและถูกเหยียดหยามจากสังคมตลอดเวลา เพียงเพราะเธอเป็น ‘ผู้หญิงผิวดำ’
นำไปสู่การยืนหยัดเพื่อต่อต้านการถูกกดขี่ของคนผิวดำผ่านบทเพลง Strange Fruit (1939) บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงจากเหตุการณ์รุมประชาทัณฑ์และฆ่าแขวนคอของ โทมัส ชิปป์ และอับราม สมิธ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 1930 ที่รัฐอินดีแอนา จากการเป็นผู้ต้องหาในคดีปล้น ฆาตกรรม และฆ่าข่มขืนสองสามีภรรยาผิวขาว
ซึ่งบทเพลง Strange Fruit ได้สร้างชื่อเสียงให้กับบิลลี่ในฐานะศิลปินผู้ออกมายืนหยัดเพื่อเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมให้กับคนผิวสี และในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เธอตกเป็นเป้าสายตาของรัฐที่ไม่ยินดีกับการกระทำของเธอเท่าไรนัก
Billie บิลลี่ ฮอลิเดย์ แจ๊ส เปลี่ยนโลก จึงถือเป็นภาพยนตร์สารคดี ‘อีกหนึ่งเรื่อง’ ที่ฉายภาพให้เราเห็นถึงยุคสมัยแห่งความไม่เท่าเทียมที่คนผิวสีต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือเป็นดาวเด่นในวงการอย่างบิลลี่ก็ตาม
สามารถรับชมตัวอย่างภาพยนตร์ Billie บิลลี่ ฮอลิเดย์ แจ๊ส เปลี่ยนโลก ได้ผ่านทาง https://www.youtube.com/watch?v=HKQecgID09I
ภาพประกอบ: http://sahamongkolfilm.com/
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์