×
SCB Omnibus Fund 2024

เทคฯ ยักษ์ใหญ่ไม่ว่าจะเป็น Microsoft, Apple, Amazon, Alphabet และ Tesla ต่างเติบโตไม่หยุด แต่โตไวขนาดนี้จะเป็น ‘ฟองสบู่’ หรือไม่?

10.11.2021
  • LOADING...
บริษัทเทคโนโลยี

บริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ของโลกเติบโตขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด บริษัท Microsoft มีมูลค่าบริษัทแซง Apple ทำให้ Microsoft เป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก แต่ทั้ง 2 บริษัทก็มีมูลค่าใกล้เคียงกัน โดยมีมูลค่าประมาณ 2.5 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 82 ล้านล้านบาทกันทั้งคู่

 

นอกจากนั้น บริษัท Alphabet หรือที่รู้จักกันในชื่อ Google มีมูลค่าถึงเกือบ 2 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 66 ล้านล้านบาท และบริษัท Amazon มีมูลค่า 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 56 ล้านล้านบาท และบริษัทที่เติบโตแรงตามมาติดๆ เลยคือ บริษัท Tesla ยักษ์ใหญ่ด้านรถยนต์ไฟฟ้าของ อีลอน มัสก์ เพิ่งมีมูลค่ามากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ และยังไม่หยุดโต พุ่งขึ้นไปอีกเป็นประมาณ 1.25 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 41 ล้านล้านบาท

 

บริษัทเทคฯ ทั้ง 5 แห่งที่ยกมานี้ มีมูลค่ารวมกันเกือบ 10 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 330 ล้านล้านบาท ซึ่งคือเกือบ 1 ใน 4 ของมูลค่าตลาดรวมทั้งหมดของ S&P 500 ที่มีมูลค่า 41.8 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 1.3 พันล้านล้านบาท ซึ่งอาจมีบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ถึง 6 แห่งที่มีมูลค่าอย่างน้อย 1 ล้านล้านดอลลาร์ ถ้าบริษัท Meta ที่จากเดิมชื่อ Facebook มีมูลค่าบริษัทดีดขึ้นมาอีกนิดหน่อย จากตอนนี้ที่มีมูลค่าตลาดประมาณ 9.3 แสนล้านดอลลาร์

 

แต่ด้วยความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องในด้านเทคโนโลยี จึงเป็นไปได้ที่บริษัททั้ง 6 แห่งเหล่านี้จะมีมูลค่าอย่างน้อย 2 ล้านล้านดอลลาร์ในอีกไม่ช้า หลังจากที่ Microsoft และ Apple กำลังจะทะยานไปสู่ 3 ล้านล้านดอลลาร์ นอกจากนั้น บริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ อย่างบริษัทด้านชิป Nvidia และบริษัท Tencent ของจีน ก็กำลังมุ่งหน้าขยับเข้าใกล้มูลค่าตลาดหลักล้านล้านดอลลาร์เช่นกัน

 

เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อที่บริษัทเทคฯ ต่างๆ เหล่านี้จะมีมูลค่าตลาดกันมากขนาดนี้ เป็นผลมาจากการเติบโตที่แข็งแกร่งของรายได้ ทำให้ Market Cap เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

ทั้งนี้ ความกระหายของนักลงทุนต่างๆ ที่กรูกันเข้ามาลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีมูลค่าล้านล้านดอลลาร์เหล่านี้ ทำให้นักวิเคราะห์ตลาดบางคนถึงกับต้องออกมาเตือน และย้ำความทรงจำถึงเหตุการณ์ฟองสบู่แตกในตลาด Nasdaq ในช่วงปี 1990 และต้นปี 2000

 

ไมค์ โอรูค หัวหน้านักยุทธศาสตร์การตลาดของ JonesTrading กล่าวในรายงานเดือนนี้ว่า การที่นักลงทุนกรูกันเข้ามาลงทุนในหุ้น Tesla ชวนให้นึกถึงเหตุการณ์ของบริษัท Cisco ที่เกิดฟองสบู่แตกในปี 2000 หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘วิกฤตฟองสบู่ดอทคอม’ โดยในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2000 หุ้นของ Cisco พุ่งขึ้นถึง 50% ซึ่ง ณ ตอนนั้น นักวิเคราะห์ของ Credit Suisse คาดการณ์ว่า Cisco จะมีมูลค่าหลักหลายล้านล้านดอลลาร์เป็นบริษัทแรกของโลก

 

แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น หุ้น Cisco ไต่ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดเพียงแค่ที่มูลค่า 5.5 แสนล้านดอลลาร์ จากความคลั่งไคล้เทคโนโลยีของนักลงทุนเมื่อ 20 ปีที่แล้ว แต่ในปัจจุบัน Cisco มีมูลค่าประมาณ 2.4 แสนล้านดอลลาร์เท่านั้น ลดลงประมาณ 2 เท่าจากจุดสูงสุด และอีกบริษัทที่เป็นผู้นำเทคโนโลยีในยุค 90 อย่าง Intel ก็เติบโตขึ้นอย่างตะกุกตะกักเช่นกัน และไม่มีบริษัทเทคฯ ไหนเลยในยุค 90 ที่มีมูลค่าใกล้เคียงกับมูลค่าสูงสุดที่นักเคราะห์เคยคาดการณ์เอาไว้

 

เหตุการณ์ของทั้ง Cisco และ Intel เป็นข้อพิสูจน์ว่าการขึ้นเป็นผู้นำตลาดอาจง่ายกว่าการรักษาตำแหน่งผู้นำตลาด และไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่ามูลค่าของ Microsoft, Apple, Amazon, Alphabet และแม้แต่ Tesla จะยังคงอยู่ในอันดับต้นๆ ตลอดไป ซึ่งบริษัทและเทคโนโลยีที่ใหม่กว่าอาจเข้ามาทำให้รายชื่อบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกเปลี่ยนไปอย่างมากในอนาคต

 

นอกจากนั้น นักลงทุนต่างจับตามองอัตราเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด ราคาผู้บริโภค (ราคาสินค้าและบริการ) ในสหรัฐฯ มีการเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากปัญหาด้านซัพพลายเชนและค่าแรงที่สูงขึ้น

 

ราคาผู้บริโภคโดยรวมเพิ่มขึ้น 5.4% จากปีที่แล้วในเดือนกันยายน ซึ่งสูงสุดในรอบเกือบ 30 ปี เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าต่างๆ และราคาน้ำมันเป็นหลัก โดย เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของราคาบริโภคนี้อาจเป็นตัวฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต นอกจากนี้ยังกระทบกับผู้คนที่ใช้เงินแบบเดือนชนเดือนเป็นอย่างมาก

 

และพาวเวลล์ยังกล่าวว่า “เรายอมรับผิดชอบต่อปัญหาเงินเฟ้อในระยะกลาง แต่ระดับเงินเฟ้อที่เรามีในขณะนี้มันไม่สอดคล้องกับเสถียรภาพของราคาเลย”

 

นักลงทุนต่างจับตาและพิจารณาตัวเลข CPI หรือดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index) อย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะพยายามทำความเข้าใจว่าราคาผู้บริโภคที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงก่อนวันหยุดยาวหรือไม่ และยังรวมถึงพยายามวิเคราะห์ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อล่าสุดที่อาจเกี่ยวกับการที่ Fed ลดการอัดฉีด QE หรือการทำ QE Tapering ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นในปี 2022 ที่จะถึงนี้

 

อ้างอิง:

 


ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH

Twitter: twitter.com/standard_wealth

Instagram: instagram.com/thestandardwealth

Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising