ด้วยสภาพตลาดหุ้นที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายที่เพิ่มขึ้นในแต่ละวัน นักลงทุนต่างกำลังมองหาความหวังใหม่ ซึ่งนั่นหมายถึงฤดูประกาศงบที่ใกล้เข้ามา และได้ตั้งเป้าหมายไปยังหุ้นกลุ่มบิ๊กเทคที่มีผลประกอบการดีอยู่เสมอ
หลังจากที่ประกาศลดพนักงานหลายพันตำแหน่งเพื่อลดต้นทุน บรรดาบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ต่างหวังทุ่มทำกำไรแบบเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงที่โรคระบาดส่งผลให้ยอดขายบริการดิจิทัลและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พุ่งสูงขึ้น ความคาดหวังสำหรับนักลงทุนในตอนนี้คือ บิ๊กเทคจะช่วยชดเชยความซบเซาจากอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น ภาคพลังงานและสุขภาพ ที่ยังคงจมอยู่กับรายได้ที่ตกต่ำ
บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในดัชนี S&P 500 ได้แก่ Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon และ NVIDIA คิดเป็นกว่า 1 ใน 4 ของมูลค่าตลาดทั้งหมดของดัชนี นักวิเคราะห์จาก Bloomberg Intelligence คาดการณ์ว่า รายได้ของบริษัทเหล่านี้จะเพิ่มขึ้น 34% โดยเฉลี่ยจากปีก่อนหน้า
ภาพรวมของดัชนี S&P 500 ยังดูไม่แข็งแกร่งเท่าที่ควร ผลกำไรของดัชนีคาดว่าจะทรงตัวโดยประมาณ แต่ดัชนีจะเผชิญกับการปรับตัวลงประมาณ 5% หากบิ๊กเทคทั้ง 5 ไม่สามารถทำผลงานได้ตามที่คาดไว้
Gary Bradshaw ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอของ Hodges Capital Management ระบุว่า ผลประกอบการที่ดีของเหล่าบิ๊กเทคจะเสริมความมั่นใจในหมู่นักลงทุนเป็นวงกว้าง ที่คาดว่าหุ้นเหล่านี้จะทำทุกอย่างเพื่อเป็นผู้นำตลาดไปจนถึงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
ภาวะอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นในเดือนนี้ส่งผลให้ตลาดหุ้นสั่นคลอน โดยอัตราผลตอบแทนของบรรดาพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีแตะระดับสูงสุดในรอบกว่าทศวรรษ รายงานอัตราเงินเฟ้อที่ร้อนแรงเกินคาดทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะยังคงนโยบายที่เข้มงวด และอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง ซึ่งนั่นได้จุดประเด็นให้เกิดความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งจะทวีความรุนแรงจากเหตุการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงทันทีเมื่อเผชิญกับความกังวลดังกล่าว ดัชนี Nasdaq 100 ปรับตัวลงเป็นเวลาสองเดือนติดต่อกัน แต่ดัชนียังคงมีประสิทธิภาพเหนือกว่าตลาดโดยรวมอย่างมาก ขณะที่บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ 5 แห่งที่ถือเป็นส่วนสำคัญต่อดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นแล้ว 13% ในปีนี้
Netflix และ Tesla จะเปิดฉากประกาศรายได้ของหุ้นเทคโนโลยีในวันพุธนี้ (18 ตุลาคม) ขณะที่ Alphabet, Microsoft, Amazon และ Meta จะรายงานในสัปดาห์ถัดไป ส่วน Apple จะประกาศในวันที่ 2 พฤศจิกายน และ NVIDIA ในวันที่ 21 พฤศจิกายน
Mike Bailey ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ FBB Capital Partners เปิดเผยว่า หลังจากผลประกอบการในไตรมาส 2 ที่แข็งแกร่ง ตลาดจำเป็นที่จะต้องเห็นผลประกอบการในไตรมาส 3 ที่ดีขึ้นเช่นกัน เมื่อพิจารณาถึงน้ำหนักของหุ้นบิ๊กเทค นักลงทุนจะสามารถเดิมพันได้เลยว่าหุ้นที่เหลือจะเดินตามผู้นำของตลาด
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยหนึ่งที่สร้างความกังวลให้แก่นักลงทุนคือ แม้ว่ามูลค่าหุ้นในกลุ่มบิ๊กเทคจะยังคงสูงขึ้น แต่ค่า P/E ของบริษัทอย่าง Apple และ Microsoft อยู่ที่ 27 และ 29 เท่า ตามลำดับ สูงกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และสูงกว่าค่า P/E ของดัชนี S&P 500 ซึ่งอยู่ที่ 18 เท่า
ราคาหุ้นที่แพงกดดันให้บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องสร้างผลกำไรที่แข็งแกร่ง ตามที่ Kim Forrest ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Bokeh Capital Partners กล่าวว่า บริษัทบิ๊กเทคจำเป็นที่จะต้องส่งมอบผลประกอบการที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง มิเช่นนั้นจะสูญเสียความมั่นใจจากนักลงทุน หุ้นจำเป็นต้องมีคนซื้อต่อไป ขณะที่การประเมินมูลค่าหุ้นก็จำเป็นที่จะต้องได้รับการพิสูจน์อย่างต่อเนื่อง
อ้างอิง:
