×

เบญจา ก้าวไกล ซักฟอกประยุทธ์ ชี้เอื้อนายทุนจนคนไทยจ่ายค่าไฟแพงกว่าสิงคโปร์

โดย THE STANDARD TEAM
19.02.2021
  • LOADING...
เบญจา ก้าวไกล ซักฟอกประยุทธ์ ชี้เอื้อนายทุนจนคนไทยจ่ายค่าไฟแพงกว่าสิงคโปร์

วานนี้ (18 กุมภาพันธ์) เบญจา แสงจันทร์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ร่วมอภิปรายในญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยเป็นการอภิปราย พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องจากในฐานะที่ดูแลนโยบายด้านพลังงานและรัฐวิสาหกิจ เปิดโอกาสให้เอกชนรายหนึ่งได้ประโยชน์มากมายมหาศาลจากนโยบายพลังงานและสัมปทานจากภาครัฐ ท่ามกลางสภาวะที่ประชาชนทั้งประเทศดำรงชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก สภาพเศรษฐกิจดิ่งเหว ในภาวะเช่นนี้ พล.อ. ประยุทธ์ กลับใช้งบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดไปเอื้อคนรวย แทนที่จะนำมาดูแลคนจน กอบโกยผลประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้อง

 

เบญจากล่าวว่า ไฟฟ้าที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ไม่ได้ผลิตโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตเพียงเจ้าเดียว แต่ซื้อไฟฟ้าจากเอกชนอีกหลายเจ้า โดยที่เราต้องรับซื้อผ่านการให้สัมปทานโรงไฟฟ้า ซึ่งก็ดูเหมือนจะดี จะได้มีไฟฟ้าพอใช้ ไม่มีไฟดับหรือไฟตก แต่การให้สัมปทานโรงไฟฟ้าของ พล.อ. ประยุทธ์ กลับถูกบิดเบือนเพื่อให้เอกชนที่รับสัมปทานได้กำไรมหาศาล สัมปทานที่เอื้อประโยชน์ให้เอกชนมากจนเกินปกติเช่นนี้ทำให้เรามีโรงไฟฟ้ามากจนเกินไป และทำให้เรามีกำลังการผลิตไฟฟ้าล้นเกินไปอย่างมากอีกด้วย

 

เบญจาเผยด้วยว่าปัจจุบันอัตรากำลังไฟฟ้าสำรองของประเทศไทยล้นเกินเป็นอย่างมาก และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลังจากการรัฐประหารเมื่อปี 2557 จนขึ้นมาอยู่ที่เกือบ 60% ในปี 2563 ทั้งที่อัตราที่เหมาะสมควรอยู่ที่ประมาณ 15% เท่านั้น เรื่องนี้ไม่ต้องอ้างว่าเป็นเพราะโควิด-19 เพราะกำลังการผลิตมันล้นเกินมาตั้งแต่ก่อนช่วงโควิด-19 แล้ว ซ้ำร้ายปัญหานี้ก็ยังจะคงอยู่ไปจนถึงปี 2570 ขึ้นไป ที่เป็นเช่นนี้เพราะมีการให้สัมปทานโรงไฟฟ้าใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดูผ่านๆ ก็จะคิดว่าเป็นเพราะแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (PDP) คาดการณ์การใช้ไฟฟ้าผิดพลาดมากเกินไป ไร้ประสิทธิภาพ ล้มเหลว แต่แท้จริงแล้ว PDP ของ พล.อ. ประยุทธ์ เป็นแผนที่มีการปรับบ่อยมาก ปกติ PDP จะใช้แผนละ 5 ปี แต่หลังจากการรัฐประหาร พล.อ. ประยุทธ์ ก็ทำการเปลี่ยนไปแล้ว 3 แผน จนอดคิดไม่ได้ว่าแก้แผนเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนพลังงานหรือไม่ นายทุนอยากได้เพิ่มจึงเติมโรงไฟฟ้าใหม่เข้ามาให้ใช่หรือไม่ สุดท้ายมีกลุ่มทุนไม่กี่กลุ่มได้สร้างอาณาจักร ขยายฐานธุรกิจ โหมสร้างโรงไฟฟ้าใหม่เกินจำเป็น ทำให้เรามีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ล้นเกิน ผลิตไฟมากเกินกว่าที่จำเป็น

 

“ต้นทุนการผลิตไฟที่เกินความจำเป็นแบบนี้ทำให้ประชาชนต้องแบกรับค่าไฟฟ้าที่สูงมากขึ้นทุกปี ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่า พล.อ. ประยุทธ์ แจกสัมปทานโรงไฟฟ้าให้กับเอกชนรายใหญ่หรือโรงไฟฟ้า IPP มากจนเกินไป นานเกินไป และแพงจนเกินไปด้วย ที่บอกว่ามากเกินไปก็ได้พูดไปแล้วว่าเรามีกำลังไฟฟ้าสำรองล้นเกินไปอย่างไรบ้าง ส่วนประเด็นว่านานเกินไป นั่นก็เพราะว่าสัมปทานที่ให้นั้นมันยาวถึง 25 ปี ทั้งๆ ที่ธุรกิจโรงไฟฟ้าพวกนี้สามารถคืนทุนได้ในระยะเวลาเพียงแค่ 7 ปีเท่านั้น” เบญจาระบุ

 

ส่วนประเด็นที่บอกว่าแพงเกินไปนั้น เบญจากล่าวว่าเวลาที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนจะต้องจ่ายเงิน 2 ก้อน ก้อนที่ 1 จ่ายตามจำนวนหน่วยที่ซื้อ หรือค่า EP ซื้อเยอะก็ต้องจ่ายเยอะ ถ้าซื้อน้อยก็จ่ายน้อย แต่ก้อนที่ 2 เรียกชื่ออย่างเป็นทางการว่าค่าความพร้อมจ่าย หรือค่า AP คือรายจ่ายของการไฟฟ้าที่ให้กับเอกชนคู่สัญญาจะคงที่ทุกปีไม่ว่าจะซื้อไฟหรือไม่ซื้อไฟก็ตาม คือซื้อหรือไม่ซื้อก็ต้องจ่าย และสุดท้ายมันก็กลายมาเป็นต้นทุนที่ประชาชนทั้งประเทศต้องมาร่วมกันแบกค่าไฟฟ้าที่สูงจนเกินจริง

 

เบญจาตั้งข้อสังเกตว่าแม้ว่าเราต้องจ่ายเพื่อให้โรงไฟฟ้ามีความพร้อมที่จะจ่ายไฟอยู่ตลอดเวลา และประเทศอื่นๆ ก็ทำกัน แต่สำหรับประเทศไทย ค่า AP ที่จะต้องจ่าย ทางโรงไฟฟ้าเหมือนได้เงินลงทุนคืนทั้งหมดพร้อมผลตอบแทนอีก 20% เพราะได้รวมค่าก่อสร้าง ค่าบำรุงรักษา ค่าดอกเบี้ย แล้วก็บวกกำไรให้ด้วย แถมภาษีก็ไม่ต้องจ่าย เพราะว่าได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นว่าผลประโยชน์เป็นอย่างไร โดยดูได้จากเอกสารสัญญาผลิตไฟฟ้าของบริษัทเอกชนเจ้าหนึ่งที่ทำไว้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยที่ยกขึ้นมาแสดง โดยตามสัญญาได้ระบุไว้ว่านายทุนพลังงานผู้เป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าขนาดกว่า 500 เมกะวัตต์นี้จะได้รับการการันตีค่า AP ต่อปีสูงถึงหลักพันล้านบาท ไม่ว่าโรงไฟฟ้าแห่งนี้จะผลิตไฟฟ้า 1 เมกะวัตต์หรือ 500 เมกะวัตต์ก็ตาม

 

“ท่านประธานคะ อย่างนี้ธุรกิจคนขายไฟรวยฟ้าแลบเลยนะคะ มิน่าล่ะคะ ทำไมนายทุนโรงไฟฟ้าถึงได้รวยอื้อซ่าจนกลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของประเทศนี้ อีกทั้งทุกครั้งที่รัฐบาลอนุมัติให้มีโรงไฟฟ้า นั่นหมายความว่ากำลังตอกเสาเข็มโรงไฟฟ้าขยี้ลงไปบนหัวใจและคราบน้ำตาของพี่น้องประชาชนค่ะ และนี่ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ประเทศไทยของเราห้ามพัฒนาและไม่เดินหน้าไปไหน เพราะไม่สามารถดึงดูดนักลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องใช้กระแสไฟฟ้าจำนวนมากในการผลิตเข้ามาลงทุนในประเทศได้อีกด้วย นอกจากนี้การที่พี่น้องประชาชนต้องแบกรับค่าไฟฟ้าที่สูงมากขนาดนี้ ดิฉันเชื่อเหลือเกินว่า พล.อ. ประยุทธ์ ไม่ทราบ ถึงจะทราบท่านก็ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน เพราะทุกวันนี้ท่านอาศัยบ้านหลวงอยู่มาเกือบตลอดชีวิต ค่าน้ำค่าไฟก็มีสวัสดิการดีๆ จากภาษีประชาชนควักกระเป๋าจ่ายให้ท่านอยู่แล้ว” เบญจากล่าว

 

เบญจากล่าวต่อไปว่า ความจริงแล้วประชาชนสามารถเสียค่าไฟฟ้าได้ถูกกว่านี้ ถ้า พล.อ. ประยุทธ์ ไม่ร่วมมือกับนายทุนพลังงานจนเรามีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นมาเกินความจำเป็นไปอย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบค่าไฟฟ้าของประเทศไทยกับประเทศอื่นๆ พบว่าประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนและเป็นฐานการผลิตให้กับประเทศอื่นๆ มาลงทุนเช่นเดียวกับประเทศไทย แต่ประเทศเหล่านั้นกลับมีค่าไฟฟ้าถูกกว่าเรามาก โดยประเทศอินโดนีเซียมีค่าไฟเฉลี่ยอยู่ที่ 3 บาท 74 สตางค์ ประเทศเวียดนามมีค่าไฟเฉลี่ยอยู่ที่ 3 บาท 40 สตางค์ และประเทศมาเลเซียใกล้ๆ ประเทศของเรามีค่าไฟเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 1 บาท 96 สตางค์ แต่พวกเราคนไทยต้องแบกรับค่าไฟฟ้าราคาหน่วยละประมาณ 3 บาท 80 สตางค์ แพงกว่าทุกประเทศที่กล่าวมาทั้งหมด

 

เบญจายังกล่าวด้วยว่าทุนพลังงานกลุ่มใหญ่ในปัจจุบันคือบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เพราะในช่วงไม่กี่ปีมานี้ในรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ ทำให้บริษัทกัลฟ์สามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดจนขึ้นไปมีส่วนแบ่งการตลาดจาก 7% ขยับไปที่ 20% เป็นยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งในกลุ่มทุนพลังงาน ส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่าภายในระยะเวลาเพียงแค่ 8 ปีเท่านั้น เป็นการเติบโตขึ้นมาด้วยการพึ่งพิงการสนับสนุนของรัฐทั้งทางตรงและทางอ้อม เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ไม่ได้มีการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อไปใช้แข่งขันในตลาด เป็นเพียงธุรกิจที่ต้องหาหนทางช่วงชิงสัมปทาน การที่จะเปิดให้เกิดการขอสัมปทานได้นั้นต้องขึ้นอยู่กับการดำเนินนโยบายของภาครัฐทั้งสิ้น

 

เบญจากล่าวด้วยว่าที่ผ่านมาการดำเนินนโยบายของ พล.อ. ประยุทธ์ ก็มีข้อกังขาในการเอื้อกลุ่มทุนมากมาย เช่น กรณีประมูลโรงไฟฟ้า 5,000 เมกะวัตต์ที่มีข้อกังขาในการประมูลอยู่ รวมทั้งไม่ได้ดำเนินการให้มีการตรวจสอบต่อ และในกรณีของโรงไฟฟ้าหินกองที่มีการยกผลประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชนโดยไม่มีการประมูล กลุ่มทุนก็ได้สะสมความมั่งคั่งจากธุรกิจพลังงานและไปรับสัมปทานภาครัฐในธุรกิจอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นโครงการยักษ์ใหญ่ EEC ถมทะเลพันไร่ มาบตาพุด เฟส 3 มูลค่าโครงการ 47,900 ล้านบาท และไม่ว่าจะเป็นงานติดตั้งและบริหารระบบเก็บเงิน (O&M) ค่าผ่านทางมอเตอร์เวย์ 2 สาย อย่างสายบางปะอิน-โคราช และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี ที่เพิ่งปิดดีลไปแล้ว 4 หมื่นล้านบาท หรือการประมูลที่โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ซึ่งเป็นโครงการเรือธงของ EEC ที่ชนะเพราะคู่แข่งถูกตัดสิทธิ์เพียงเพราะเซ็นชื่อลงในเอกสารไม่ตรงช่อง ยิ่งเมื่อปรากฏตามข่าวว่าข้อเสนอของกลุ่มกัลฟ์นั้นจะให้ประโยชน์กับรัฐเพียง 12,000 ล้านบาท ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งเสนอให้ผลประโยชน์แก่รัฐสูงถึง 27,360 ล้านบาท ชวนให้ตั้งข้อสงสัยว่าที่ตัดสิทธิ์อีกกลุ่มหนึ่งเนื่องจากเซ็นชื่อไม่ตรงช่องนั้น เป็นเพราะการเซ็นชื่อไม่ตรงช่องมันมีปัญหาในทางกฎหมาย หรือเอาเข้าจริงเป็นเพราะต้องการให้เหลือผู้เสนอราคาเพียงรายเดียว

 

นอกจากนี้เบญจายังระบุด้วยว่า ในกรณีที่รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ ได้ทำการยกโรงไฟฟ้าหินกอง 2 ชุดไปนั้นมีกำลังการผลิตชุดละ 700 เมกะวัตต์ รวมทั้งสิ้น 1,400 เมกะวัตต์ ให้กับบริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) โดยไม่ต้องเปิดให้มีการประมูลเมื่อช่วงปี 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งกลุ่มทุนมีการตั้งบริษัท หินกองเพาเวอร์ จำกัด ขึ้นมาเพื่อดำเนินโครงการโรงไฟฟ้า บริษัทดังกล่าวถือหุ้น 100% โดยบริษัท หินกองเพาเวอร์โฮลดิ้ง จำกัด ถือหุ้นโดยราช กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทแม่จำนวน 51% ส่วนอีก 49% ถือครองโดยบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ด้วย

 

เบญจายังได้อภิปรายทิ้งท้ายด้วยว่า การที่ พล.อ. ประยุทธ์ เอื้อกลุ่มทุนจนประเทศชาติและประชาชนเกิดความเสียหายไปนั้นเป็นเพราะ หนึ่ง ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เป็นเพียงหุ่นเชิดนั่งหัวโต๊ะที่ไม่มีความรู้ความสามารถ ไม่มีวิสัยทัศน์ ใครกระซิบบอกให้พูดอะไร เซ็นอะไร ก็ทำตามทั้งหมดหรือไม่ สอง เป็นเพราะว่าคนใกล้ชิดได้รับประโยชน์ตอบแทนจากการที่ดำเนินนโยบายเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนกลุ่มนี้กันแน่ สาม ไม่มีความกล้าหาญในการลงโทษผู้ใต้บังคับบัญชาที่บกพร่อง ผิดพลาด หรือตัว พล.อ. ประยุทธ์ เองมีส่วนรู้เห็นในการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุน สี่ หรือว่า พล.อ. ประยุทธ์ ไม่มีเจตจำนงในการแก้ไขสิ่งที่ผิดให้กลับมาถูกต้อง ไม่เข้าใจถึงความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ทั้งหมดที่ทำลงไปก็เพียงแต่เพื่อรักษาเก้าอี้ให้ตัวเองยังอยู่ในอำนาจได้เท่านั้น

 

อาจเป็นเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง หรืออาจเป็นทั้งสี่เหตุผลรวมกันก็ได้ที่ทำให้ พล.อ. ประยุทธ์ เลือกที่จะอุ้มชูกลุ่มทุนพลังงานแทนที่จะรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุที่เห็นว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่สมควรอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้อีกต่อไป

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising