×

เบล สุพล สมดุลของความโดดเดี่ยว และ 12 ปี การเรียนรู้เพื่อหาจุดยืนในวงการเพลง

17.07.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 Mins. Read
  • ตั้งแต่มีสถานะเป็น เบล วงพาย จนตอนนี้ เบล สุพล ทำงานในวงการเพลงมากว่า 12 ปี จากคนที่นิยามตัวเองว่า เข้าวงการมาอย่างมึนๆ พร้อมกับนิสัยเก็บตัวและไม่กล้าเปิดเข้าหาคนอื่น ซึ่งขัดแย้งกับการรับรู้ว่า การเป็นศิลปินที่ดีต้องมีมุกฮาเรียกเสียงหัวเราะ
  • เพราะชื่อเสียงที่มากขึ้นเรื่อยๆ และก้าวขึ้นสู่จุดพีกอย่างไม่รู้ตัว พอวันหนึ่งที่รู้สึกว่า กราฟความมีชื่อเสียงเริ่มหักหัวลง เบลได้เรียนรู้อีกครั้งว่า สิ่งนี้เป็นธรรมดาของชีวิต มันจะขึ้นและลงอยู่อย่างนี้เสมอ เพียงรู้จักยืนอยู่ในภาวะทั้งขึ้นและลงให้มีความสุข

12 ปี หากเทียบเป็นอายุมนุษย์คนหนึ่ง คงผ่านการเรียนรู้และสร้างตัวตนจนมีความคิดความอ่านเป็นของตัวเอง ช่วงเวลาในวงการบันเทิงของ เบล-สุพล พัวศิริรักษ์ ก็แทบไม่ต่างจากนั้น

 

เราเห็นภาพ เบล สุพล ตั้งแต่เป็นนักร้องนำวงพาย ยุคที่ผมรากไทรยังได้รับความนิยม มาจนถึงวันที่เป็นศิลปินเดี่ยวผู้ถือครองภาพมนุษย์เหงา ถ่ายทอดเพลงอบอุ่นให้ฟังอย่างต่อเนื่อง อัลบั้ม Very Bell (2009), Good Afternoon (2010), Happy Hours (2012) มีทั้งเพลงที่ได้รับความนิยมและเพลงที่หลายคนอาจไม่เคยได้ยิน และถึงจะเคยพยายามเปลี่ยนภาพตัวเองให้สนุก แต่ซิงเกิลล่าสุดอย่าง เพราะเธอ เขาก็ยังเลือกที่จะนำเสนอภาพด้านความอบอุ่น

 

สิ่งนี้ชวนให้เราตั้งข้อสงสัยไว้ว่า ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งจะชินชากับความโดดเดี่ยวและเปลี่ยวเหงาของตัวเองได้สักขนาดไหน ถึงเลือกที่จะอยู่ในภาพนี้อย่างไม่เปลี่ยนแปลง, ตัวตนเขาเป็นอย่างในเพลงหรือไม่, และถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ในฐานะนักร้องที่ต้องเอนเตอร์เทนคนมากมาย เขาจะใช้ชีวิตอย่างไรให้ไม่หนีจากความเป็นตัวเอง

 

เพลง เพราะเธอ

 

 

ทุกวันนี้ถ้าไม่ได้ร้องเพลง กิจวัตรประจำวันคืออะไรบ้าง

ทุกวันนี้ตื่นมา สำหรับวันที่ไม่ต้องทำงานก็จะไปฟิตเนส แล้วก็นัดเจอเพื่อนบ้าง หรือว่ามีโปรเจกต์ที่ต้องสะสางก็ทำให้เสร็จตามภารกิจนั้น ส่วนถ้าว่างจริงๆ ช่วงนี้ชอบอยู่บ้านครับ ไม่ค่อยชอบออกไปข้างนอก ถ้าออกจะพยายามเซตวันให้ออกมาทำทุกอย่างทีเดียว ได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็พยายามจะจัดระเบียบให้เป็นแบบนี้

 

ถ้าใครติดตามเบลผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก จะเห็นว่าช่วงหลังหันมาออกกำลังกายมากขึ้น อะไรคือแรงบันดาลใจ

แก่ขึ้น (หัวเราะ) คือเป็นธรรมดาที่ทุกคนอยากมีรูปร่างที่ดีขึ้น ความใฝ่ฝันอย่างหนึ่งคืออยากจะมีซิกแพ็กสักครั้ง แต่จุดประสงค์หลักจริงๆ คือร่างกาย เพราะพออายุมากขึ้น ระบบการเผาผลาญจะไม่ดีเหมือนแต่ก่อน พอเราออกกำลังกายทุกอย่างมันดีขึ้น สุขภาพจิตก็ดีขึ้น แม้แต่ระบบการหายใจซึ่งเกี่ยวข้องกับการร้องเพลงมันก็ดีขึ้น

 

จากคนที่ทำงานมาตลอดหลายปี กลับชอบอยู่บ้าน ถามจริงๆ คุณชอบอยู่คนเดียวไหม

ไม่ชอบอยู่คนเดียว แต่ก็ชอบอยู่คนเดียว (หัวเราะ) ต้องอธิบายก่อนว่า ผมเป็นคนที่มี 2 พาร์ต ที่พูดยากเหมือนกัน พาร์ตแรกที่อยากอยู่คนเดียว เพราะเรารู้สึกว่าเป็นคนเอาแต่ใจ ชอบทำอะไรในแบบที่อยากทำ บางครั้งเราอาจจะเกรงใจคนที่ไปด้วย หรือเราเองก็จะไม่สุด เพราะการไปด้วยกันเท่ากับการแชร์กัน พอถึงจุดนั้นก็รู้สึกว่ามันกั๊ก เราชอบที่จะอยากไปไปเลย อยากทำทำเลย ถ้าอยู่คนเดียวเราก็ตัดสินใจได้เลย

 

แต่อีกพาร์ตหนึ่งเราเป็นคนเหงา พออยู่คนเดียวมากๆ ก็ไม่โอเค อยากเจอเพื่อน อยากมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น และอยากให้คนอื่นมามีกิจกรรมร่วมกับเรา แล้วในขณะที่เราอยากจะไปร่วมกิจกรรมกับโลกของคนอื่น แต่พอจุดที่เจอคนมากๆ เข้า เราก็ต้องบาลานซ์ให้กลับมาอยู่กับตัวเองให้ได้อยู่ดี

 

 

เราไม่จำเป็นต้องอยู่ในจุดที่วิวสวยที่สุดตลอดเวลาก็ได้ แต่เราต้องมีความสุขในทุกที่ที่เรายืน

การบาลานซ์ตัวเองแบบนี้เพื่อให้ตัวเองมีความสุขขึ้น

มันไม่ได้มีความสุขหรือชอบสิ่งไหนมากกว่ากัน ผมรู้สึกว่ามันอยู่คู่กัน เพราะบางอย่างเราก็ไม่ได้อยากทำคนเดียวตลอด ไปดูหนังเสร็จก็อยากมีคนชวนคุย ไปดูคอนเสิร์ตก็ไม่ได้อยากไปยืนอยู่คนเดียว อยากมีคนไปเฮฮา ร้องเพลงแหกปากด้วยกัน คือมันแล้วแต่กิจกรรม แล้วแต่อารมณ์ของเราในแต่ละครั้งมากกว่า

 

เบลรู้ตัวว่าเป็นคนนิสัยแบบน้ีตั้งแต่เมื่อไร

ชอบจังเลยได้คุยอะไรอย่างนี้ มันเหมือนได้กลับไปทบทวนตัวเอง (ยิ้ม) ผมว่าผมน่าจะเป็นตั้งแต่เด็กครับ เพราะถ้าให้ย้อนไปจริงๆ ผมมีพี่ชายหนึ่งคนที่อายุห่างกันปีเดียว การมีพี่น้องในวัยใกล้กันมันควรจะรู้สึกว่าสนิทกัน แต่สุดท้ายแล้วด้วยความที่บุคลิกและความชอบเรามันคนละขั้ว ผมเลยโตมาเหมือนเป็นลูกคนเดียว มันมีความรู้สึกนั้นอยู่ ด้วยจุดนี้อาจทำให้เราโตมาแบบพึ่งพาตัวเอง

 

ความสนใจของเราคือ เรื่องเพลง เรื่องหนัง ซึ่งเราเป็นคนที่เสพอะไรพวกนี้เกินอายุ ในโรงเรียนมีเพื่อนแค่คนเดียวที่เราคุยเรื่องพวกนี้ได้ เพราะเราไม่เล่นเกม ไม่ดูบอลจึงทำให้เราอินเตอร์แอ็กกับเพื่อนได้น้อย มันเลยเกิดความว่างเปล่าขึ้นตรงนี้ เพื่อนเขาคุยกันเรื่องบอล คุยเรื่องเกมวินนิ่งกัน แต่เพื่อนก็แคร์เรา เลยพยายามมาคุยเรื่องหนังเรื่องเพลง ซึ่งสุดท้ายเรารู้สึกว่า มันคือการคุยแบบผิวๆ เราไม่สามารถถกกันได้อย่างลึกๆ มารู้สึกดีอีกครั้งตอนที่เราเรียนนิเทศฯ ที่เอแบค แม่งมีอยู่จริงด้วยเว้ยมนุษย์ที่เป็นแบบนี้ คนที่บ้าเหมือนกันกับเรา เหมือนเราเข้าไปเจอคนกลุ่มใหม่โลกใหม่ แต่มันก็ตอบสนองในเรื่องของความสนใจอย่างเดียว เพราะสุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ตอบโจทย์ในเรื่องของความเป็นเพื่อนที่โตมาด้วยกัน ผ่านอะไรด้วยกันมาทุกสเตจของชีวิต

 

ลองคิดดูว่า ในกลุ่มผมมีเพื่อนคนแรกที่เจอกันตั้งแต่อนุบาลจนถึงวันนี้ สำหรับคนอื่นเพื่อนคืออะไรไม่รู้นะ แต่สำหรับผม เพื่อนคือครอบครัวไปแล้ว คือเราคบเพื่อนกลุ่มอื่นได้ แต่สุดท้ายเพื่อนกลุ่มนี้คือครอบครัวของเรา ทุกครั้งที่เสียหลัก เราจะรู้ว่าคนนี้ให้คำแนะนำได้

 

เรียกว่าเป็นความแปลกแยกที่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเรา

ไม่แน่ใจครับ คือเราอยู่กับความแปลกแยกนั้นนานมาก แต่ไม่เคยหยิบมาคิดเลย พอมองย้อนกลับไปหรือแม้กระทั่งถึงทุกวันนี้ เราก็ยังรู้สึกแปลกแยกกับหลายๆ สิ่ง ก่อนหน้านี้เคยรู้สึกมากๆ แต่ตอนนี้มันชินไปแล้ว เพราะสุดท้ายแล้วเราก็ไม่ได้โดดเดี่ยว เราก็มีสังคมของเรา

 

ปัญหาของเราตั้งแต่เด็กคือ เข้ากับคนยาก แต่ช่วงหลังนี้คือดีขึ้นมาก เวลาที่เราอยู่ค่าย เราไม่ได้สนิทกับใคร แต่เพื่อนที่รู้จักกันมาก่อนอย่างแพรว (คณิตกุล เนตรบุตร) เป็นเพื่อนที่เอแบค หรือเป็ก (ผลิตโชค อายนบุตร) ก็รู้จักกันมาก่อน มันเลยไม่ได้มีปัญหาอะไร

 

 

แล้วเราเรียนรู้ได้อย่างไรว่าควรเข้าหาคนอื่นก่อนบ้าง

มันมาจากการเป็นนักร้อง เรารู้สึกว่าต้องปรับตัว ต้องเข้าสังคมมากขึ้น เพราะเมื่อเข้ามาทำอาชีพนี้มันคือการสื่อสาร เชื่อมโยงกับคนดู ตอนแรกก็ไม่เข้าใจ แค่คิดว่าหน้าที่ของการเป็นนักร้องคือร้องให้ดีที่สุด แต่พออยู่ไปนานๆ เราก็ต้องเริ่มเรียนรู้จากคนอื่นว่าเฮ้ย มันไม่ใช่แค่ร้องเพลงแล้วนี่หว่า เราก็ต้องปรับตัวและหาความพอดี

 

เราเคยคิดเยอะมากว่าคนอื่นเขาจะมองอย่างไร สุดท้ายแล้วเราก็แค่ลองออกมาจากคอมฟอร์ตโซนของตัวเอง ลองเปิดใจก่อน ทุกวันนี้เรามองคนดูเป็นเหมือนเพื่อนที่จะสื่อสารด้วย โดยมวลรวมเรารู้สึกขอบคุณคนที่มาให้กำลังใจ เวลาเขาให้มา เราก็อยากจะตอบแทน อยากทำให้เขามีความสุข

 

จริงๆ แล้วผู้ใหญ่เขาก็เห็นปัญหานี้ เลยส่งผมไปเรียนแอ็กติ้ง นี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทุบกำแพงบางอย่างของตัวเองได้ หลายคนอาจเข้าใจว่าการเรียนแอ็กติ้งคือการเตรียมพร้อมเป็นดารา แต่จริงๆ แล้วมันคือการเรียนเพื่อให้เราเข้าใจตัวเอง รวมถึงการปรับตัวที่ต้องอยู่ในวงการนี้ ซึ่งเราเรียนรู้จากความเจ็บปวดของตัวเอง และเรียนรู้จากตัวอย่างที่ดีจากคนอื่น แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องนำมาปรับหาบาลานซ์ เพื่อหาจุดที่พอดีกับตัวเรา

 

ต้องบอกว่าก่อนหน้านี้ผมเคยคิดว่าต้องฝืนตัวเอง เพราะมีภาพว่าเราต้องตลก ต้องเป็นคนเรียกเสียงเฮเสียงกรี๊ดได้ทุกนาที ต้องมีมุกแพรวพราว ฝืนจนเครียด เพราะเราไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่สุดท้ายจากคำพูดของหลายคน และประสบการณ์ที่ผิดพลาดก็สอนให้เรารู้จักตัวเอง รู้จักหาจุดที่เราสบายที่สุด ก่อนหน้านี้มีหลายครั้งเวลาที่เราอยู่บนเวที ก็บอกตัวเองว่านี่คืออาชีพในฝันที่อยากทำ แต่ทำไมมันทรมานวะ ทำไมต้องพยายามจังวะ เพราะตอนนั้นยังหาจุดที่เป็นตัวเราไม่เจอ แต่วันหนึ่งสิ่งต่างๆ จะทำให้มันค่อยๆ คลี่คลาย และเราก็จะเจอจุดที่สบาย และไม่ต้องอยากเป็นใคร

 

ก่อนหน้านี้มีหลายครั้งเวลาที่เราอยู่บนเวที ก็บอกตัวเองว่านี่คืออาชีพในฝันที่อยากทำ แต่ทำไมมันทรมานวะ ทำไมต้องพยายามจังวะ เพราะตอนนั้นยังหาจุดที่เป็นตัวเราไม่เจอ

ตอนนี้คือเบล สุพล เวอร์ชันที่คลี่คลายแล้ว

จริงๆ แล้วมันคลี่คลายมาแล้วรอบหนึ่ง แต่ก็มีเหตุให้เรากลับไปรู้สึกถึงปัญหา และก็เริ่มมาคลี่คลายอีกครั้ง ผมเรียนรู้ว่าชีวิตมันจะต้องเป็นแบบนี้แหละ ผมเริ่มต้นในวงการเพลงด้วยการไม่คาดหวังอะไร แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยๆ ไต่ขึ้นทีละนิดๆ คือผมไม่เคยได้ประสบความสำเร็จตูมตาม แต่วันแรกที่ผมได้สัมผัสกับกราฟที่ดิ่งลง ผมตกใจมาก ซึ่งนั่นคือวิกฤตที่คนทั่วไปกราฟเขาขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอดอาจจะมองว่าปกติ แต่สำหรับผมมันคือวิกฤตที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะไม่เคยเจอมาก่อน ช่วงนั้นเราคิดว่ามันคงจะจบแล้ว ทั้งๆ ที่มันลงไปนิดเดียว

 

อะไรคือสิ่งที่คุณคิดว่ากราฟกำลังดิ่งลง

ฟีดแบ็กจากคนดู และประมวลจากหลายๆ สิ่งประกอบกัน เรารู้ว่ามันผ่านจุดพีกมาแล้ว พอเริ่มลงครั้งแรกเราก็คิดว่าลงแล้วต้องลงเลย เราไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วชีวิตทุกเรื่องมันก็จะเป็นแบบนี้แหละ ตอนนั้นชีวิตรวนไปหมด แต่ก็ดี ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าชีวิตมันเป็นแบบนี้ เราก็ต้องอยู่ยอมรับความจริงให้ได้และอยู่กับมันอย่างไร

 

คือทุกสิ่งในชีวิตมันไม่เป็นไปอย่างที่เราคาดหวังหรอก แต่ที่ผ่านมาชีวิตมันก็สปอยล์เราเพราะไม่เคยเจอความผิดหวังมาก่อน พอมาเจอความผิดหวังเราก็ ‘เหี้ย เอาไงวะ’  เราก็คิดไปในเวอร์ชันแย่สุดว่ามันจะเป็นการเคาต์ดาวน์ เราจะอยู่ได้อีกกี่ปี แล้วหลังจากนั้นจะทำอะไรต่อ

 

แล้วทุกวันนี้คิดว่ากราฟตัวเองเป็นอย่างไร

(นิ่งคิด) คิดว่าทุกวันนี้อยู่กับกราฟที่ขึ้นลงได้ดีขึ้น เพราะเราได้เรียนรู้มาแล้วว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่จะมีขึ้นและลงตลอดไป

 

เบล สุพลในตอนนี้คือเวอร์ชันที่มีความสุข

ดีกว่าตอนนั้นนะ ผมชอบประโยคหนึ่งฟังมาจากใครไม่รู้เขาบอกว่า ‘เราไม่จำเป็นต้องอยู่ในจุดที่วิวสวยที่สุดตลอดเวลาก็ได้ แต่เราต้องมีความสุขในทุกที่ที่เรายืน’ แต่บางครั้งตัวเราจะคิดว่าต้องอยู่ในจุดที่ดีที่สุด ซึ่งคิดอย่างนี้จะทำให้เหนื่อย เพราะมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ก็ต้องดิ้นรนกันต่อไป เพราะมันยังไม่จบกันง่ายๆ หรอก เราไม่รู้ว่าด่านหน้าจะเจออะไร

 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising