×

เป็นคนเก่งประสบความสำเร็จอย่างไรไม่ให้คนหมั่นไส้คะพี่? จะทำอย่างไรดีคะ

12.06.2019
  • LOADING...
game on bitch

HIGHLIGHTS

5 Mins. Read
  • เราห้ามคนไม่ให้หมั่นไส้เราไม่ได้ ลดคนเกลียดไม่ได้ แต่เราเพิ่มคนรักได้ อันนี้พี่ว่าทำง่ายกว่าและสบายใจกว่า คือถ้าคนเราปักใจจะเกลียดเราอยู่แล้ว เราไม่ทำอะไร หายใจก็ผิดอยู่ดี เพราะฉะนั้น เอาว่าให้เรามั่นใจในตัวเราว่าเราไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายก็พอ ถ้าเราทำตัวดี แล้วเขาดันเกลียดเราเอง นั่นเป็นปัญหาของเขาครับ เขาเลือกจะแบกเอง แต่ถ้าเมื่อไรเราไปร้อนรนเพราะเขาเกลียดเรา เขาเกลียดเรา เขาเกลียดเรา เราสิจะเป็นทุกข์เอง
  • ตัดเรื่องหมั่นไส้ออก เพราะห้ามกันไม่ได้ ทีนี้ถ้าลองเปลี่ยนคำถามเป็น “ประสบความสำเร็จอย่างไรให้คนรักเราเพิ่ม” พี่นก-สินจัย เปล่งพานิช เคยเล่าให้ว่า พี่นกแกล้งจำบทผิดบ้าง แกล้งผิดคิวบ้าง พอผิดแล้วพี่นกก็หัวเราะ ขอโทษขอโพยทุกคน ทำบรรยากาศให้ไม่เครียด สิ่งที่พี่นกทำก็เพื่อทำให้นักแสดงรุ่นน้องเห็นว่า ขนาดพี่นกเป็นรุ่นพี่มีประสบการณ์เยอะก็ยังผิดพลาดได้ พี่นกเป็นมนุษย์คนหนึ่ง และเมื่อผิดพลาด พี่นกก็เริ่มใหม่ สุดท้ายพอคลายความตึงเครียดได้ นักแสดงรุ่นน้องก็แสดงได้ผ่าน
  • หรือ พี่เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์ ระหว่างให้สัมภาษณ์ พี่เบิร์ดจะคอยชมคอยให้กำลังใจว่า คำถามดี สัมภาษณ์สนุก ไม่ให้เลิก! พี่ก็เลยได้เรียนรู้ไปในตัวว่า เก่งแค่ไหน ประสบความสำเร็จแค่ไหน ก็ต้องชื่นชมคนอื่นเป็น ยิ่งต้องให้กำลังใจคนอื่น คำชมหรือกำลังใจนี่มันให้ใครไปแล้ว ในตัวเราไม่มีลดเลยนะครับน้อง และคนฟังฟังแล้วใจมันพองฟูนะ
  • เวลาเรารู้สึกว่าเราเก่ง จะด้วยจากที่เรารู้สึกมั่นใจจากตัวเอง หรือจากที่คนมาชื่นชมยกย่องเราก็ตาม เราต้องไม่หลงคิดว่าความเก่งนี้ทำให้เราตัวใหญ่คับจักรวาล เรายังต้องบอกตัวเองว่าเราไม่ได้เก่งทุกเรื่อง เราเก่งเป็นเรื่องๆ ไป พอเปลี่ยนเรื่องก็มีคนเก่งกว่าเราได้หมด และต่อให้เป็นเรื่องที่เราเก่ง ถึงอย่างไรก็มีคนเก่งกว่าเราได้เสมอ เพราะฉะนั้น พอมีความรู้สึกว่าเราไม่ได้เจ๋งที่สุดในโลกแบบนี้อยู่ไว้เบรกอีโก้ตัวเองบ้าง มันจะทำให้เราชื่นชมคนอื่นเป็น และเปิดใจที่จะเรียนรู้ความเก่งจากคนอื่นได้

Q: หนูเป็นคนที่ได้ชื่อว่าประสบความสำเร็จมากกว่าคนในรุ่นเดียวกัน ตั้งแต่เรียนก็จะได้คะแนนดีกว่าคนอื่นตลอด มาทำงานก็ได้ทำงานในบริษัทที่ดี ผลงานก็ดี เติบโตก้าวหน้า อะไรๆ ก็ดูเหมือนจะดีนะคะ แต่สิ่งที่กวนใจหนูก็คือ ที่หนูประสบความสำเร็จแบบนี้ หนูจะวางตัวอย่างไรไม่ให้คนหมั่นไส้ดีคะพี่ บางทีหนูก็ลำบากใจเวลาหัวหน้ามาชมหนูต่อหน้าคนอื่นมากๆ หนูก็สัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างจากเพื่อนร่วมงาน มันทำให้หนูรู้สึกโดดเดี่ยวยังไงชอบกลค่ะ

 

A: ห้ามคนไม่ให้หมั่นไส้คงยาก เราทำให้ทุกคนมารักเราไม่ได้หรอกครับ ถึงอย่างไรก็ต้องมีคนไม่ชอบเรา ต่อให้เราไม่ได้ทำอะไรผิด เราหนีเรื่องนี้ไม่พ้นหรอกครับ เพราะฉะนั้น จะทำอย่างไรไม่ให้คนหมั่นไส้ พี่ตอบเลยว่า ทำไม่ได้

 

เราห้ามคนไม่ให้หมั่นไส้เราไม่ได้ แต่เราทำให้คนรักเราเพิ่มขึ้นได้นะครับ

 

ลดคนเกลียดไม่ได้ แต่เราเพิ่มคนรักได้ อันนี้พี่ว่าทำง่ายกว่าและสบายใจกว่า คือถ้าคนปักใจจะเกลียดเราอยู่แล้ว เราไม่ทำอะไร หายใจก็ผิดอยู่ดี เพราะฉะนั้น เอาว่าให้เรามั่นใจในตัวเราว่าเราไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายก็พอ

 

ถ้าเราทำตัวดีแล้วเขาดันเกลียดเราเอง นั่นเป็นปัญหาของเขาครับ เขาเลือกจะแบกเอง แต่ถ้าเมื่อไรเราไปร้อนรนเพราะเขาเกลียดเรา เขาเกลียดเรา เขาเกลียดเรา เราสิจะเป็นทุกข์เอง เหนื่อยนะน้อง

 

พี่ว่าเราทำดีก็ทำดีต่อ และไปทำดีให้คนเขารักเรามากขึ้นดีกว่า แต่ถ้าใครใคร่แบกทุกข์ แบกความเกลียดชัง ตามสบาย เชิญ!

 

แต่อย่างหนึ่งที่พี่อยากให้คนอ่านท่านอื่นๆ ได้เห็นก็คือ เราชอบบอกกันว่า จุดหมายของมนุษย์เราคือ ต้องประสบความสำเร็จให้ได้ แต่จากเคสนี้ที่น้องส่งมาถาม พี่ก็อยากให้คนเห็นว่า คนประสบความสำเร็จก็ทุกข์เป็นนะ ทุกข์มันไม่เลือกคนหรอก แต่เราเลือกได้ว่าจะจัดการกับทุกข์อย่างไร เพราะฉะนั้น เวลามองอะไรอย่ามองแต่ด้านเดียว เห็นเขาประสบความสำเร็จแปลว่าเขาต้องสุขมากเลย แต่ก็เป็นไปได้เหมือนกันที่เขาจะมีความทุกข์ คนประสบความสำเร็จก็มีทุกข์ในแบบของเขา มองเขาให้เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกัน เราไม่ต้องไปตัดสินอะไร และก็ไม่ได้แปลว่าถ้าประสบความสำเร็จแล้วทุกข์ ถ้าอย่างนั้นเราไม่ต้องประสบความสำเร็จแล้วกัน บาย! มันคนละเรื่องกัน

 

ตัดเรื่องหมั่นไส้ออก เพราะห้ามกันไม่ได้ ทีนี้ถ้าลองเปลี่ยนคำถามเป็น “ประสบความสำเร็จอย่างไรให้คนรักเราเพิ่ม” พี่ลองมานึกถึงตัวอย่างของคนเก่งที่เขาเคยเล่าเรื่องชีวิตของเขาให้พี่ฟัง บางอย่างพี่คิดว่าเราทุกคนเอาไปใช้ได้ดีเลยล่ะครับ

 

พี่นก-สินจัย เปล่งพานิช เคยเล่าให้พี่ฟังว่า ตอนถ่ายละครอยู่เรื่องหนึ่ง มีนักแสดงรุ่นน้องเล่นอย่างไรก็เล่นไม่ได้สักที ลำพังบทก็ยากอยู่แล้ว แถมได้ชื่อว่าต้องปะทะกับคนระดับสินจัย เป็นใครใครก็เกร็ง เพราะพี่นกเป็นนักแสดงที่เก่งมาก คือถ้าเป็นนักเรียน พี่นกก็เป็นนักเรียนแถวหน้าที่เตรียมอ่านหนังสือมาก่อนเข้าห้องเรียนอย่างไรอย่างนั้น เพราะพี่นกทำการบ้าน ท่องบทมาอย่างดีตลอด ยิ่งรุ่นน้องพอเล่นไม่ได้ก็ยิ่งกดดันว่าทำให้พี่นกเสียเวลาหรือเปล่า ยิ่งกดดันก็ยิ่งเล่นไม่ออกล่ะทีนี้ ไปกันใหญ่

 

สิ่งที่พี่นกทำก็คือ พี่นกแกล้งจำบทผิดบ้าง แกล้งผิดคิวบ้าง พอผิดแล้วพี่นกก็หัวเราะ ขอโทษขอโพยทุกคน ทำบรรยากาศให้ไม่เครียด สิ่งที่พี่นกทำก็เพื่อทำให้นักแสดงรุ่นน้องเห็นว่า ขนาดพี่นกเป็นรุ่นพี่มีประสบการณ์เยอะก็ยังผิดพลาดได้ พี่นกเป็นมนุษย์คนหนึ่ง และเมื่อผิดพลาด พี่นกก็เริ่มใหม่ พี่นกไม่บีบคั้นตัวเอง ไม่เคยบ่นว่าตัวเองเสียเวลา ไม่เคยโทษทีมเดียวกัน และพยายามรักษาบรรยากาศการทำงานไม่ให้เครียดเกินไป สุดท้ายพอคลายความตึงเครียดได้ นักแสดงรุ่นน้องก็แสดงได้ผ่าน

 

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พี่ก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่ามันมีเทคนิคการทำงานแบบนี้ด้วย ปกติยิ่งเป็นรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์มาก คนเรามักจะยิ่งตีกรอบให้ตัวเองว่าฉันห้ามผิดแล้วนะ ฉันผิดไม่ได้ ฉันจะบังคับไม่ให้ตัวเองผิด ยิ่งมีประสบการณ์ฉันยิ่งต้องทำงานเป๊ะกว่าคนอื่น แต่วิธีการทำงานของพี่นกทำให้พี่กลับมาคิดว่า อ๋อ จริงๆ ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของเรายังต้องมีครบถ้วน (เหมือนพี่นกถึงอย่างไรก็ต้องท่องบทมาให้เป๊ะ) แต่เรายังต้องวางตัวไม่ให้ความเก่งของเราทำให้คนอื่นเกร็ง ยิ่งเก่งยิ่งต้องทำงานด้วยง่าย ยิ่งเก่งยิ่งต้องให้กำลังใจคนอื่น ยิ่งเก่งยิ่งต้องช่วยให้คนอื่นถึงเป้าหมายไปด้วยกัน เก่งคนเดียวไม่ได้ ต้องพาทีมไปถึงเส้นชัยด้วยกันหมด เราเข้าเส้นชัยคนเดียวไม่มีความหมายเลย

 

เรื่องคนเก่งที่ทำให้คนอื่นเกร็งนี่พี่นึกถึง พี่เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์ อีกคน ซึ่งพี่มีโอกาสได้สัมภาษณ์ ขึ้นชื่อว่าจะได้เจอพี่เบิร์ด พี่ว่าทุกคนก็ตื่นเต้น เกร็ง เขิน สั่นกันไปหมดอยู่แล้ว แต่ทันทีที่พี่เบิร์ดเปิดประตูเข้ามา พี่เบิร์ดเข้ามาทักทายพี่ก่อนที่พี่จะทักพี่เบิร์ดด้วยซ้ำ (ตอนนั้นพี่อึ้งอยู่ ฮ่าๆ) พี่เบิร์ดทำการบ้านมาก่อนแล้วว่าพี่ชื่ออะไร เป็นใคร และพอเห็นพี่ตื่นเต้น พี่เบิร์ดก็บอกว่า ความตื่นเต้นสิเป็นเรื่องดี เป็นวิตามินชีวิตที่ต้องเก็บไว้ เพราะขนาดพี่เบิร์ดขึ้นเวทีคอนเสิร์ตทุกครั้งพี่เบิร์ดยังตื่นเต้นมือเย็นตัวสั่น เพราะฉะนั้น ถ้าท้อฟฟี่ตื่นเต้นก็เป็นความรู้สึกเดียวกับพี่เบิร์ดนั่นแหละ ว่าแล้วพี่เบิร์ดก็กอดพี่ (โอ๊ย! ตื่นเต้นกว่าเดิมอีกน้องเอ๊ย!) และระหว่างสัมภาษณ์ พี่เบิร์ดก็จะคอยชมคอยให้กำลังใจว่า คำถามดี สัมภาษณ์สนุก ไม่ให้เลิก!

 

พี่ก็เลยได้เรียนรู้ไปในตัวว่า เก่งแค่ไหน ประสบความสำเร็จแค่ไหน ก็ต้องชื่นชมคนอื่นเป็น ยิ่งต้องให้กำลังใจคนอื่น คำชมหรือกำลังใจนี่มันให้ใครไปแล้ว ในตัวเราไม่มีลดเลยนะครับน้อง และคนฟังฟังแล้วใจมันพองฟูนะ มันมีแรงไปทำอะไรได้อีกเยอะจากการได้รับกำลังใจมา ถ้าเราคิดแต่ว่า “ข้าเจ๋ง ข้าแน่ ข้าประสบความสำเร็จแล้ว ถ้าเธอไม่ประสบความสำเร็จเท่าฉัน เราอยู่คนละระดับกัน ฉันไม่พูดกับเธอ” อันนั้นคือจบเลยน้องเอ๋ย ตายเพราะแบกอีโก้นี่แหละ ฮ่าๆ

 

พี่คิดว่าเวลาเราบอกว่าเราเก่ง เราประสบความสำเร็จ เราต้องมองให้ออกว่าเราเก่งบนเรื่องไหน เราประสบความสำเร็จบนเรื่องไหน ความเก่งและความสำเร็จมันมีบริบทของมันอยู่ ถ้าเพียงแค่ย้ายบริบท เราก็อาจจะไม่เก่ง ไม่ประสบความสำเร็จแล้ว ยกตัวอย่างง่ายๆ น้องทำงานเก่ง น้องประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่ให้น้องไปตัดหญ้าแข่งกับคนสวน เรื่องนี้น้องก็ไม่เก่งแล้วนะ น้องไม่ประสบความสำเร็จในการตัดหญ้าเท่าคนสวนแล้ว

 

เพราะฉะนั้น พี่คิดว่า เวลาเรารู้สึกว่าเราเก่ง จะด้วยจากที่เรารู้สึกมั่นใจจากตัวเอง หรือจากที่คนมาชื่นชมยกย่องเราก็ตาม เราต้องไม่หลงคิดว่าความเก่งนี้ทำให้เราตัวใหญ่คับจักรวาล เรายังต้องบอกตัวเองว่าเราไม่ได้เก่งทุกเรื่อง เราเก่งเป็นเรื่องๆ ไป พอเปลี่ยนเรื่องก็มีคนเก่งกว่าเราได้หมด และต่อให้เป็นเรื่องที่เราเก่ง ถึงอย่างไรก็มีคนเก่งกว่าเราได้เสมอ เพราะฉะนั้น พอมีความรู้สึกว่าเราไม่ได้เจ๋งที่สุดในโลกแบบนี้ อยู่ไว้เบรกอีโก้ตัวเองบ้าง มันจะทำให้เราชื่นชมคนอื่นเป็น และเปิดใจที่จะเรียนรู้ความเก่งจากคนอื่นได้ เราเป็นน้ำไม่เต็มแก้วที่พร้อมจะเรียนรู้ได้เสมอ อย่าไปยึดมั่นกับความสำเร็จของตัวเองมาก ออกไปดูโลกข้างนอก แล้วจะรู้ว่าคนเจ๋งกว่าเรามีเยอะ

 

อีกเรื่องหนึ่งที่พี่อยากเล่าให้ฟัง เผื่อจะเป็นประโยชน์กับน้องก็คือ ตอนที่พี่ได้รับปริญญา พี่ได้เกียรตินิยม พี่กลับมาคิดว่า ทั้งหมดนี้ที่เราเรียนได้เกียรตินิยมมันไม่ใช่แค่มาจากความอุตสาหะของพี่คนเดียว แต่พี่มองเห็น ‘มือที่มองไม่เห็น’ ที่มาช่วยพี่อยู่ มือที่มองไม่เห็นเหล่านั้น ได้แก่ แม่บ้านที่ทำความสะอาดให้พี่ มาดูแลบ้าน ทำให้พี่มีเวลาไปอ่านหนังสือได้เพิ่ม พี่มองเห็นคนขายอาหารที่โรงอาหารมหาวิทยาลัยที่ทำอาหารให้พี่มีแรงไปเรียน พี่มองเห็นคนขับรถเมล์ที่ขับให้พี่ไปเรียนหนังสือ พี่มองเห็นพนักงานร้านถ่ายเอกสารที่ช่วยถ่ายหนังสือเรียนในห้องสมุดให้พี่เอากลับไปอ่าน พี่มองเห็นภาษีของประชาชนคนอื่นๆ ที่ทำให้เกิดมหาวิทยาลัยขึ้นมา ฯลฯ ซึ่งคนเหล่านี้บางคนเขาก็ไม่ได้มีโอกาสเรียนถึงปริญญาอย่างพี่ แต่พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พี่เรียนจนจบ โดยที่พวกเขาไม่เคยทวงถามเครดิตจากพี่ด้วยซ้ำ

 

ตอนที่พี่เรียนจบ พี่ยังได้ไปขอบคุณแม่บ้านของพี่ และบอกเขาว่า เขามีส่วนทำให้พี่เรียนจบ ดูสิ ได้เกียรตินิยมมาฝากด้วย พี่เขียนการ์ดขอบคุณเขาด้วย เขาดีใจมากเลยนะครับที่เขามีความหมาย บางทีเขาอาจจะไม่ได้คิดหรอกว่าการที่เขาทำความสะอาดบ้านให้เราจะทำให้เราเรียนจบ แต่พี่คิดว่าเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องมองให้เห็นความหมาย และเชื่อมโยงให้ได้ว่าสิ่งที่เขาทำมีผลอย่างไรกับเรา เมื่อเรามองเห็นแล้ว เราจะทำสิ่งดีๆ กลับไปให้เขา

 

พี่ยังจำได้ในตอนนั้นหลังจากที่พี่เขียนการ์ดไปขอบคุณแม่บ้านพี่ได้ไม่กี่วัน พี่ก็ได้รับการ์ดที่ฉีกมาจากสมุดเรียนของลูกสาวแม่บ้าน เขียนด้วยลายมือ สะกดผิดสะกดถูกบ้างเท่าที่เขาได้เรียนหนังสือมา แต่ถ้อยคำมันจริงใจและงดงามมากสำหรับพี่ เพราะเขาเขียนจากความรัก

 

พี่ยังดีใจเลยที่ตอนนั้นได้เคยขอบคุณแม่บ้านของพี่ ป่านนี้เขาคงเป็นกำลังใจให้พี่จากบนสวรรค์

 

พี่จำได้ว่าตอนงานศพของแม่บ้านของพี่ ญาติของเขาเล่าให้พี่ฟังว่า การ์ดที่พี่เขียนขอบคุณเขานั้น เขาเก็บรักษามันอย่างดีที่สุด พี่ยังขออนุญาตเผาการ์ดฉบับนั้นไปพร้อมกับโลงศพ เผื่อว่าเขาจะได้เก็บไปอ่านบนสวรรค์บ่อยๆ เวลาที่คิดถึงกัน

 

เรื่องที่พี่จะบอกก็คือ เราต้องมองให้เห็น ‘มือที่มองไม่เห็น’ เหล่านี้ให้ได้ และรู้สึกขอบคุณพวกเขาที่มีส่วนช่วยทำให้เราประสบความสำเร็จ เราไม่ได้เก่งเพราะตัวเราได้คนเดียว แต่มาจากมือที่มองไม่เห็นเหล่านี้คอยอุ้มชูเราอยู่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ถ้ามีโอกาส ทำดีกับพวกเขานะครับ อย่าเหยียดหยามพวกเขา ขอบคุณพวกเขาจากใจจริง

 

บางทีน้องจะได้พบว่า การมองเห็นคุณค่าของคนที่ไม่มีใครมองเห็นนั้นมันมีความหมายกับพวกเขาแค่ไหน

 

และนั่นแหละครับที่จะทำให้น้องมีความหมาย

 

ส่งคำถามดราม่าในที่ทำงานที่คุณสงสัยมาได้ที่อีเมล [email protected] หรืออินบ็อกซ์ไปที่ FB: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์ 

 

ภาพประกอบ: Nisakorn Rittapai

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising