×

บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ ทบทวนชีวิตปี 2017 หลังผ่านความสำเร็จจาก ฉลาดเกมส์โกง

10.01.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

4 Mins read
  • บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ เป็นหนึ่งในผู้กำกับภาพยนตร์ไทยรุ่นใหม่ที่ถูกโฟกัสมากที่สุดคนหนึ่งของปี 2017 หลังจาก ฉลาดเกมส์โกง หนังยาวเรื่องที่สองในชีวิตของเขาประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นทั้งในแง่รายได้และเสียงชื่นชมจากคนดูหนังทั่วโลก
  • หลังผ่านความสำเร็จอย่างสูงจากปี 2017 ผู้กำกับหนุ่มย้ำว่าเขายังคงเป็น ‘คนเดิม’ และจะคอยตีมือเตือนสติตัวเองอยู่เสมอว่าอย่าเหลิงและหลงไปกับชื่อเสียงหรือความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อปีที่ผ่านมา

สำหรับ บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ ปฏิเสธไม่ได้ว่า 2017 เป็นปีที่ประสบความสำเร็จในฐานะคนทำหนัง หลังจาก ‘ฉลาดเกมส์โกง’ หนังยาวเรื่องที่สองในชีวิตกวาดทั้งรายได้และเสียงชื่นชมจากคนดูในหลายประเทศทั่วโลก

 

แน่นอนว่านอกจากเป็นก้าวที่สำคัญ เต็มไปด้วยหลายฉาก หลากแง่มุมประทับใจให้จดจำ แต่อีกแง่หนึ่งเขาก็บอกด้วยว่า ‘ความสำเร็จ’ นั้นเต็มไปด้วยเหลี่ยมมุมที่ต้องเรียนรู้และระมัดระวัง สำคัญที่สุดในช่วงก่อนก้าวเข้าสู่ปีใหม่ บาสค้นพบว่าแท้จริงแล้ว ‘ความสุข’ ในชีวิตปี 2017 ของเขานั้นไม่ใช่เรื่องราวใหญ่โต แต่เป็นเพียงโมเมนต์เล็กๆ ที่ประกอบอยู่ในจังหวะชีวิตในวันแสนธรรมดาของเขาเท่านั้นเอง

 

 

Capture One: มิตรภาพ

ภาพแรกเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับหนัง ฉลาดเกมส์โกง ซึ่งเราพูดถึงมันเยอะมากในปีนี้ แต่มีมุมหนึ่งที่ยังไม่ค่อยได้เล่าให้ฟังคือปกติเวลาถ่ายหนังเสร็จแล้วอิดิเตอร์ไปตัดงานร่างแรก GDH จะต้องมีรอบเทสต์ เป็นรอบที่เปิดโอกาสให้ผู้บริหารและทีมงานดู มันคือฟีดแบ็กแรกที่เราจะได้จากคนดู ถึงแม้จะเป็นกลุ่มคนดูที่อาจจะรู้เรื่องหนังมาก่อนก็จริง แต่ส่วนมากทุกคนจะดูอย่างนักดูหนังจริงๆ ซึ่งเราจะลุ้นมาก ตื่นเต้นมากว่าไอ้สิ่งที่เราทำมาทั้งหมดกับอิดิเตอร์มาทั้งหมดมันจะออกมาเป็นยังไงวะ

 

หนึ่งในคนที่เข้ามาดูในวันนั้นคือ พี่ตั้ม-วีรชัย ใหญ่กว่าวงศ์ เขาคือโปรดิวเซอร์ที่ปกติช่วงถ่ายทำผมจะตีกับเขาบ่อยมาก เหวี่ยงกันไปมา ตีกันเรื่องงบประมาณ เรื่องคิวถ่าย แต่เราตีกันด้วยเรื่องงานล้วนๆ เลยนะ

 

ผมกับพี่ตั้มเราปิดห้องคุยกันไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ผมเองเคยมีระบบการทำงานโฆษณาอีกแบบหนึ่ง พอทำงานกับเขาซึ่งมีระบบการทำงานอีกแบบหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วต่อให้ปิดห้องคุยกันบ่อยขนาดไหน แต่มันไม่เคยพัง เพราะลึกๆ แล้วเราต่างรู้ว่าทั้งสองฝ่ายแม่งอยากทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เพื่อให้งานออกมาดีที่สุด นี่คือสิ่งที่เรารู้กันและกัน

 

กลับมาที่รอบฉายหนัง วันนั้นพอฉายจบ พี่ตั้มออกมาคนแรก แม่งเดินมามองหน้าแล้วก็กอดผมแน่นมาก (หัวเราะ) กอดเสร็จก็บอกว่า “เหี้ยบาส กูขอกอดมึงหน่อย กูขอบคุณมากที่มึงทำหนังเรื่องนี้ออกมาแล้วกูได้เข้ามามีส่วนร่วม” สำหรับผม พี่ตั้มเป็นคนที่จริงใจที่สุดคนหนึ่งเลยนะ เขาเป็นคนรู้สึกยังไงก็พูดอย่างนั้น แล้วพอเขาพูดออกมาแบบนั้น เออว่ะ แค่นี้ก็แฮปปี้แล้ว ไม่ว่าผลลัพธ์ของมันจะเป็นยังไง แต่ประทับใจ มันคือโมเมนต์ที่เป็นเหมือนรางวัลแรกสำหรับผมเลย เพราะมันคือการทำให้ทีมงานรู้สึกว่าเวลาที่เขาเสียไป แรงงานที่เขาเสียไป มันไม่เหนื่อยเปล่า

 

 

Capture Two: ความรัก

เรื่องนี้อาจจะมุ้งมิ้งหน่อยนะ คือเรื่องแฟน (ขิม-จุฬารัตน์ หาญรุ่งโรจน์ นางแบบและนักแสดง) ปีที่ผ่านมาขิมมีผลงานหนังไทยที่เขาเล่นเป็นนางเอก (You & Me XXX เมื่อฉันกับเธอ XXX) ผมก็รู้แหละว่าเขาออกไปกองถ่าย พอถ่ายหนังเสร็จ คิวโปรโมตหนังก็จะชนกับงานหนังของผมอยู่หน่อยๆ หรืออย่างรอบสื่อมวลชนของหนังที่เขาแสดง ผมก็ไม่อยู่ด้วยซ้ำ เพราะต้องไปเดินสายโปรโมตหนัง ฉลาดเกมส์โกง สุดท้ายเราก็เลยหาเวลาไปดูหนังของเขากันสองคน ซึ่งความรู้สึกที่ได้เห็นหน้าของเขาในจอภาพยนตร์ครั้งแรก เห็นการแสดง เห็นความสำเร็จที่เป็นชิ้นเป็นอันของเขา สำหรับผมมันรู้สึกภูมิใจเหมือนกันนะ เพราะพอคนคบกัน เราก็ไม่เคยรู้ว่าเขามีความสามารถในการแบกรับบทบาทการแสดงได้ดีขนาดนี้เลยเหรอ โมเมนต์ตรงนั้นเลยไม่นึกไม่ฝันว่าเราจะเดินทางมาถึงจุดนี้ด้วยกันทั้งคู่

 

พูดตามตรง คนภายนอกที่ไม่รู้เขาจะเห็นว่าผมเป็นผู้กำกับหนัง ขิมเป็นดารา เป็นนักแสดง แต่เวลาอยู่ด้วยกันสองคน เราคือแฟนกัน ผมอยู่คอนโดฯ ห้องเล็กๆ ทำงานกลับบ้านมาเหนื่อยๆ บางทีอยากกินส้มตำปลาร้าก็ชวนกันเรียกมอเตอร์ไซค์รับจ้างออกไปซื้อมากินกัน วันไหนผมเหนื่อย ขิมปอกผลไม้ให้กิน ขนผ้าไปซักให้ มันคือชีวิตธรรมดาที่เราประคับประคองมาเรื่อยๆ ด้วยกันตลอด บางทีชีวิตมันไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นชีวิตที่พิเศษ หวือหวา ทำงานมันก็เหนื่อย หรือบางทีมีเรื่องอะไร เราต่างก็ระบายให้กันและกันฟัง อาจจะมีตีกันบ้าง แต่ก็ดูแลกันมาจนถึงจุดนี้

 

 

Capture Three: ครอบครัว

ผมเพิ่งเปิดออฟฟิศใหม่เมื่อไม่นานนี้ร่วมกับเพื่อนของผม ชื่อว่า Houston Film ตอนนี้เสร็จแล้วก็หายเหนื่อยไปเยอะ แล้วล่าสุดวันที่ทำบุญเลี้ยงพระ มันเป็นการรวมตัวกันของบรรดาเพื่อนๆ โดยเฉพาะกับ พี่แมน-อมร นิลเทพ ซึ่งเป็นพาร์ตเนอร์ของผม เราสองคนรู้จักกันมาสิบกว่าปีแล้ว เจอกันครั้งแรกในครัวของร้านอาหารที่เราเคยเป็นพนักงานเสิร์ฟด้วยกันที่นิวยอร์ก ตอนนั้นเขายังเป็นหนุ่มโสดที่หล่อที่สุดประจำนิวยอร์ก ส่วนทุกวันนี้เขากลายเป็นคุณพ่อลูกสอง แล้วลูกเขาก็กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผมอีกที

 

มิตรภาพของเรามันเหมือนเป็นตัวแทนของคนสองคนที่เริ่มต้นจากการไม่มีอะไรเลย ทำงานก๊อกๆ แก๊กๆ กำไรหลักพันกันมาเรื่อยๆ จนวันนี้ที่ทุกอย่างมันดูเป็นรูปเป็นร่าง มีอีกหลายชีวิตเข้ามาเกี่ยวข้อง

 

 

วันนี้เราเห็นภาพเด็กๆ หลานๆ อย่างลูกพี่แมน น้องลาล่า ลูกของร่ม (ร่มฉัตร ธนาลาภพิพัฒน์ แอ็กติ้งโค้ชการแสดง) และไอ้เคน หลานผมมาเล่นด้วย ผมว่ามันเป็นสเปซส่วนตัวเล็กๆ ที่เราสร้างมาด้วยกัน การได้นั่งดูเด็กๆ นั่งตกแต่งต้นคริสต์มาสด้วยกัน ภาพแบบนี้แล้วรู้สึกว่ามันดีเหมือนกันว่ะ เพราะความจริงชีวิตมันก็แค่นี้เองนะ

 

อย่างตอนแรกผมพยายามนึกถึงภาพประทับใจ ซึ่งความจริงตลอดปีที่ผ่านมามันมีข้อดีหลายมุมที่เกิดขึ้น อย่างตอนไปเทศกาลหนังก็ประทับใจ ตอนเจอดาราคนโน้นคนนี้ก็ประทับใจ หนังได้รางวัลก็ประทับใจ แต่สุดท้ายแล้วหมุดหมายในความรู้สึกของเราจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องพวกนั้นว่ะ คือมันเป็นอะไรที่เล็กน้อยกว่านั้น แต่มันก็สำคัญเหมือนกัน ทุกวันนี้ความสุขที่ผมค้นพบมันเลยเล็กพอๆ กับไฟต้นคริสต์มาสนี่เอง

 

 

The Experience: บทเรียนจากการประสบความสำเร็จ

ความสำเร็จมันทำให้เราเข้าใจคนเยอะขึ้น คือความสำเร็จมันเป็นสิ่งหอมหวานนะ ความสำเร็จมันเป็นเหมือนแม่เหล็กที่ดึงดูดคนให้เข้ามา บางคนเราไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน บางคนเขาอยู่ใกล้ๆ เรานี่แหละ แต่ก่อนหน้านั้นก็ไม่เคยให้ความสำคัญกับเรา แต่พอหนังมันประสบความสำเร็จ บางคนก็มีท่าทีที่เปลี่ยนไป เข้าหาเรามากขึ้นด้วยอะไรบางอย่าง
สุดท้ายกลายเป็นว่าความสำเร็จมันไม่ได้ทำให้ผมเปลี่ยน แต่มันทำให้คนรอบข้างเปลี่ยน ทุกวันนี้ผมก็ยังไปกินข้าวที่โลตัสเหมือนเดิม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นมันก็เป็นเครื่องพิสูจน์อะไรได้หลายๆ อย่างเหมือนกัน เช่น ในความรู้สึกเราตอนนี้ ความสำเร็จแม่งก็เป็นสิ่งอันตรายเหมือนกัน คือมันง่ายมากต่อการหลงระเริงกับมัน แล้วคิดว่าทุกอย่างดีแล้ว เราประสบความสำเร็จแล้ว เก่งที่สุดแล้ว ซึ่งผมจะคอยตีมือตัวเองอยู่ตลอดว่าอย่าหลงระเริง อย่าเปลี่ยน

 

ข้อดีของความสำเร็จคือมันอาจจะเอื้อประโยชน์บางอย่างให้กับเราได้ เช่น เวลาคิดงาน ลูกค้าอาจจะเชื่อเรามากขึ้น แต่ก็อย่าไปหลงระเริงว่า อ๋อ เพราะกูเก่ง ผมคิดแค่ว่าเราโชคดีแค่ไหนแล้วที่สุดท้ายเราไม่ต้องมานั่งอธิบาย หรือต้องนั่งไฟต์กับลูกค้า แล้วเราก็ยังสามารถทำงานที่เราเชื่อว่ามันจะดีที่สุด

 

 

Make a Wish for 2018
ผมอยากได้เวลามากขึ้น ตอนนี้เวลา 80% ของชีวิตคือการทำงานหมด ผมอยากมีเวลาพักผ่อนเพื่อให้เรามีแรงขับรถพาป๊า พาแม่ไปเที่ยวต่างจังหวัด มีเวลาอยู่กับหลานมากขึ้น อยู่กับแฟนมากขึ้น หรือพาลูกน้องไปกินเบียร์ แต่ทุกวันนี้มันมีเวลาแบบนั้นน้อยมาก แค่ทำงานแต่ละวันก็หมดเวลาแล้ว เข้าใจว่ามันเป็นธรรมดามั้ง ความสำเร็จมันมีเรื่องที่ต้องแลกมา แต่ก็หวังว่ามันจะไม่ต้องแลกในเวลาที่นานเกินไป

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising