แม้ว่าธนาคารในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ยังไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตในภาคธนาคารฝั่งตะวันตก อย่างไรก็ตาม ธนาคารหลายแห่งในอาเซียนกลับกำลังเผชิญกับความเสี่ยงด้านสินเชื่อ และส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยรับ-จ่ายสุทธิ (NIM) ที่จ่อลดลง ท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน
ขณะที่ธนาคารหลายแห่งในสหรัฐฯ และยุโรป กำลังประสบปัญหาการไหลออกของเงินฝาก หรือราคาหุ้นตกต่ำ หลังจากธนาคารกลางเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อสกัดการเพิ่มขึ้นอัตราเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ บรรดาธนาคารในอาเซียนยังไม่มีสัญญาณที่ชัดเจนว่ากำลังประสบปัญหาในลักษณะเดียวกันกับธนาคารฝั่งตะวันตก
กระนั้น ในรายงานของหน่วยวิจัยของ HSBC เมื่อเดือนที่แล้ว ยังระบุถึง ‘ช่องโหว่ความเปราะบาง’ ภายในภาคธนาคารในอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ
ตัวอย่างเช่น ในประเทศไทย คาดว่าจะเห็นสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) สำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) พุ่งขึ้นสู่ระดับวิกฤตการเงินโลก (Global Financial Crisis-Levels) ควบคู่ไปกับหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น
โดยรายงานยังระบุว่า ธนาคารในฟิลิปปินส์ NPL โดยรวมยังคงสูงที่สุดในบรรดาธนาคารในอาเซียน ขณะที่ธนาคารเวียดนามยังคงมีความล่าช้าในแง่ของการปฏิรูปภาคธนาคารอยู่
สิงคโปร์เตรียมเผชิญปัญหาส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ทรุด!
ขณะที่หลายธนาคารในสิงคโปร์ ไม่ว่าจะเป็น DBS Group Holdings และ United Overseas Bank (UOB) ซึ่งเป็นหนึ่งในธนาคารรายใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้ได้พลิกฟื้นผลกำไรเป็นประวัติการณ์เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ก็ยังมีความกังวลต่ออนาคตข้างหน้า
DBS ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หากพิจารณาจากสินทรัพย์ทั้งหมด เพิ่งรายงานเมื่อช่วงต้นเดือนพฤษภาคมว่า กำไรสุทธิในไตรมาสแรกของปีนี้ (มกราคม-มีนาคม) เพิ่มขึ้น 43% จากปีก่อนหน้า อยู่ที่ 2.57 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (หรือกว่า 6.5 หมื่นล้านบาท)
อย่างไรก็ตาม Piyush Gupta ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของ DBS กลับกล่าวเตือนว่า ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) เป็นเครื่องชี้ที่สะท้อนความสามารถในการหารายได้ของธนาคารพาณิชย์ จากส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยรับ (ซึ่งมีองค์ประกอบที่สำคัญคือ ปริมาณเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้) และดอกเบี้ยจ่าย อาจลดลงในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ส่วนหนึ่งมาจากต้นทุนเงินฝากคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ โดยทั่วไปแล้วธนาคารในสิงคโปร์จะปฏิบัติตามนโยบายอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในการกำหนดดอกเบี้ยเงินกู้
โดย UOB ดูเหมือนจะเผชิญปัญหา NIM ลดลงแล้ว หลังจากเมื่อเดือนที่แล้ว ธนาคารได้รายงานกำไรสุทธิ 1.51 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในไตรมาสแรก เพิ่มขึ้น 67% เมื่อเทียบจากปีก่อน อย่างไรก็ตาม NIM ของ UOB ลดลง 0.08% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยอยู่ที่ 2.14%
ขณะที่ธนาคารอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็กำลังกังวลเกี่ยวกับหนี้สูญ (Bad Debt) เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นกดดันผู้กู้ที่พยายามชำระคืนเงินกู้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- เกิดอะไรขึ้นกับ ‘ฮ่องกง’ ทำไมสถานะ ‘ศูนย์กลางทางการเงินของเอเชีย’ กำลังถูกสั่นคลอน และอาจกลายเป็นแค่อดีต
- ส่องกรณีศึกษาการเติบโตของ เศรษฐกิจสิงคโปร์ ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่รออยู่ข้างหน้า
- เปิดจุดเด่น เวียดนาม หลังจ่อขึ้นแท่นประเทศที่คว้าชัยในยุค Deglobalization
อ้างอิง: