×

กทม. เตรียมปรับแผนโควิดใหม่ เหลือขั้นป้องกัน-เฝ้าระวัง และคาดการณ์เป็นปีของการระบาดโรคไข้เลือดออก

โดย THE STANDARD TEAM
01.09.2022
  • LOADING...
แผนโควิด

วานนี้ (31 สิงหาคม) ที่ห้องนพรัตน์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 10/2565 ใน 3 ประเด็นหลัก

 

ประเด็นที่ 1 การเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์โควิด เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ในที่ประชุมสำนักอนามัยได้รายงานสถานการณ์โควิดใน กทม. ยังมีแนวโน้มพบผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วยกำลังรักษา ผู้ป่วยหนัก ผู้เสียชีวิตจากโรคโควิดคงตัว ขณะที่ผู้ป่วยเสียชีวิตยังเป็นกลุ่มผู้สูงวัยอายุ 70 ปีขึ้นไป 

 

ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด หรือได้รับวัคซีนไม่ครบตามเกณฑ์ และมีประวัติโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น ผู้ป่วยไตวายระยะเรื้อรังที่ต้องได้รับการบำบัดทดแทนไต (ฟอกไต) ผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ และผู้ป่วยปลูกถ่ายไขกระดูก จำเป็นต้องเร่งให้ผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำติดต่อเข้ารับการฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป หรือ Long Acting Antibody (LAAB) เสริมภูมิคุ้มกันโควิดโดยเร็ว 

 

ซึ่งในส่วนของ กทม. ได้รับจัดสรร LAAB จำนวน 890 โดส โดยสำนักอนามัยกระจายให้โรงพยาบาลเอกชนและสังกัดอื่นๆ จำนวน 200 โดส กรมการแพทย์กระจายให้โรงพยาบาลในสังกัด จำนวน 200 โดส และ UHosNet กระจายให้โรงพยาบาลในสังกัด จำนวน 490 โดส โดยดำเนินการฉีดไปแล้ว จำนวน 254 โดส คิดเป็นร้อยละ 28.54 

 

สำหรับการเตรียมความพร้อมด้านยารักษาโควิด รองรับการเข้าสู่ระยะหลังการระบาดใหญ่นั้น ทางกระทรวงสาธารณสุขได้สนับสนุนยาต้านไวรัส ทั้งโมลนูพิราเวียร์และฟาวิพิราเวียร์ให้กับ กทม. อย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของ กทม. ได้ดำเนินการจัดซื้อยาต้านไวรัสเองด้วย เพื่อให้การบริหารจัดการยาเพียงพอสำหรับผู้ป่วยในพื้นที่กรุงเทพฯ 

 

ด้าน ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า การประชุมวันนี้เป็นการเตรียมพร้อมในเดือนกันยายน-ตุลาคม ซึ่งจะมีการเปลี่ยนสถานะโควิด จากโรคติดต่ออันตรายไปสู่โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังในวันที่ 1 ตุลาคม ซึ่งในช่วงเดือนกันยายนจะเป็นช่วงที่ กทม. เตรียมพร้อมขั้นตอนปฏิบัติต่างๆ เช่น การรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อ การเฝ้าระวัง แผนการเปลี่ยนผ่าน และแผนรองรับการระบาด ซึ่งหลังจากเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง อาจมีการผ่อนคลายมาตรการ ทำให้อาจจะมีจำนวนผู้ติดเชื้อมากขึ้น 

 

รวมทั้งข้อปฏิบัติที่ต้องสื่อสารกับสาธารณะอย่างชัดเจนว่า เมื่อเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง การปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคส่วนบุคคล (Universal Prevention: UP) และมาตรการปลอดภัยสำหรับองค์กร (COVID-FREE Setting) ยังต้องถือปฏิบัติอยู่โดยเคร่งครัด 

 

ทางโรงพยาบาลและศูนย์บริการสาธารณสุขจะเร่งฉีดวัคซีนให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ภาวะฟื้นฟู ในส่วนของการให้บริการวัคซีนโควิดของ กทม. ยังเปิดให้บริการทุกจุด โดยสามารถ Walk-in และรับบริการผ่านการนัดหมาย สำหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง หรือผู้ที่เดินทางยากลำบาก สามารถติดต่อศูนย์บริการสาธารณสุขใกล้บ้าน ซึ่งจะมีทีมเชิงรุกเข้าไปให้บริการวัคซีน ปัจจุบันตัวเลขผู้ฉีดวัคซีนในกลุ่ม 608 เข็มกระตุ้นอยู่ที่ 69% ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานของประเทศ 

 

ด้านชัชชาติกล่าวเสริมว่า สถานการณ์โรคดีขึ้น แต่สำหรับกลุ่ม 608 ไม่ได้ดีขึ้น ยังมีความเสี่ยงสูง มีการเสียชีวิตและใส่เครื่องช่วยหายใจอยู่ ดังนั้นจึงต้องไปรับวัคซีนเข็มกระตุ้น หากฉีดเข็มล่าสุดเกิน 4 เดือนแล้ว ซึ่ง กทม. ยังพร้อมให้บริการตลอด ทั้งโรงพยาบาล ศูนย์บริการสาธารณสุข และศูนย์ฉีดวัคซีน กทม. อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชน กทม. (ไทย-ญี่ปุ่น) เขตดินแดง 

 

ในประเด็นที่ 2 สำหรับสถานการณ์โรคฝีดาษลิงในประเทศไทย ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อยืนยัน 7 ราย เป็นผู้ป่วยยืนยันใน กทม. 3 ราย ในพื้นที่เขตบางพลัด คลองเตย และบึงกุ่ม โดยสำนักอนามัยได้ลงพื้นที่ดำเนินการสอบสวนโรค และให้คำแนะนำผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยสงสัยเกี่ยวกับการสังเกตอาการ หากมีอาการให้แจ้งศูนย์บริการสาธารณสุขทันที และติดตามอาการผู้สัมผัสเสี่ยงสูงจนครบ 21 วัน 

 

ประเด็นที่ 3 ขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามมาตรการ 5 ป. ป้องกันโรคไข้เลือดออก จากข้อมูลในพื้นที่ กทม. มีข้อมูลผู้ป่วยสะสมตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม – 20 สิงหาคม จำนวน 1,766 ราย ผู้ป่วยสะสม (รายเดือน) ตั้งแต่วันที่ 1-20 สิงหาคม จำนวน 333 ราย ผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นของสัปดาห์นี้ (สัปดาห์ที่ 33) เพิ่มขึ้น 155 ราย 

 

ด้าน พญ.ป่านฤดี มโนมัยพิบูลย์ กล่าวว่า ในปีนี้มีการคาดการณ์ว่าจะเป็นปีของการระบาดโรคไข้เลือดออกในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งทาง กทม. ได้มีการดำเนินงานโดยแจ้งทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการ ทั้งโรงเรียน สถานพยาบาล ชุมชนต่างๆ ให้ปฏิบัติตามมาตรการ 5 ป. ประกอบด้วย ปิด เปลี่ยน ปล่อย ปรับปรุง ปฏิบัติ แหล่งน้ำทั้งหมดต้องดูแลกำจัดลูกน้ำยุงลายให้หมดไป เพื่อไม่ให้เกิดตัวแก่ 

 

ซึ่งความร่วมมือที่เกิดขึ้นทำให้ตัวเลขผู้ป่วยไข้เลือดออกย้อนหลัง 5 ปีลดลง ในส่วนของการฉีดพ่นหมอกควันจะใช้ในกรณีที่มีโรคเกิดขึ้นแล้ว หรือมีการเสียชีวิตเกิดขึ้น เพื่อจะไปควบคุมตัวแก่ที่มีเชื้อโรคแล้ว จะไม่พ่นทั่วไป โดยจะใช้มาตรการที่จัดการกับลูกน้ำยุงลาย

 

ทั้งนี้ ขอความร่วมมือประชาชนให้ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไข้เลือดออก

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising