×

สภา กทม. ผ่านวาระ 1 ‘ร่างข้อบัญญัติพื้นที่สีเขียว’ กำหนดทุกอาคารสร้าง-ซ่อม-ต่อเติมใหม่ ต้องมีพื้นที่สีเขียว 50% ของพื้นที่ว่างนอกอาคาร

โดย THE STANDARD TEAM
05.07.2023
  • LOADING...
สภากรุงเทพ

วันนี้ (5 กรกฎาคม) ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เขตดินแดง สภากรุงเทพมหานคร (กทม.) จัดประชุมสภา กทม. สมัยสามัญ ครั้งที่ 1 ประจำปี 2566 โดยมีการพิจารณาลงมติที่สำคัญต่อร่างข้อบัญญัติ กทม. เรื่องกำหนดลักษณะของอาคารและพื้นที่ว่างนอกอาคาร เพื่อการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม (ร่างข้อบัญญัติพื้นที่สีเขียว) ซึ่งเสนอขึ้นโดย พุทธิพัชร์ ธันยาธรรมนนท์ สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เขตยานนาวา พรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นวาระที่ยกยอดมาจากการประชุมสภา กทม. สมัยก่อนหน้านี้

 

จากหลักการและเหตุผล ประกอบกับคำอภิปรายของสมาชิกผู้เสนอร่างที่ได้อภิปรายไปในการประชุมสมัยก่อนหน้านี้ ชี้ว่า ในปัจจุบันกรุงเทพมหานครประสบปัญหาขาดแคลนพื้นที่สีเขียว เมื่อเทียบกับค่ามาตรฐานที่องค์การสหประชาชาติประกาศกำหนด แม้กรุงเทพมหานครและหน่วยงานของรัฐอื่นจะตั้งงบประมาณเพื่อก่อสร้างปรับปรุงสวนทุกปี แต่กรุงเทพมหานครก็ยังมีสัดส่วนพื้นที่สีเขียวไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร จึงได้เสนอร่างข้อบัญญัติฉบับนี้ขึ้นมา

 

โดยร่างข้อบัญญัติพื้นที่สีเขียวจะกำหนดให้ผู้ที่จะสร้าง ซ่อมแซม หรือต่อเติมอาคารใหม่ จะต้องมีพื้นที่สีเขียวคิดเป็น 50% ของพื้นที่ว่างนอกอาคาร ตามที่กฎหมายควบคุมอาคารกำหนดให้พื้นที่บ้านอยู่อาศัย 100 ตารางเมตร ต้องมีพื้นที่ว่าง 30 ตารางเมตร ส่วนตึกแถว สำนักงาน และทาวน์เฮาส์ กำหนดให้ 10% ของพื้นที่ต้องเป็นพื้นที่ว่าง

 

ดังนั้น ผลของข้อบัญญัตินี้ เช่น บ้านอยู่อาศัย 100 ตารางเมตร มีพื้นที่ว่าง 30 ตารางเมตร และจะมีพื้นที่สีเขียว 15 ตารางเมตรนอกอาคาร ส่วนตึกแถว สำนักงาน และทาวน์เฮาส์ 100 ตารางเมตร จะมีพื้นที่ว่าง 10 ตารางเมตร ต้องมีพื้นที่สีเขียว 5 ตารางเมตรนอกอาคาร เป็นต้น

 

จากการอภิปรายโดยพุทธิพัชร์ ในการประชุมสภา กทม. สมัยก่อนหน้านี้ ระบุว่า ที่ผ่านมา ส.ก. พรรคก้าวไกลได้นำเสนอข้อบัญญัติรถเมล์ไฟฟ้ามาแล้ว โดยได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกสภา กทม. ทุกคนเป็นอย่างดี และได้เสนอร่างข้อบัญญัติพื้นที่สีเขียวต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพิ่มพื้นที่สีเขียวมาดักจับฝุ่นควัน ลดอุณหภูมิในกรุงเทพมหานคร และเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชน

 

พุทธิพัชร์ระบุต่อว่า ทุกคนอยากให้เกิดพื้นที่สีเขียวในกรุงเทพมหานครทั้งนั้น ในหลายๆ ประเทศมีการกำหนดพื้นที่สีเขียวอยู่ที่ 9 ตารางเมตรต่อคน แต่โดยข้อเท็จจริงแล้วกรุงเทพมหานครสามารถทำได้แค่ 7 ตารางเมตรต่อคนเท่านั้น และแม้ที่ผ่านมาจะมีคำสั่ง กทม. ให้เพิ่มพื้นที่สีเขียว แต่ผลที่เกิดขึ้นคือสำนักงานเขตต่างๆ ทำได้เพียงไปปลูกต้นไม้ที่เกาะกลางถนน หรือปลูกไม้เลื้อยจนทางเดินเท้าเสียหาย หรือนำถุงต้นกล้าไปวางไว้ใต้สะพานทางด่วน ซึ่งไม่สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด

 

ด้วยเหตุนี้ ตนและ ส.ก. พรรคก้าวไกล จึงขอร่วมกันเสนอร่างข้อบัญญัติพื้นที่สีเขียว ซึ่งจะเป็นการบังคับใช้ต่อเฉพาะผู้ที่สร้าง ซ่อมแซม และต่อเติมใหม่ ไม่รวมถึงตึกเก่าและอาคารที่มีอยู่แล้ว และไม่เป็นการขัดต่อกฎหมายที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบันคือ พ.ร.บ.ผังเมืองรวม และ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร แต่อย่างใด เพราะเป็นการบังคับให้เพิ่มพื้นที่สีเขียวในพื้นที่ว่างที่แต่ละอาคารจะต้องมีอยู่แล้ว ตามที่กฎหมายระดับ พ.ร.บ. กำหนดไว้

 

ซึ่งทั้งหมดนี้จะมุ่งเน้นให้เกิดผลบังคับใช้กับอาคาร ที่อยู่อาศัย คอนโด และหมู่บ้านจัดสรร ที่จะมีการสร้างขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะเป็นการกำหนดกฎหมายออกมาได้อย่างตรงประเด็น ไม่ต้องหาทางอ้อมเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวเหมือนที่ผ่านมาอีก

 

“กฎหมายเพิ่มพื้นที่สีเขียวฉบับนี้จะเป็นมาตรการเชิงรุก เพื่อปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของพี่น้องประชาชน และจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้สมาชิกและสภาต่างๆ ทั่วประเทศไทย ในการเสนอข้อบัญญัติเพื่อดูแลสิทธิขั้นพื้นฐานด้านสุขภาพของพี่น้องประชาชนทุกคน” พุทธิพัชร์กล่าว

 

โดยการประชุมวันนี้มีสมาชิกสภา กทม. จากพรรคต่างๆ อภิปรายให้การสนับสนุนร่างข้อบัญญัติพื้นที่สีเขียว โดยบางส่วนระบุว่าต้องมีการพิจารณาให้ดีว่าร่างข้อบัญญัติดังกล่าวจะไปขัดแย้งกับกฎหมายใหญ่หรือไม่ ในขณะที่ผู้อภิปรายบางรายมีความกังวลว่าอาจทำให้ผู้ใช้อาคารมีความลำบากมากขึ้น มีนิยามที่ยังไม่ครอบคลุม และหลายข้อยังต้องมีการตีความ อาจส่งผลในทางปฏิบัติได้

 

ในส่วนของพุทธิพัชร์ได้อภิปรายยืนยันต่อที่ประชุมว่า ข้อบัญญัติฉบับนี้ไม่ขัดต่อกฎหมายระดับ พ.ร.บ. แต่อย่างใด และเป็นการยกมาจาก พ.ร.บ. ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ที่เสนอในวันนี้เป็นเพียงร่างเท่านั้น หลังตั้งคณะกรรมการพิจารณาแล้วจะมีการปรับปรุงรายละเอียดโดยหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อนำเข้าสู่สภา กทม. ในวาระต่อไป

 

หลังจากนั้นจึงได้มีการลงมติในวาระที่ 1 ซึ่งผลการลงมติมีผู้เห็นชอบทั้งสิ้น 31 คน งดออกเสียง 2 คน และให้มีการตั้งคณะกรรมการวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างข้อบัญญัติฯ จำนวน 17 คน เพื่อดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมร่างข้อบัญญัติดังกล่าวต่อไป

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising