×

จับตาก้าวต่อไป ‘บางจาก’ หลังผู้ถือหุ้น 99% ไฟเขียวดีลซื้อ ‘เอสโซ่’ ลุยปรับโฉมโลโก้ปั๊มใหม่ทั่วประเทศ

12.04.2023
  • LOADING...
บางจาก เอสโซ่

จับตาก้าวต่อไป บทใหม่ของ ‘บางจาก’ หลังผู้ถือหุ้น 99% ไฟเขียวดีลซื้อเอสโซ่คาดปิดดีลได้ภายในสิ้นปี เตรียมออกหุ้นกู้ 8 หมื่นล้านบาท ลุยปรับโฉมปั๊มใหม่ทั่วประเทศ ไตรมาส 2 พร้อมขยายกำลังการผลิตโรงกลั่น ย้ำแนวโน้มการใช้น้ำมันยังสูงไปอีก 15 ปี ยืดอายุธุรกิจโรงกลั่นได้อีกนาน แต่จะทำควบคู่กับไฮโดรเจนและพลังงานสะอาดเพื่อความยั่งยืน

 

ชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น หรือ BCP เปิดเผยว่า ที่ประชุมผู้ถือหุ้นบริษัทเมื่อวานนี้ (11 เมษายน 2566) ได้มีมติเห็นชอบในทุกวาระ รวมถึงวาระการเข้าซื้อหุ้น ด้วยคะแนนเสียง 99.85% โดยบางจากจะดำเนินการซื้อหุ้นคิดเป็น 65.99% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของเอสโซ่จาก ExxonMobil ภายหลังจากได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า ( กขค.) เป็นที่เรียบร้อย หลังจากนั้นจะดำเนินการทำคำเสนอซื้อหุ้นเอสโซ่ โดยมั่นใจว่าการทำธุรกรรมครั้งนี้จะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2566 อีกทั้งการประชุมครั้งนี้ที่ประชุมได้อนุมัติจัดสรรกำไรเพื่อจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปี 2565 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 1.00 บาท ซึ่งเมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกของปี 2565 ในอัตรา 1.25 บาทต่อหุ้น จะรวมเป็นเงินปันผลที่จ่ายในปี 2565 ในอัตรา 2.25 บาทต่อหุ้น

 

“ในที่ประชุมมีผู้ถือหุ้นที่ไม่เห็นด้วยเพียงไม่กี่คะแนนเท่านั้น ทำให้คะแนนการอนุมัติให้เข้าซื้อเอสโซ่ถือว่าเป็นคะแนนที่สูงมาก โดยเชื่อว่าผู้ถือหุ้นทุกคนดีใจและภูมิใจที่เอสโซ่เข้ามาเป็นของคนไทยจริงๆ ทั้งโรงกลั่นและปั๊มน้ำมัน ซึ่งโรงกลั่นของบางจากมีประสิทธิภาพ ได้มาตรฐาน และมีความปลอดภัย ซึ่งต้นทุนในการกลั่นอยู่ในระดับต่ำมาก สะท้อนถึงการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพเสริมกัน” ชัยวัฒน์กล่าว

 

ทยอยปรับโฉมปั๊มน้ำมันช่วงไตรมาส 2

 

เขากล่าวว่า ขณะนี้ ความคืบหน้าได้ดำเนินการมา 2 ใน 3 เงื่อนไขแล้ว เหลือเพียงกระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ซึ่งคาดว่าจะใช้ระยะเวลา 105 วัน โดยยืนยันว่าเป็นไปตามกรอบระยะเวลาของกฎหมาย หลังจากนั้นไตรมาส 3-4 จะเข้าซื้อขายและทำ Tender Offer (การทำคำเสนอซื้อหุ้นต่อผู้ถือหุ้นทั่วไป) จากผู้ถือหุ้นรายย่อย ขณะเดียวกัน ระหว่างนี้จะทยอยเปลี่ยนโฉมปั๊มน้ำมันช่วงไตรมาส 2 ไม่ว่าจะเป็น ทยอยเปลี่ยนโลโก้ ปรับรูปแบบ ภายใน 3-6 เดือน คาดว่าจะรวมได้ 80% โดยประเมินว่าจะใช้งบประมาณส่วนนี้เพียงหลักร้อยล้านบาท

 

“ปีที่ผ่านมาโรงกลั่นบางจากได้รางวัล TQA ในการบริหารจัดการโรงกลั่น สะท้อนว่าเป็นโรงกลั่นที่ดี มีความปลอดภัย และสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นสม่ำเสมอ มีการจ่ายปันผลและผลตอบแทนตลอด และวันนี้มีโอกาสขยับขยายได้โรงกลั่นเอสโซ่มา เท่ากับขยายและกระจายความเชี่ยวชาญการผลิตที่ต่างคนต่างมีจุดแข็งคนละแบบ บางจากผลิตดีเซลได้เยอะ เอสโซ่ผลิตอย่างอื่นได้ และเอสโซ่สามารถเข้าท่าเรือน้ำลึกได้ ซึ่งหลังจากนี้เชื่อว่า 2 โรงกลั่นจะเสริมกันและน้ำมันจะอยู่คู่กับคนไทยไปอีกนาน เพราะแนวโน้มความต้องการใช้น้ำมัน หากดูจากข้อมูลกรมธุรกิจพลังงานจะพบว่า ความต้องการใช้จะสูงไปถึงปี 2035 หรือในอีก 15 ปีข้างหน้า” ชัยวัฒกล่าว

 

โรงกลั่นเอสโซ่ช่วยเสริมแกร่งธุรกิจน้ำมัน

 

ส่วนทางด้านการบริหารจัดการโรงกลั่นน้ำมันหลังจากนี้ ถือเป็นบทใหม่ที่ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการร่วมกัน แต่การซื้อเอสโซ่ทำให้บางจากได้สินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องคือ โรงกลั่นน้ำมันกำลังการกลั่น 174,000 บาร์เรลต่อวัน เครือข่ายคลังน้ำมัน และสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศกว่า 700 แห่ง ทั้งประหยัดเชิงขนาดและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุนของบริษัท โดยบางจากมีกำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็น 294,000 บาร์เรลต่อวัน มีสถานะเป็นโรงกลั่นขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย 

 

แม้ปัจจุบันโรงกลั่นบางจากใช้กำลังการผลิตเต็ม 100% แล้ว แต่หากได้ข้อสรุปเรื่องการเข้าซื้อ คาดว่าจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตในส่วนของโรงกลั่นเอสโซ่ได้ จากที่ขณะนี้ผลิตได้ 1.23 แสนบาร์เรลต่อวัน ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อการจำหน่ายผ่านสถานีบริการน้ำมันที่ 1.43 แสนบาร์เรลต่อวัน บางส่วนจึงต้องนำเข้า แต่หากได้โรงกลั่นเอสโซ่มาจะช่วยเสริมและส่งผลให้บริหารจัดการได้ดีขึ้น รวมถึงมีท่อส่งเพิ่มมากขึ้น

 

จำนวนปั๊มน้ำมันเพิ่มเป็น 2,100 ปั๊ม หลังรวมกิจการ  

 

สำหรับจำนวนสถานีบริการหลังควบรวมจะทำให้บางจากมีสถานีบริการ (ปั๊มน้ำมัน) เพิ่มขึ้นจากเดิมซึ่งมี 1,340 ปั๊ม เพิ่มปั๊มเอสโซ่ 700 ปั๊ม รวมแล้วประมาณ 2,100 ปั๊ม คิดเป็นสัดส่วนแบ่งตลาดหลังรวม 7.7% จากก่อนรวม 5.4% ยังไม่ถึง 10% หากเทียบกันแล้ว ผู้ประกอบการเบอร์ 1-3 มีจำนวนปั๊มใกล้กัน ประมาณรายละ 2,100 แห่ง ส่วนยอดขายโดยรวมทุกช่องทางคิดเป็น 10.5% ซึ่งบางจากชี้แจงไปแล้วว่าไม่มีอำนาจเหนือตลาด ‘ส่วนแบ่งตลาดไม่เยอะ’ ซึ่งตลาดมีผู้เล่นมากราย ผู้ประกอบการมากกว่า 5 ราย มีการแข่งขัน โรงกลั่นก็เช่นกัน โดยบางจากแข่งขันกับโรงกลั่นสิงคโปร์และจีน 

 

“แผนการกลั่น บางจากตั้งใจจะเพิ่มกำลังผลิตโรงกลั่นช่วงปลายปี เอสโซ่ Utilization Rate ต่ำกว่าก็ยังมีโอกาสเพิ่มได้ ส่วนการปรับการผลิตของโรงกลั่นเดิมก็ต้องไป Optimize กัน โรงกลั่นจะ Operate ต่อ เพื่อตอบสนองการใช้น้ำมันในประเทศ ส่วนกำลังผลิตไฮโดรเจนที่เหลือจากอากาศยาน พลังงานสะอาดก็ทำควบคู่กันไป”

 

ส่วนทางคู่สัญญาเอสโซ่ ปัจจุบันกิจการ Non-oil ของเอสโซ่ 240 สถานีบริการ เป็นของบริษัท (COCO) ที่เหลือเป็นดีลเลอร์ ดังนั้น หลังจากดีลแล้วทุกคนก็แปลงมาเป็นคู่สัญญาของบางจากได้ทันที

 

เผยราคาหุ้นสุดท้ายที่เข้าซื้อ 

 

สำหรับราคาหุ้นสุดท้ายที่จะเข้าซื้อยังต้องรอการปิดงบการเงิน ซึ่งตามกระบวนการคาดว่าจะใช้ราคาตามงบไตรมาส 2 ปีนี้ เนื่องจาก กขค. น่าจะพิจารณาแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม 2566 อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาหุ้นจะอยู่ที่ประมาณ 8-9 บาท มูลค่าเงินลงทุนประมาณ 2-2.2 หมื่นล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นการทำ Tender Offer (การทำคำเสนอซื้อหุ้นต่อผู้ถือหุ้นทั่วไป) เท่าไรก็ต้องมาประเมินอีกครั้ง ส่วนแหล่งเงินทุนมาจากทั้งกระแสเงินสดและสถาบันการเงิน ดังนั้น หลังจากนี้ทางบางจากและเอสโซ่จะมาเข้าสูตรคำนวณราคา คาดว่าชำระเงินช่วงสิ้นปีที่จะจบดีล

 

เบื้องต้น ประเมินแหล่งเงินทุนการจากการดีล 5.5 หมื่นล้านบาท เนื่องจากมีสภาพคล่องดี และปลายปีมีเงินสด (Cash Flow) 4.5 หมื่นบาท และมีอีก 2 หมื่นล้านบาทที่บางจากเตรียมงบไว้  ทั้งนี้ บางจากมีกระแสเงินสดในปีที่ผ่านมาจำนวนมาก และในการประชุมครั้งนี้ผู้ถือหุ้น 99% มีมติเห็นชอบให้ออกหุ้นกู้ 8 หมื่นล้านบาท ดังนั้น คาดว่าจะดึงมาใช้เพียง 5 พันล้านบาทเท่านั้น ส่วนภาพรวมการลงทุนยังเป็นไปตามแผนเดิมที่เคยแถลงไว้ก่อนหน้านี้

 

“ธุรกิจบางจากมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องทั้งห่วงโซ่ ทั้งต้นน้ำก็ขยายตัวดี บางจากซื้อ 5.5 หมื่นล้านบาท ถ้าธุรกิจมี EBITDA 1.5 หมื่นล้านบาท อีก 5 ปีก็คืนทุน หาก EBITDA มากกว่านั้น ระยะคืนทุนจะสั้นกว่า 5 ปี ซึ่งเทียบกับการไปสร้างโรงกลั่นไม่มีทางคืนทุนได้เร็ว ตอนนี้ทุกบริษัทโตขึ้น หากดู EBITDA บริษัทสามารถตอบโจทย์เครดิตเรตติ้งและผู้ถือหุ้นได้ดี ถ้าหุ้นกู้เป็นไปตามแผน ปีนี้หุ้นกู้อยู่ที่ 8 หมื่นล้านบาท แต่จะใช้แค่ 5 พันล้านบาท แม้ว่าจะกู้เยอะแต่ไม่ได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยขาขึ้น” ชัยวัฒน์กล่าวส่งท้าย


บทความที่เกี่ยวข้อง


 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising