สมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีผู้ให้ความสนใจในการปลูกพืชกัญชา เพื่อนำไปศึกษาวิจัยและพัฒนาสำหรับการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์หรือเภสัชกรรมเป็นจำนวนมาก อีกทั้งตามมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 มีผลบังคับให้สามารถนำกัญชาไปใช้ในกรณีจำเป็น เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ การศึกษาวิจัย รวมถึงการเกษตรกรรม พาณิชยกรรม วิทยาศาสตร์ และอุตสาหกรรม ภายใต้ความร่วมมือและกำกับดูแลของหน่วยงานของรัฐ
ทั้งนี้ เพื่อรองรับความต้องการเพาะปลูกกัญชาที่เพิ่มขึ้น ธ.ก.ส. จึงได้มีแนวทางสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการปลูกกัญชา เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ การศึกษาวิจัยพัฒนา และสร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรและชุมชน โดยคิดอัตราดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี หรือกู้ 1 ล้านบาทคิดดอกเบี้ย 100 บาทต่อปี โดยการปล่อยสินเชื่อเพื่อการปลูกกัญชานี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการธุรกิจชุมชนสร้างไทย ที่มีวงเงินสินเชื่อรวม 5 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม การผลิตกัญชาซึ่งเป็นพืชที่มีความเสี่ยงสูงและถือเป็นยาเสพติดให้โทษ จึงจำเป็นต้องมีการกำกับดูแลและดำเนินการภายใต้กฎหมาย ข้อกำหนด และกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงต้องมีการบริหารจัดการทั้งด้านการผลิต การเก็บรักษา และการตลาดเป็นการเฉพาะ
สำหรับคุณสมบัติของผู้ขอกู้ ต้องเป็นวิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคม หรือสหกรณ์การเกษตรที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย มีการจัดทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ในการดำเนินการภายใต้ความร่วมมือและกำกับดูแลระหว่างผู้ขอกู้กับหน่วยงานของรัฐ หรือสถาบันอุดมศึกษา ที่มีหน้าที่ศึกษาวิจัยหรือจัดการเรียนการสอนหรือมีหน้าที่ให้บริการทางการแพทย์ เภสัชศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรือเกษตรศาสตร์ หรือมีหน้าที่ในการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติด และต้องได้รับใบอนุญาตให้ผลิตยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชา จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ