×

‘เอเซีย พลัส’ ประเมิน 5 กลุ่มหุ้นรับผลกระทบหนักจากล็อกดาวน์ พร้อมคาด GDP ปีนี้อาจโตไม่ถึง 1%

19.07.2021
  • LOADING...
GDP

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิดที่ยังไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไร สะท้อนผ่านตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังคงพุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง ทำให้เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ทาง ศบค. ต้องยกระดับมาตรการควบคุมที่เข้มข้นขึ้น โดยการสั่งห้ามบุคคลในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดออกนอกเคหสถานในระหว่างเวลา 21.00-04.00 น.

 

ขณะเดียวกันยังสั่งให้ลดการเดินทาง หรืองดเว้นภารกิจที่ต้องเดินทางออกนอกเคหสถานโดยไม่จำเป็น เว้นการเดินทางในบางกรณีที่จำเป็น เช่น ซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต อาหาร ยาหรือเวชภัณฑ์ การเดินทางเพื่อพบแพทย์ สามารถทำได้แต่ต้องระมัดระวัง

 

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส ประเมินว่า มาตรการล็อกดาวน์ล่าสุดมีความเข้มงวดใกล้เคียงกับช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ซึ่งหากยืดเยื้อมีโอกาสจะฉุดให้ GDP ของไทยในปี 2564 มีโอกาสติดลบ

 

หากย้อนดูในปี 2563 GDP ของไทยหดตัว 6.2% หลังจากรัฐบาลประกาศล็อกดาวน์ระหว่าง 26 มีนาคม – 3 พฤษภาคม 2563 รวม 38 วัน ในรอบนั้นมูลค่า GDP ที่แท้จริงในแต่ละไตรมาสเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า พบว่า ไตรมาส 1 ลดลง 5.8 หมื่นล้านบาท ไตรมาส 2 ลดลงแรงถึง 3.23 แสนล้านบาท ส่วนไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ปีที่แล้วมูลค่า GDP ยังลดลงต่อ เพราะทั่วโลกเผชิญโควิดและไม่มีนักท่องเที่ยวเข้าไทย รวมถึงภาคส่งออกลดลงเพราะล็อกดาวน์ทั่วโลก 

 

สำหรับปี 2564 ค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่า GDP ไทยมีโอกาสจะถูกปรับลดคาดการณ์ลง และมีโอกาสสูงที่ปีนี้ GDP ไทยอาจจะโตไม่ถึง 1% จากปีก่อน หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันเพิ่มขึ้นทะลุ 10,000 ราย จนทำให้รัฐบาลประกาศคุมเข้มกิจกรรมเศรษฐกิจตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน จนถึงล่าสุดเมื่อปลายสัปดาห์ ได้ยกระดับการล็อกดาวน์เพิ่มความเข้มงวดเป็น 13 จังหวัด เริ่ม 20 กรกฎาคมเป็นต้นไป โดยรายละเอียดการคุมเข้มรอบนี้ถือว่าเข้มงวดกว่าไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ทั้งศูนย์การค้าที่ปิด ร้านอาหารในห้างสรรพสินค้า และธนาคารชะลอการให้บริการ และการขนส่งทั้งทางอากาศและทางรางจำกัดการบริการ

 

สำหรับกลุ่มหุ้นที่ได้รับผลกระทบมาก 5 กลุ่ม ได้แก่ 

 

  1. ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร อย่าง M รวมถึง CENTEL และ MINT เนื่องจากร้านอาหารส่วนใหญ่อยู่ในศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้า ย่อมได้รับผลกระทบเพิ่มเติม จากเดิมสามารถเปิดเพื่อเดลิเวอรีได้ ขณะที่สถานการณ์โควิดในไทยที่รุนแรงขึ้น ส่งผลต่อการกลับมานั่งรับประทานอาหารในร้านใช้เวลาอีกสักระยะ 

 

อย่างไรก็ดี สัดส่วนการขายจากเดลิเวอรีไม่ได้สูงมากนัก อีกทั้งการถูกสั่งปิดจากทางราชการ เชื่อว่าจะทำให้การต่อรองเพื่อขอลดค่าเช่าทำได้ง่าย โดยในกลุ่มร้านอาหาร M ที่ไม่มีภาระหนี้สินและมีเงินสดในมือราว 7.7 พันล้านบาท เชื่อเพียงพอผ่านพ้นวิกฤต หากราคาปรับตัวลงถือว่าน่าสนใจ 

 

ในมุมกลับกัน การที่คนใช้ชีวิตอยู่บ้านมากขึ้น ขณะที่ร้านอาหารส่วนใหญ่ไม่ได้เปิด มีโอกาสเห็นการทำอาหารทานที่บ้านมากขึ้น หนุนต่อความต้องการใช้น้ำมันถั่วเหลือง เป็นบวกต่อ TVO    

 

  1. กลุ่มการบิน กรณีมาตรการควบคุมการเดินทางล่าสุดที่ห้ามเที่ยวบินรับ-ส่งผู้โดยสารที่สนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ มีผลนับจาก 21 กรกฎาคม 2564 ยกเว้นเส้นทางที่ทำการทดลองเปิดประเทศในปัจจุบัน ได้แก่ ภูเก็ต และสมุย กรณีดังกล่าวเป็นลบต่อกลุ่มสายการบิน เนื่องจากโอกาสการกลับมาให้บริการที่ล่าช้าออกไป และคาดว่าจะส่งผลให้ AOT, AAV และ BA ขาดทุนต่อเนื่องไปถึงสิ้นปี

 

ทั้งนี้ เชื่อว่าจะสร้างดาวน์ไซด์ต่อประมาณการไม่สูง ภายใต้สมมติฐานในประมาณการปัจจุบันที่ล่าช้ากำหนดการฟื้นตัวผู้ใช้บริการเริ่มนับจากปี 2565 อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวจะทำให้อุตสาหกรรมขาดปัจจัยบวก จึงคงน้ำหนักลงทุนน้อยกว่าตลาด โดยมีตัวเลือกลงทุนเดียว คือ AOT ที่ได้ประโยชน์มากและเร็วที่สุด เมื่อสถานการณ์ผ่อนคลายให้กลับมาเดินทางได้ปกติ

 

  1. กลุ่มก่อสร้าง ได้รับผลกระทบโดยตรงตั้งแต่การออกมาตรการปิดแคมป์คนงานและปิดไซต์งานก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน 2564 เป็นเวลาอย่างน้อย 30 วัน เนื่องจากงานในมือของบริษัทรับเหมาก่อสร้างในตลาดหลักทรัพย์ เช่น CK, NWR, SYNTEC, SEAFCO และ PYLON มีสัดส่วนส่วนงานส่วนใหญ่อยู่ในเขตพื้นที่กรุงเทพ-ปริมณฑล ได้แก่ งานก่อสร้างรถไฟฟ้าและอาคารขนาดใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยผลกระทบยังมีไปตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงเจ้าของโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่อาจเปิดโครงการไม่ได้ตามกำหนด

 

  1. กลุ่มสื่อ บริษัทที่ทำธุรกิจสื่อนอกบ้านอย่าง VGI และ PLANB จะได้รับผลกระทบเชิงลบจากนโยบายทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) และการหลีกเลี่ยงกิจกรรมของผู้คนที่อยู่นอกบ้าน ส่งผลต่อจำนวน Eyeball ที่มีต่อป้ายโฆษณาและโฆษณาผ่านรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดินที่ลดลง อีกทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา ทำให้บริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์ต้องลดค่าใช้จ่ายด้านโฆษณาลง 

 

ส่วนสื่อในโรงภาพยนตร์อย่าง MAJOR ก็ได้รับผลกระทบหนักเช่นเดียวกันจากการปิดโรงภาพยนตร์ ขณะที่สื่อโทรทัศน์อย่าง RS และ WORK น่าจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าสื่อประเภทอื่น เนื่องจากข้อจำกัดในการเดินทางออกนอกบ้าน ทำให้เม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อทีวีกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง โดย Nielsen เปิดเผยตัวเลขเม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อทีวีเดือนมิถุนายนเติบโตขึ้นกว่า 20% จากปีก่อน และยังครองส่วนแบ่งตลาดโฆษณาอยู่ที่ 61% ของเม็ดเงินโฆษณารวม

 

  1. กลุ่มศูนย์การค้า นำโดย CPN ประกาศปิดศูนย์การค้าเพิ่มเติม 4 แห่ง รวมเป็น 19 แห่ง ในจังหวัดพื้นที่ควบคุมสุงสูดและเข้มงวดตามคำสั่งภาครัฐ ได้แก่ กรุงเทพฯ นนทบุรี นครปฐม สมุทรปราการ สมุทรสาคร ชลบุรี และสงขลา และยกระดับมาตรการควบคุมเร่งด่วน โดยเปิดให้บริการเฉพาะธุรกิจจำเป็น ได้แก่ ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านขายยา จนถึงเวลา 20.00 น. 

 

ทั้งนี้ ศูนย์การค้า 19 แห่ง คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 50% ของพื้นที่เช่ารวม และสร้างรายได้ค่าเช่า 60-70% ของรายได้ค่าเช่าเมื่อปี 2563 ดังนั้น การปิดให้บริการย่อมส่งผลกระทบเชิงลบ ทั้งในการลดลงของปริมาณคนใช้บริการ การยกเว้นค่าเช่าสำหรับร้านที่ปิดบริการ รวมถึงการให้ส่วนลดค่าเช่าที่เพิ่มมากขึ้นตามสถานการณ์ และจะกดดันต่อผลประกอบการไตรมาส 3 ให้ลดลงจากไตรมาสก่อน

 

แต่หากปิด 14 วันตามกำหนด คาดหวังผลที่เกิดขึ้นจะไม่รุนแรงเท่างวดไตรมาส 2/63 ที่ปิดไป 1.5 เดือน จนทำให้กำไรปกติงวดดังกล่าวเหลือเพียง 311 ล้านบาท 

 

กลุ่มหุ้นที่ได้รับผลกระทบน้อย ได้แก่

 

  1. กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี หุ้นโรงกลั่นและน้ำมันถูกกดดันจากโควิดในประเทศค่อนข้างจำกัด เนื่องจากสัดส่วนกำไรส่วนใหญ่อิงตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นหลัก ส่วนหุ้นโรงไฟฟ้ากระทบจากการใช้ไฟฟ้าของโรงงานอุตสาหกรรมที่ลดลง หากมาตการล็อกดาวน์ยังยืดเยื้อ

 

  1. กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ระยะสั้นยังไม่เห็นดาวน์ไซด์ต่อประมาณการ แต่ยังมีความเสี่ยงหากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจช้าลง ถือเป็นอีกส่วนที่กดดันการฟื้นตัวของกำไรกลุ่ม

 

  1. กลุ่มวัสดุก่อสร้าง อิงตามกำไรของ SCC เป็นส่วนใหญ่ ชึ่งการเติบโตล้อไปกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นหลัก

 

  1. กลุ่มเช่าซื้อ คนออกจากบ้านลดลง จะกระทบการออกไปขอสินเชื่อตามสาขาบ้างชั่วคราว แต่ประชาชนยังมีความต้องการใช้สินเชื่อสูงต่อเนื่องในงวดครึ่งปีหลัง ขณะที่ AEONTS จะได้รับผลกระทบจากการที่ผู้บริโภคออกจากบ้านลดลง กดดันการใช้บัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลลดลง ส่วนกลุ่มสินเชื่อบุคคล เช่น MTC มีแนวโน้มสินเชื่อสุทธิงวดไตรมาส 2 เติบโตต่อเนื่อง หนุนแนวโน้มกำไรสุทธิปี 2564 ยังเดินหน้าทำจุดสูงสุดใหม่ 

 

กลุ่มหุ้นที่ได้รับผลกระทบน้อยมากหรือได้ผลบวก ได้แก่ 

 

  1. กลุ่มโรงพยาบาล จากระดับผู้ต้องการตรวจโควิดรวมถึงการรักษายังเร่งตัวขึ้นมาก หนุนกำไรไตรมาส 3 เติบโตต่อเนื่องต่อจากไตรมาส 2 ที่ผ่านมา

 

  1. กลุ่มยานยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงสินค้าเกษตรและอาหาร ประเมินได้ผลประโยชน์ทางอ้อมจากภาวะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ประกอบกับค่าเงินบาทอ่อนค่ากว่า 2.1% จากเดือนก่อน ล่าสุดอยู่ที่ 32.8 บาทดอลลาร์ ทำให้มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น

 

โดยภาพรวมมีหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากโควิดในรอบนี้ ทำให้ตลาดหุ้นไทยยังปรับตัวขึ้นได้ยากหากการแพร่ระบาดยังยืดเยื้อ ในเชิงกลยุทธ์เน้นเลือกหุ้นที่ได้รับผลกระทบจำกัด และยังได้แรงหนุนทางอ้อม อย่างหุ้นโรงพยาบาล และหุ้นที่งบไตรมาส 2 ออกมาดี รวมถึงกลุ่มที่ยังได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่า

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising