การพลาดเสมอต่อนิวคาสเซิล ยูไนเต็ดของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ในเกมพรีเมียร์ลีกนัดซูเปอร์ซันเดย์เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หมายถึงการที่พรีเมียร์ลีกมีจ่าฝูงเดี่ยวเพียงแค่ทีมเดียวเท่านั้น
ทีมที่ปกติแล้วจะเป็นจ่าฝูงก่อนฤดูกาลจะเปิดเพราะมีอักษรตัวแรกเป็นตัว A อย่าง ‘ปืนใหญ่’ อาร์เซนอล!
โดยทีมของ มิเกล อาร์เตตา เป็นทีมเดียวที่ชนะรวดทั้ง 3 นัดแรก นับตั้งแต่เปิดฤดูกาลเป็นต้นมา (ยิงได้ 9 เสียแค่ 2) ซึ่งถือเป็นผลงานที่ดีที่สุดในการออกสตาร์ทพรีเมียร์ลีกนับตั้งแต่ฤดูกาล 2004/05 และแน่นอนว่าดีกว่าผลงานการออกสตาร์ท 3 นัดแรกของฤดูกาลที่แล้วที่แพ้รวดอย่างเทียบกันไม่ได้
ไม่แปลกที่เวลานี้เหล่ากูนเนอร์สก็จะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ (ในกองบรรณาธิการ THE STANDARD ก็เช่นกัน…)
มาย้อนดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับปรากฏการณ์ปืนใหญ่สะท้านโลกันต์ในช่วงต้นฤดูกาลกัน
กาเบรียล x กาเบรียล
ถึงจะมีการหยอกกันสนุกๆ เกี่ยวกับมีม ‘กาเบรียล’ ซึ่งเป็นชื่อหน้าของ 3 นักเตะในทีมอาร์เซนอล อันได้แก่ กาเบรียล มาร์กัลเญส ปราการหลังตัวแกร่ง, กาเบรียล มาร์ติเนลลี กองหน้าตัวริมเส้น และน้องใหม่ที่กลายเป็นพระเอกของทีมอย่าง กาเบรียล เชซุส
แต่คนที่ได้รับการจับตามองมากหน่อยคือสองคนหลังอย่าง G.มาร์ติเนลลี และ G.เชซุส
คนแรกนั้นนับตั้งแต่เอดูกระเตงมาด้วยในช่วงแรกที่เข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการสโมสรฟุตบอลที่ไม่มีใครรู้จักเด็กคนนี้มาก่อน นับวันมาร์ติเนลลีก็ยิ่งโตยิ่งเก่งขึ้นเรื่อยๆ และเวลานี้กลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นระดับคีย์แมนของทีมในฐานะตัวรุกริมเส้นที่วูบวาบและอันตรายที่สุด
เมื่อมาได้คู่หูอย่างเชซุส ที่พลิกบทบาทจากที่เคยถูก เป๊ป กวาร์ดิโอลา ใช้งานในตำแหน่งโน้นนี้ไปหมด มาเป็นการยืนศูนย์หน้าตัวเป้า ‘หมายเลข 9’ แบบเต็มตัว ด้วยพรสวรรค์ที่อัดแน่นในตัว เสริมด้วยความมั่นใจที่ได้จากนายใหญ่อย่างอาร์เตตาก็ทำให้เวลานี้ดับเบิลกาเบรียลน่ากลัวสุดๆ
เพราะไม่ใช่แค่มีสัญชาตญาณในการจบสกอร์ที่ดี ทั้งคู่ยังปราดเปรียวและมีความเข้าใจกันสูง
กัปตันกันเนอร์ส
อาร์เตตามาอยู่กับอาร์เซนอลตั้งแต่ปี 2019 แต่ไม่เคยมีกัปตันทีมตัวจริงที่ฝากความหวังได้เลย
โดย ปิแอร์ เอเมอริก โอบาเมยอง ได้ปลอกแขนแทนที่ของ กรานิต ชากา ก็จริง แต่ก็มีปัญหาเรื่องความประพฤติ (และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ทั้งสองแตกหักกันตามเรื่องตามราวในสารคดี All or Nothing ซีซันล่าสุด) ขณะที่ อเล็กซองดร์ ลากาแซตต์ แม้จะทำได้ดีแต่ก็ไม่ใช่ ‘อนาคต’ ของสโมสร
เมื่อ ‘ลากา’ หมดสัญญา และขอกลับไปลียง กุนซือชาวสเปนจึงต้องทำการหากัปตันทีมคนใหม่
ปรากฏว่ากลายเป็น มาร์ติน โอเดการ์ด เพลย์เมกเกอร์ชาวนอร์เวย์ที่ได้รับมอบหมายหน้าที่แบบเซอร์ไพรส์เล็กน้อย
แต่ดาวเตะวัย 23 ปีก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเป็นผู้นำที่ดี และคลายความสงสัยว่าทำไมอาร์เตตาถึงยอมมอบปลอกแขนกัปตันทีมให้
“ผมพยายามจะใช้การเป็นกัปตันทีมในทางที่ดี แน่นอนว่ามันก็ทำให้มีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น ซึ่งมันก็เป็นงานของกัปตันทีมอยู่แล้ว แต่ผมพยายามจะทำเหมือนเดิม ผมพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อทีมเสมอ ผมสู้เพื่อทีม และผมทุ่มเทเต็มร้อยเสมอ”
เคล็ดลับอีกอย่างคือการที่โอเดการ์ดนั้นมีที่ปรึกษาอย่างชากา ที่เป็นอดีตกัปตันและความสัมพันธ์นี้ทำให้ไม่ใช่แค่แดนกลางของทีมที่แกร่งขึ้น แต่การมี ‘Leader’ ที่ตามหามานาน ทำให้บรรยากาศในทีมทุกอย่างดีขึ้นตามไปด้วย
เรื่องของโอเดการ์ด จากเด็กมหัศจรรย์ที่เรอัล มาดริดรีบมาคว้าตัวไปตั้งแต่อายุ 15 ปี จนเหมือนจะหมดอนาคตเหมือนดาวเด่นคนอื่น แต่สุดท้ายกลับมาแจ้งเกิดได้ เอาไว้มาเล่ากันทีหลัง ตอนนี้ช่วยกันจับตาดูกัปตันคนใหม่คนนี้ให้ดีๆ
มีแววจะโดดเด่นไปอีกนาน!
ขุมกำลังที่แกร่งขึ้น
ปัญหาของอาร์เซนอลตั้งแต่ช่วงปลายของ อาร์เซน เวนเกอร์ มาจนถึง อูไน เอเมรี คือการที่มักจะซื้อตัวผู้เล่นผิดหรือตัดสินใจพลาดเป็นประจำ (เช่น การต่อสัญญายาวให้ เมซุต โอซิล และโอบาเมยอง ด้วยค่าเหนื่อยมหาศาลจนกลายเป็นบ่วงรัดคอทีมเอง)
จนกระทั่งได้เอดูมาเป็นผู้อำนวยการสโมสร การตัดสินใจในแบบที่เรียกว่า Football Decision ถึงเริ่มดีขึ้น เราได้เห็นการเสริมทัพที่อาจจะใช้เวลาสักหน่อย แต่ทีมก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ
จากมาร์ติเนลลี, มาร์กัลเญส, เบน ไวท์, โธมัส ปาร์เตย์, ทาเคฮิโระ โทมิยาสุ, อัลเบิร์ต ลองคองกา, อารอน แรมส์เดล, โอเดการ์ด และในฤดูกาลนี้กับเชซุส, โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก และ ฟาบิโอ วิเอรา (ที่รอโอกาสลงสนามอยู่)
ไม่นับ วิลเลียม ซาลิบา ที่ซื้อมาหลายปีและเพิ่งมีโอกาสได้กลับมาปักหลักกลายเป็นดาวเด่นในช่วงออกสตาร์ทฤดูกาลนี้
เรียกได้ว่าขุมกำลังของอาร์เซนอลวันนี้ดูดีและลงตัวขึ้นมาก โดยที่ผู้เล่นทุกคนที่มานั้นซื้อภายใต้โจทย์ว่าต้อง ‘ใช้งานได้’ ในระบบการเล่นที่อาร์เตตาต้องการ
ในขณะเดียวกัน ตัวผู้เล่นที่มีปัญหาก็ทยอยโละไป รวมถึงโอบาเมยอง, ลากาแซตต์ และล่าสุดคือ นิโคลัส เปเป้ ที่มีข่าวว่าอาจจะย้ายกลับฝรั่งเศส
โดยที่หากกลับไปจริงอาจจะมีการจีบ เปโดร เนโต ปีกจอมเลื้อยของวูล์ฟส์มาแทนที่
Mentality (Pocket) Monster
สิ่งสุดท้ายที่ทำให้อาร์เซนอลกลายเป็นคนละทีมก็คือเรื่องของ ‘จิตใจ’ หรือ Mentality
จากทีมที่เคย ‘สงสัย’ ในความสามารถของตัวเอง เวลานี้พวกเขาเริ่ม ‘เชื่อ’ ในความสามารถของตัวเอง (แฟนลิเวอร์พูลอาจจะคุ้นๆ…) และเชื่อในทีมแล้ว
เรื่องนี้แม้แต่คนในทีมอย่าง อารอน แรมส์เดล ผู้รักษาประตูมือหนึ่งก็ยังแปลกใจ “มันบ้ามากที่ Mentality ของพวกเราเปลี่ยนไปหลังจบฤดูกาลที่แล้ว เรามีความเด็ดขาดมากขึ้น ในฤดูกาลที่แล้วเราเข้าใกล้มากแล้วและมันก็ใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์เพื่อจะลืมมันให้ได้” ผู้รักษาประตูดีกรีทีมชาติอังกฤษพูดถึงการปรับสภาพจิตใจของทีมที่ลืมความผิดหวังจากการแพ้ 2 ใน 3 นัดสุดท้ายของฤดูกาล ซึ่งรวมถึงการแพ้สเปอร์ส 0-3 ที่เป็นจุดตัดสินทำให้ไม่ได้ไปแชมเปียนส์ลีก
ขณะที่อาร์เตตาบอกว่า “ในชีวิต ประสบการณ์ช่วงเวลาที่ยากลำบากจะสอนให้เราแกร่งขึ้นได้ดียิ่งกว่าช่วงเวลาดีๆ ช่วงเวลาเหล่านี้มันเจ็บปวดและทำให้เราไม่อยากจะต้องเจอมันอีกครั้ง”
ดังนั้นถ้าลิเวอร์พูลคือต้นตำรับของ Mentality Monster อาร์เซนอลเองก็พอจะมีอสูรกายตัวเล็กๆ กับเขาบ้างแล้วเหมือนกัน เช่น ในเกมที่พบเลสเตอร์ก็แสดงให้เห็นถึงคำว่า Resilient เสียประตูแล้วไม่จ๋อย ไล่ยิงต่อได้
และจริงอยู่ที่ถึงอาร์เตตาบอกว่า “มันก็แค่ 3 นัด ยังไม่ได้มีความหมายอะไร” และอาร์เซนอลยังมีสิ่งที่ต้องพิสูจน์อีกมาก เพราะพวกเขาเองก็ยังไม่ได้เจอกับ ‘ของแข็ง’ ในระดับ Top6 ด้วยกัน
เพียงแต่การเริ่มต้นได้ดีและมีความหวัง ไม่ว่าจะอย่างไรก็ย่อมดีกว่าการเปิดฤดูกาลมาแล้วแพ้ 3 นัดรวดอยู่แล้ว
จริงไหม!
อ้างอิง: