ภาษาและคาแรกเตอร์รสจัดในตัวอย่างภาพยนตร์ ตุ๊ดซี่ส์ แอนด์ เดอะเฟค ปลุกให้แฟนๆ และคนที่เคยติดตามผลงานของ ชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต ฮือฮาในทันที แต่ถ้าลงรายละเอียดให้อีกนิดว่านี่คืองานแสดงเต็มตัวครั้งแรกในรอบ 2 ปี หลังจากเธอวางแผนอย่างตั้งอกตั้งใจที่จะเข้าสู่บริบท ‘แม่’ ของลูกชายฝาแฝด ‘สายฟ้า’ และ ‘พายุ’ ซึ่งมองว่าเป็นบริบทท้าทายสำหรับชีวิต
ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เราเชื่อด้วยตัวเองว่าทุกวัน ทุกเดือน ล้วนแล้วแต่เป็นประสบการณ์ใหม่ชนิดที่ถ้าใครยังไม่ได้เป็นแม่หรือพ่อคนก็คงยากจะเข้าใจ… วันแรกที่ลูกเกิด วันแรกที่ลืมตา วันแรกที่ลูกตั้งไข่และเดินได้ กระทั่งโมเมนต์ส่งลูกไปโรงเรียนวันแรกที่เธอเล่ามันออกมาแบบยิ้มๆ แต่ก็ปริ่มน้ำตาสะเทือน
ในวันนี้ที่ใครต่อใครต่างก็เต็มใจเรียกอารยาว่า ‘คุณแม่’ แต่สิ่งที่เราสนใจลึกไปกว่าคำนั้นคือการนั่งคุยอย่างเปิดใจว่า ที่ผ่านมาคุณแม่คนนี้ได้เติบโตและเรียนรู้อะไรได้บ้างหลังจากผ่านบริบทนี้ที่รอคอยมาตลอด 2 ปีเต็ม
ชมกับกะเทยมีเคมีกัน เพราะฉะนั้นชมรู้สึกว่าชมอยู่ในโลกของพวกเขาได้ ชมอยู่ในหนังกะเทยได้
ย้อนกลับไปช่วงที่ตั้งท้อง ‘สายฟ้า’ กับ ‘พายุ’ คุณเคยบอกว่าหลังคลอดตั้งใจจะพักงานบันเทิงไว้ 2 ปีเพื่อเลี้ยงลูกเอง ถึงตอนนี้ 2 ปีพอดี มีงานใหม่ ตุ๊ดซี่ส์ แอนด์ เดอะเฟค สรุปว่าบังเอิญงานใหม่น่าสนใจหรือตั้งใจจะกลับมาอยู่แล้ว
ทำเป็นบอกไปว่าขอคิด 2-3 วัน แต่จริงๆ ตัดสินใจไปแล้วว่าทำ (หัวเราะ) คือตอนแรกที่ได้รับการติดต่อมาก็เหมือนว่าเรากำลังอยู่ในคอมฟอร์ตโซน คุณหวาน (ผู้จัดการ) นางก็มาหาที่บ้าน บอกว่ามีหนังของค่าย GDH ติดต่อมา เธอต้องเล่น! เราก็บอกเขาว่าให้ใจเย็นๆ เดี๋ยวรอฟังรายละเอียดก่อนนะ ชมก็ยังปากหนัก ไม่ได้พูดอะไร
จนกระทั่ง เติ้ล (ปิยะชาติ ทองอ่วม ผู้กำกับภาพยนตร์ ตุ๊ดซี่ส์ แอนด์ เดอะเฟค) เขามาหาที่บ้านแล้วก็เล่าเรื่องให้ฟัง ใจเราคือเล่นแล้วล่ะ เพราะอะไรหลายๆ อย่างมันลงตัวไปหมด
ยังคิดอยู่เลยว่าไทม์ไลน์ตรงนี้เราอยากทำงาน แต่เราไม่อยากทำอะไรที่มีข้อผูกมัดยาวนาน เพราะความสำคัญลำดับแรกของเราคือลูก แล้วเราก็ไม่อยากพลาดอะไรในช่วงนี้ไป ไม่อยากมาเสียใจทีหลัง แต่ก็อยากทำอะไรบางอย่าง อยากหาพลังงานใหม่ๆ แล้วถึงเวลาก็มีงานนี้เข้ามา ซึ่งแมตช์กับความต้องการของเรา ก็เลยเหมือนได้อาหารทิพย์
แต่การจะดึงคุณแม่ชมให้รับงานได้ งานใหม่ที่เข้ามาหรือบทบาทที่ได้รับในเรื่องคงจะต้องน่าสนใจด้วย
ต้องเท้าความว่าชมเองก็เคยดู ตุ๊ดซี่ฯ มาแล้วตอนที่เป็นซีรีส์ ซึ่งต้องบอกว่าในฐานะคนดูก็คือเอ็นจอยมาก ตอนดูก็ขำท้องแข็ง แล้วพอได้คุยกับเติ้ล พอเขาเล่าบท เราสามารถนึกภาพตามได้ว่าฉันฟิตอิน ฉันอยู่ในนั้นได้ แล้วก็รู้สึกว่าเราเข้าใจวิธีเล่าเรื่องแบบเติ้ล มุกของเขา มุกกะเทย
อันนี้ไม่รู้คนอื่นรู้หรือเปล่า แต่ชมว่าชมกับกะเทยมีเคมีกัน เพราะฉะนั้นชมรู้สึกว่าชมอยู่ในโลกของเขาได้ ชมอยู่ในหนังกะเทยได้ ถึงแม้คนจะบอกว่ามันต้องมีอะไรที่ต้องดึงเธอลงมานะ เธอเพิ่งประกาศตัวว่าเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ Chopard แล้วเธอจะมาทำเหรอ แต่เราก็บอกว่าไม่ติดนะ เพราะเราคิดว่ามันแยกได้ มันไม่เกี่ยวกัน
คำว่าแม่ค้าหรือการที่เราไม่ได้อยู่ในสังคมเหล่านี้ มันมีดีเทลอะไรอีกเยอะมากที่ไม่ใช่แค่เราพูดคำหยาบ มึงมาพาโวย เอะอะเสียงดัง แล้วจะดูเป็นอย่างนั้น แต่มันยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่มีความไม่แคร์ ไม่ damn ไม่ give a fuck จริงๆ
ช่วยเล่าถึงคาแรกเตอร์ ‘เจ๊น้ำ’ ให้ฟังหน่อย
เล่าแบบไม่สปอยล์นะ เจ๊น้ำก็เป็นแม่ค้าขายข้าวผัดผงกะหรี่อยู่ตลาดคลองหลอด ในเรื่องคือไปทำศัลยกรรมมาจนหน้าคล้ายคลึงกับซูเปอร์สตาร์คนหนึ่งมาก แต่แม่ค้าก็คือแม่ค้า จริงๆ ตอนที่เติ้ลมาเล่าให้ชมฟังที่บ้าน ชมก็รู้สึกว่าไม่เห็นไกลตัวเลย อย่างที่บอกว่าฉันเห็นภาพตัวเอง ฉันฟิตอินหนังกะเทย สบายมาก ฉันทำได้ ฉันเป็นนักแสดง เพราะเราก็มีความดิบอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว
แต่พอไปลองเวิร์กช็อป ไปลองต่อบทแล้วทำจริงๆ เฮ้ย คำว่าแม่ค้าหรือการที่เราไม่ได้อยู่ในสังคมเหล่านี้มันมีดีเทลอะไรอีกเยอะมากที่ไม่ใช่แค่เราพูดคำหยาบ มึงมาพาโวย เอะอะเสียงดัง แล้วจะดูเป็นอย่างนั้น แต่มันยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่มีความไม่แคร์ ไม่ damn ไม่ give a fuck จริงๆ ที่มันจะต้องออกมากับทุกอย่าง ทางกายภาพ อินเนอร์ วิธีพูด แม้แต่หางเสียง การจบประโยค ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอก เพราะไม่ว่าในละครเรื่องไหน เราไม่เคยต้องละทิ้งอะไรพวกนี้ ที่ผ่านมาเราก็เล่นเป็นคนในละครแบบที่เราเห็นกัน แต่พอมาตรงนี้เราต้องล้างจริงๆ
หัวใจของเรื่องนี้คือต้องเชื่อจริงๆ ว่ามันคือเจ๊น้ำ แล้วเราจะทำยังไง ชมว่าแก่นที่สำคัญของเจ๊น้ำก็คือมันไม่ damn เลย
สรุปว่าความท้าทายที่สุด ความยากที่สุดของการแสดงในเรื่องนี้คือการเป็นเจ๊น้ำ
ใช่ มันแยกหลายส่วนนะคะ ทั้งเรื่องของกายภาพ บุคลิก อย่างที่บอกว่าอะไรที่เราเคยทำมาจนเป็นนิสัย ซึ่งเติ้ลเขาก็จับผิดชมมาจากละครและหนังทุกเรื่องว่าตอนจบประโยคแกชอบทำปากอย่างนี้ นี่คือชมพู่ อารยา ฉันจำได้ แบบนี้ไม่เอา ห้ามทำ ทิ้งท้ายแบบนี้มันยังน่ารักไป เพราะเจ๊น้ำเขาต้องไม่เหลือความน่ารักอยู่เลย แต่เราก็แบบ เฮ้ย นี่น่ารักเหรอวะ เราไม่ได้ตั้งใจนะเว้ย (หัวเราะ) เราไม่ได้ตั้งใจว่าจะยังห่วงสวยหรืออะไร แต่มันคงติดอยู่กับตัวเรา
มีเรเฟอเรนซ์คาแรกเตอร์เจ๊น้ำมาจากใครไหม
มาจาก เจ๊น้ำ (ณัฐนัน ต้นศึกษา) ช่วงที่ทำเวิร์กช็อป ครูเงาะ (รสสุคนธ์ กองเกตุ – แอ็กติ้งโค้ช) กับเติ้ลเขาจะคอยส่งคลิปมาให้ ชมว่าช่วงแรกๆ ตัวเองคงอาการน่าเป็นห่วงเหมือนกัน เพราะพอกลับบ้านไปหลังจากเวิร์กช็อปวันแรก ชมรู้เลยว่ากูยังอีกไกล (หัวเราะ) เรายังไม่ใกล้เคียงคาแรกเตอร์เลย สองคนนั้นเขาก็เลยส่งการบ้าน ส่งคลิปเจ๊น้ำจริงๆ มาให้ แล้วเราก็ต้องคัฟเวอร์เลย ให้เราลองทำ ลองช้อปปิ้งดูว่าเราจะเลือกซื้ออะไรจากเจ๊น้ำ จากนั้นเราก็ช่วยๆ กันสร้างคาแรกเตอร์ ค่อยๆ เติม
กว่าจะได้เห็น เจ๊น้ำ ยืนหนึ่งเรื่องกะหรี่ แบบในตัวอย่างหนัง ตุ๊ดซี่ส์ แอนด์ เดอะเฟค ก็เกือบแย่เหมือนกัน
จริงๆ ฉากนั้นมันเป็นฉากเปิดตัวเจ๊น้ำ เพราะฉะนั้นชมจะถูกกดดันทั้งจากครูเงาะและเติ้ลว่ามันเป็นฉากที่ต้องทุบคนดูให้ได้เลย เพราะถ้าเขาไม่ซื้อชมในฉากนี้ ทั้งเรื่องคือเฟลแล้ว ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นในฉากนี้มันคือทุกอย่าง ทั้งภาษากาย ต้องผัดกับข้าวอีก ซึ่งเราเป็นคนไม่ทำกับข้าว เพราะฉะนั้นแค่ผัดกับข้าวให้ดูเป็นคนทำกับข้าวแค่นี้ก็ยากแล้ว แต่นี่เราต้องคัฟเวอร์เจ๊น้ำ แล้วก็ต้องคัฟเวอร์แม่ค้าขายอาหารตามสั่ง ต้องผัดไปด้วยแล้วก็ด่าลูกค้าไปด้วย อ้าว ผู้ชายหน้าตาดีเดินผ่าน แซวด้วย แอ๊วด้วย ต้องทำหลายอย่าง เพราะฉะนั้นมันต้องออโต้
ไปซื้อข้าวซื้อของ คุยกับคนขายของก็บอกว่าหยิบนี่ให้แม่หน่อย แม่ขออันนี้อันหนึ่งได้ไหมคะ แล้วความเป็นผู้ปกครองด้วยอะไรด้วย ก็ทำให้เราใช้คำนี้ไปเลย กะเทยก็เรียกเราแม่ เออ แม่ก็แม่ ขี้เกียจเปลี่ยนไปมา
รู้สึกว่าช่วงนี้คนจะชอบเรียก ‘แม่ชม’ เรียก ‘คุณแม่’ ส่วนตัวแล้วรู้สึกอย่างไรบ้างเวลาได้ยิน
คือชมก็ไม่รู้ว่าเรียกด้วยความเคารพหรืออะไรนะ (หัวเราะ) แต่ชมก็รับไปโดยปริยายกับคำว่าแม่ ทุกวันนี้อยู่บ้านคุยกับป้าเจี๊ยบที่เป็นพี่เลี้ยง เราก็เรียกตัวเองว่าแม่ ป้าก็เรียกเราว่าแม่ อยู่ในบ้านก็คุยกับคนที่ทำงานในบ้านทุกคน เราก็เรียกหยิบนั่นให้แม่สิ หยิบนี่ให้แม่สิ คือมันเป็นไปเอง เพราะพอเรามีเด็กอยู่ในบ้าน เราก็ไม่อยากให้เขาสับสนบทบาท เราก็จะเรียกทุกคนด้วยสรรพนามที่เด็กควรเรียก ป้า แม่ พ่อ ป๊า ฯลฯ
ไปซื้อข้าวซื้อของ คุยกับคนขายของก็บอกว่าหยิบนี่ให้แม่หน่อย แม่ขออันนี้อันหนึ่งได้ไหมคะ แล้วความเป็นผู้ปกครองด้วยอะไรด้วย ก็ทำให้เราใช้คำนี้ไปเลย กะเทยก็เรียกเราแม่ เออ แม่ก็แม่ ขี้เกียจเปลี่ยนไปมา (หัวเราะ)
2 ปีก่อนคุณเคยบอกว่ารอคอยที่จะได้ทำหน้าที่แม่ ตอนนี้หลังจากผ่านมา 2 ปี สรุปว่าเป็นอย่างไรบ้าง อินกับมันแค่ไหน ช่วยถอดบทเรียนความเป็นแม่ในแบบชมพู่ อารยา ให้ฟังหน่อย
จำได้ว่าตอนนั้นมีความคิดว่าจะฟีดอะไรลูกบ้าง จะคอนโทรลเขาอย่างไรบ้าง แต่พอเขาเกิดมาจริงๆ แล้วทำให้เรารู้ว่าเด็กมันไม่ใช่ว่าชี้ซ้ายแล้วเขาจะไปซ้าย ชี้ขวาแล้วเขาจะไปขวา เขาก็มีความต้องการของเขาเหมือนกัน เขามีสิ่งที่อยากจะบอกเหมือนกัน เขามีเมสเสจของเขาเหมือนกันนะ ถึงแม้จะเป็นภาษาเทพแล้วเราฟังไม่รู้เรื่อง แต่เขามีของเขาเหมือนกัน
ถ้าอย่างนั้นเราไหลไปกับเขาไหม แล้วก็ให้เป็นอย่างที่เขาเป็น ซึ่งมันทำให้เราปล่อยวางได้มากขึ้น จริงๆ ชมไม่ใช่คนละอะไรยากอยู่แล้ว ยิ่งพอมีลูกก็ยิ่งทำให้เราประนีประนอม ยืดหยุ่นมากขึ้น แล้วก็เรียนรู้ว่าอย่าเอาชนะ คือแค่คิดว่าจะเอาชนะก็ผิดแล้ว มายด์เซตมันผิดแล้ว
แล้วที่เคยบอกว่าตั้งใจจะเลี้ยงเขาให้เป็น Mini Me สรุปว่าเลี้ยงได้อย่างใจคิดไหม
(หัวเราะ) เราได้เห็นว่าเด็กมันเอาอะไรมา คือถ้าใครบอกว่าเด็กคือผ้าขาวนะ ชมเถียงขาดใจเลย เด็กมันไม่ได้ blank มานะ เพราะว่าของชมมีสองคนพร้อมกัน แล้วเขาอยู่ในสิ่งแวดล้อมเดียวกัน
ชมพยายาม… ยิ่งเรามีลูกแฝด เราจะโดนกดดันว่าทุกอย่างแกต้องให้เท่ากัน ความรักแกต้องให้เท่ากัน เวลาเท่ากัน ทุกอย่างต้องหารสองแบบจุดทศนิยมเป๊ะอะไรอย่างนี้
ซึ่งในความเป็นจริง คนสองคนเขาไม่ได้ต้องการอะไรเหมือนกัน บางคนเขาอาจจะต้องการอันนี้เยอะ แต่อีกคนเขาไม่ได้ต้องการ คือต่อให้เราฟีดเขาเหมือนกัน แต่ว่าก็ไม่ได้ต้องการ
เพราะฉะนั้นเขามีของเขามา แล้วเราก็จะเห็นว่าเขามีของเขาติดตัวมาแล้ว เพียงแต่ว่ามันมีการอบรม การเรียนรู้ ประสบการณ์มันหล่อหลอมเขาด้วย แต่เขามีของเขามาด้วย
แล้วเราจะเห็นว่าบางคนก็เอาของเรามาเยอะ (หัวเราะ) บางคนก็จะเอาของคนนั้นคนนี้มาเยอะ แล้วชมว่าสิ่งที่สวยงามอีกอย่างหนึ่งของการมีทายาทคือเราเห็นคนที่จากไปแล้วในตัวเขา ซึ่งมันดีนะ ชมเลยรู้ว่าการมีลูกมีหลานมันมีความหมายกับคนแก่คนเฒ่า คนเป็นพ่อเป็นแม่ หรือคนแก่ยังไง เพราะว่าเราเห็นการสืบทอดของดีเอ็นเอ
อย่างสายฟ้าก็จะเหมือนคุณตามาก พายุก็เหมือนคุณปู่มาก ซึ่งสองคนนี้เขาเสียไล่ๆ กัน อย่างพายุ เชิงกายภาพเขาเหมือนพ่อมาก เหมือนคุณตา แล้วนิสัยก็ได้มาบางส่วน แต่สายฟ้าจะเหมือนชมมาก นิสัยเหมือนมาก มันเหมือนเราเห็นตัวเราเลย บางอย่างเรารู้เลยว่าเขากำลังคิดอะไร แล้วเราก็จะคิดล่วงหน้าไปอีกว่าฉันไม่อยากให้แกได้คุณสมบัตินี้ของฉันไป เพราะฉะนั้นฉันจะต้องพัฒนาตรงนี้นะ (หัวเราะ)
ส่วนพายุเขาจะเหมือนคุณพ่อ อย่างสายตา หันไปมองบางทีก็ตกใจ มองแรงมากเหมือนพ่อเขา พ่อเขาก็เป็นคนมองไม่เกรงใจ เขาบอกว่าเขาไม่เคยแอบมองอะไร ถ้าจะมองเขามองเลย
ชมว่าเราไม่ควรจะให้อะไรอย่างนี้มาวัดคุณค่าว่าเราเป็นแม่ที่ดีพอหรือเปล่า เพราะบริบทชีวิตคนเรามันไม่เหมือนกัน แล้วแม่แต่ละคนก็มีบทบาทอื่น บางคนทำงานนอกบ้าน บางคนทำงานเอเจนซี บางคนทำงานโน่นนี่ ซึ่งตรงนี้มันเอาพลังงานจากเราไป แต่ทุกคนที่เป็นแม่ก็รักลูกทั้งนั้นแหละ
อะไรคือข้อดีและข้อเสียของการมีลูกทีเดียวสองคน
ชมว่าข้อเสียคงไม่มี แต่ว่าการที่เลี้ยงเด็กสองคนพร้อมกันโดยที่เราก็เลี้ยงเองด้วย ลองผิดลองถูกด้วย มันไม่เพอร์เฟกต์หรอก มันจะมีตำหนิหรืออะไรบางอย่าง แต่ชมว่าเขามีกันและกัน วันที่ไปส่งเขาเข้าห้องเรียนวันแรกเราเห็นเลย เรานึกสะท้อนใจ เรานึกสงสารลูกคนอื่นแทนเขา แล้วยิ่งคนที่อาจจะไม่เคยได้พาลูกไปไหน แล้วลูกออกจากอกไป เดินเข้าห้องเรียน แล้วไปเจอคนที่ไม่เคยเจอ สำหรับเขาก็คงจะ… แต่ลูกเรามองไปเขายังเห็นกันเอง เขายังมีกันและกัน ซึ่งอะไรแบบนี้เราไม่เก็ต เพราะเราเป็นลูกคนเดียว
แสดงว่า 2 ปีที่ผ่านมาคุณได้ใช้เวลาอยู่กับเขาอย่างเต็มที่จริงๆ
ก็ได้นะ คือมันก็มีบางทีที่เราต้องเดินทางไปทำงาน แต่ชมก็จะรีบกลับมา มีช่วงนี้ที่พอเขาไปโรงเรียน แล้วเป็นครั้งแรกที่เขาออกจากเราไป เป็นช่วงเวลาที่เรากับเขาไม่ได้อยู่ด้วยกัน แล้วชมมีเวลาว่างตรงนี้ ซึ่งเป็นเวลาว่างที่ถูกกฎหมาย คือชมไม่ได้ทิ้งเขา เข้าใจความหมายนี้ไหม (หัวเราะ) คือชมสามารถไปนวดตัว ไปทำเล็บ ไปทำอะไรอย่างนี้ได้ แล้วมันดี
แต่ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาก่อนที่เขาจะเข้าโรงเรียน พอชมมีเวลา บางทีอยากจะมีเวลาของตัวเอง อยากจะเจียดเวลาสัก 3-4 ชั่วโมงไปสปา ไปนอนนวดสบายๆ แต่มันไม่สบายใจ ข้างในมันรู้สึกว่าเราจะพลาดอะไรไปหรือเปล่าวะ ตอนนี้เราควรจะต้องไปอยู่กับลูกไหม มันเป็นไปเอง แต่พอลูกไปเข้าโรงเรียนสัปดาห์ละ 5 วัน ถ้าไม่มีงาน ฉันก็ยังมี 3 ชั่วโมงตรงนี้ (หัวเราะ) 3 ชั่วโมงที่ฉันจะทำอะไรก็ได้ มันเป็นวิถีผู้ปกครองที่แท้จริง
ตลกมาก วันแรกที่พาลูกไปส่งที่โรงเรียน เรายังทำตัวไม่ถูก เป็นผู้ปกครองแล้วจะทำอะไรดีวะ เราก็ไปนั่งคาเฟ่แถวๆ โรงเรียน เปิดประตูเข้าไปก็เจอผู้ปกครองโรงเรียนเดียวกัน คือนั่งทำตัวไม่ถูก (หัวเราะ) เหมือนทุกคนกำลังรับมือกับบทบาทใหม่ของชีวิต เสร็จแล้วมันก็เป็นของมันไปเอง
มีเรื่องอะไรไหมที่คุณแม่ชมอยากจะแชร์กับคุณแม่คนอื่นๆ
ชมว่าด้วยโซเชียลมีเดีย แล้วก็ด้วยความที่เป็นแม่เจนนี้ คือชมเป็นเจนที่อยู่ในช่วงรอยต่อระหว่างคนรุ่นคุณแม่ของเราแล้วก็คนรุ่นนี้ ซึ่งชมรู้สึกว่ามันเป็นช่วงที่ disrupt มาก มันมีอะไรที่เปลี่ยนเยอะมาก เพราะฉะนั้นเรายังได้รับอิทธิพลของคนรุ่นก่อนหน้าว่าเราควรจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ในขณะที่ไลฟ์สไตล์ของแม่ในรุ่นเรามันก็เปลี่ยนไป ชมเลยคิดว่าแม่รุ่นนี้ก็มีความกดดันอีกแบบเหมือนกันว่าคุณควรจะต้องเป็นแม่แบบไหน
พอเข้าสู่วงการแม่เต็มตัวก็จะต้องมีเรื่อง ‘นมแม่’ ซึ่งชมไม่เถียงกับองค์การอนามัยโลกนะคะ ชมว่านมแม่แน่ที่สุด ชมก็เชื่อเรื่องนมแม่ แต่ชมว่าโซเชียลมีเดียทำให้เราแบบว่า… แม่ต้องมีนมเยอะๆ ต้องมีนมเต็มตู้ คนที่ไม่มีนมหรือมีนมน้อยก็จะเครียดว่าฉันทำดีพอแล้วหรือยัง
คือชมว่าเราไม่ควรจะให้อะไรอย่างนี้มาวัดคุณค่าว่าเราเป็นแม่ที่ดีพอหรือเปล่า เพราะบริบทชีวิตคนเรามันไม่เหมือนกัน แล้วแม่แต่ละคนก็มีบทบาทอื่น บางคนทำงานนอกบ้าน บางคนทำงานเอเจนซี บางคนทำงานโน่นนี่ ซึ่งตรงนี้มันเอาพลังงานจากเราไป แต่ทุกคนที่เป็นแม่ก็รักลูกทั้งนั้นแหละ
เพราะฉะนั้นชมไม่อยากให้อะไรพวกนี้มาวัดคุณค่าว่าเราทำดีพอแล้วหรือยัง ไม่มีใครมีสิทธิ์ที่จะมาตัดสินว่าเราเป็นแม่ที่ดีหรือเปล่า เพราะมันคือวิถีของเรา เราสะดวกแบบนี้ ชมว่าแม่เดี๋ยวนี้โดนกดดันเยอะ แล้วบางทีชมรู้สึกว่าที่ไม่น่ารักคือบางทีมนุษย์แม่ก็มากดดันกันเอง
เราไม่ควรจะไปตัดสินใครว่าทำไมเขาไม่ทำอย่างนั้น ทำไมเขาไม่ทำอย่างนี้ เพราะอย่างที่บอกว่าบริบทชีวิตเขากับเรามันไม่เหมือนกัน อยากให้แม่ทุกคนอยู่กับตัวเอง เฟิร์มๆ ว่าเราก็ตั้งหน้าตั้งตาทำของเราด้วยสัญชาตญาณ เราต้องรู้สิว่าเราเลือกสิ่งที่ดีที่สุดตามกำลัง ตามบริบทในชีวิตเรา ตามความจำเป็น เพราะฉะนั้นถ้าเราต้องออกไปทำอะไร ถ้าสมองมันประมวลแล้วว่าสิ่งนี้จำเป็น เราต้องออกไปเพื่อครอบครัวหรือเพื่ออะไร คุณทำไป อย่าไปรู้สึกผิด ไม่มีใครมีสิทธิ์ที่จะมาตัดสินเรา
แล้วอีกอย่างหนึ่งนะ ยิ่งพอเรามาเป็นแม่ เราระลึกเสมอว่าเราโชคดีมาก เพราะเรายังสบายกว่ารุ่นแม่เราเยอะมาก แล้วเรามีคนซัพพอร์ต มีอะไรเยอะแยะ แต่มันทำให้เรานึกไปถึงแม่คนอื่นที่เขาไม่ได้มีสิทธิพิเศษเท่าเรา แล้วบางคนก็ต้องแบกอะไรเยอะ อย่างบางคนต้องทำงาน บางที่ถ้าลางานเขาก็ไม่จ่ายสตางค์ ซึ่งตรงนี้มันน่าเห็นใจ น่าเป็นกำลังใจให้คนเป็นแม่ทุกคน
ในฐานะที่เป็นผลผลิตของแม่ เราชอบที่เรารับตัวเราเองได้ เรารักตัวเราเองที่เป็นอย่างนี้ ซึ่งมันคืออะไรวะที่ทำให้เราเป็นคนแบบนี้ แม่ก็ไม่ได้มีคำพูดอะไรที่เก๋ๆ ไม่ได้มีคำคมอะไร แม่เราจบ ป.4 แต่ทำไมฉันถึงเป็นชมพู่ อารยาได้
ความจริงคุณแม่ของคุณ (วารี หน่อแก้ว) ถือเป็นรุ่นพี่ในบทบาท ‘แม่’ ที่ผ่านมาได้ขอคำแนะนำจากแม่เรื่องการเลี้ยงลูกบ้างไหม
ไม่ได้ขอ แต่คิดนะว่าเขาเลี้ยงเรายังไงให้เป็นคนอย่างนี้ ถ้าถามว่าเราชอบคุณสมบัติอะไรในตัวเอง ในฐานะที่เราเป็นผลผลิตของแม่ เราชอบที่เรารับตัวเราเองได้ เรารักตัวเราเองที่เป็นอย่างนี้ ซึ่งมันคืออะไรวะที่ทำให้เราเป็นคนแบบนี้ แม่ก็ไม่ได้มีคำพูดอะไรที่เก๋ๆ ไม่ได้มีคำคมอะไร แม่เราจบ ป.4 แต่ทำไมฉันถึงเป็นชมพู่ อารยาได้
เรานึกย้อนกลับไป แม่ไม่เคยส่งเราเรียนพิเศษ ฉันไม่เคยได้เรียนบัลเลต์ แจ๊สแดนซ์ หรือเปียโนอะไรกับเขาเลย เพราะว่าเราก็มาจากครอบครัวธรรมดา แต่แม่ก็ไม่เคยคาดหวัง แล้วก็ไม่เคยพูดว่าอยากเห็นเราเป็นอะไรเลย คือมันจะเป็นอะไรก็เป็นของมันไป ไม่เคยบอกว่าอย่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้นะ ไม่เคยขัด เราก็เลยคิดว่าหรือว่าอันนี้แหละที่ทำให้เราเป็นแบบนี้
เราก็เลยไม่เคยคิด ลูกจะเป็นยังไงก็ปล่อย หมายถึงว่าถ้าเขาทำอะไรที่มันผิดมารยาทสังคม หรือแสดงความไม่น่ารัก เราก็ขัดเกลาเขาไป แต่ถ้าเขาจะชอบหรืออยากทำอะไร อยากจะกลิ้งเกลือกกับพื้นก็ปล่อยเขา เพราะถ้าเราไปห้ามเขาทุกอย่าง เด็กมันจะเสียความมั่นใจไง ไม่ใช่ว่าจะทำอะไรแล้วต้องหันมามองหน้าแม่ว่าทำได้หรือเปล่า
ชมอยากให้เขาเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด เพราะชมว่าความเป็นตัวของตัวเองมันเป็นคุณสมบัติที่ซื้อไม่ได้ แล้วชมว่ามันมาซ่อมตอนโตก็ไม่ได้ด้วย
จริงๆ แล้วเด็กเขามีความสุขง่ายมากเลยนะ ฝาขวดน้ำก็เล่นได้ มีฝาขวดน้ำอันหนึ่ง แต่แย่งกันเหมือนเป็นสิ่งมีค่ามาก เพราะฉะนั้นผู้ใหญ่อย่างเราเองนี่แหละที่ไปบอกเขาเองว่าอะไรมันมีมูลค่า ทั้งที่จริงๆ แล้วเขาอาจจะมีความสุขกับขี้ดิน ขี้ทราย หนังยาง หรืออะไรก็ได้ เรานี่แหละที่ไปใส่ข้อมูลให้เขาว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้นะลูก
นอกจากแชร์เรื่องลูก มีเรื่องชีวิตคู่ที่คนเป็นภรรยาอยากจะเล่าสู่กันฟังบ้างไหม
ชีวิตคู่ก็ดีค่ะ พอมีลูกเราสองคนก็มีเป้าหมาย คนคบกันมานานๆ ต่อไปมันจะคุยเรื่องอะไรล่ะ เรื่องลูกเหมือนเป็นโปรเจกต์ที่เราสร้างขึ้นมาแล้วก็ต้องดูแลด้วยกันไปตลอด มีเรื่องที่ต้องตัดสินใจร่วมกัน แบ่งหน้าที่กัน
แล้วสรุปว่าคนที่ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมา 5 ปีเขาคุยอะไรกัน ต้องหมั่นเติมความหวานให้กันไหม คนสองคนเติมเต็มความสัมพันธ์กันอย่างไร
หวานไหมเหรอ (หัวเราะ) คือทั้งคู่ไม่ใช่คนหวานกันอยู่แล้ว พี่น็อต (วิศรุต รังษีสิงห์พิพัฒน์) ก็คือกระดาษทราย คบกันมาตั้งหลายปี ชมเพิ่งจะได้ดอกไม้ที่ถูกใจเมื่อวันเกิดหรือวันครบรอบแต่งงานปีที่ผ่านมานี่เองที่รู้สึกว่า เออ ดอกไม้ถูกใจว่ะ ที่ผ่านมาไม่ได้ถูกใจเลย แต่ก็ขอบคุณค่ะ (ยิ้ม) เขาไม่ใช่คนหวาน แล้วเราก็ไม่ใช่คนหวาน แต่ทั้งคู่อยู่ด้วยกันแล้วฟังก์ชันมันได้ เขาก็ทำในพาร์ตของเขา ซึ่งเราผลักให้เขาเลย ส่วนเราก็ทำในพาร์ตของเรา เหมือนต่างคนต่างรู้บทบาทของกันและกัน
แล้วไม่ค่อยอวยกัน ไม่ค่อยยอกัน จนบางทีเราต้องทวง (หัวเราะ) บางทีเราต้องถามว่า เป็นไง ฉันเลี้ยงลูกดีไหม ต้องการการคอนเฟิร์มนิดหนึ่ง แล้วถึงเขาจะไม่พูดบ่อย แต่ก็เคยพูดว่าเขาตัดเรื่องนี้ไปได้เลย เขาสามารถออกไปลุยแล้วก็ทำในสิ่งที่เขาต้องทำโดยที่ไม่ต้องพะวงข้างหลัง พอได้ยินแค่นี้เราก็โอเคแล้ว แสดงว่าเลือกถูกคนแล้วนะ (หัวเราะ)
ยิ่งอายุมากขึ้น เรากลับยิ่งรักตัวเองในแบบที่เป็น เรารู้ว่าเราต้องการอะไร มันเข้าใจชีวิตมากขึ้น ยิ่งแก่ก็ยิ่งเข้าใจ มันก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นนะ
ชมพู่ อารยา ใกล้จะเข้าสู่วัยหลัก 4 เข้าทุกทีแล้ว ปกติพอใกล้ถึงเลขหลักนี้ บางคนจะเจอกับภาวะ Midlife Crisis ชีวิตคุณมีอะไรทำนองนี้บ้างไหม
ถ้าเรื่องเคมีหรือฮอร์โมนในร่างกายยังไม่รู้สึกนะ ยังไม่สายตายาว (หัวเราะ) จะมีก็แค่เหมือนทำให้ตระหนักว่าเวลาของเราบนโลกใบนี้มันสั้น แล้วเราไม่อยากแก่ก่อนลูก เรายังอยากทันช่วงวัยรุ่นของเขา ยังอยากเป็นเพื่อนกับเขาได้ แล้วยิ่งอายุมากขึ้น เรากลับยิ่งรักตัวเองในแบบที่เป็น เรารู้ว่าเราต้องการอะไร มันเข้าใจชีวิตมากขึ้น ยิ่งแก่ก็ยิ่งเข้าใจ มันก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นนะ
จริงๆ เรื่องที่สามารถทำให้เรายิ้ม หัวเราะ หรือว่ามีความสุขได้ในแต่ละวันมีเยอะมาก แล้วจริงๆ ความสุขมันง่ายมาก ยิ่งชมมาเลี้ยงลูกก็รู้เลยว่าความสุขของเด็กมันง่ายมาก เราเองต่างหากที่เอาความสุขไปยึดติดกับวัตถุ ความสำเร็จ หรือตัวเลข แต่จริงๆ มันง่าย ชมว่าเราต้องมองอะไรอย่างที่มันเป็นจริงๆ มีความสุขกับอะไรรอบตัวให้มากขึ้น แล้วเราจะรู้สึกว่าโชคดีแค่ไหนที่วันนี้ตื่นมาแล้วยังมีอะไรให้ทำ
คนอาจจะคิดว่าชีวิตชมพู่ อารยา ในตอนนี้ดูดีไปหมด คิดว่าเรื่องอะไรที่คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับคุณมากที่สุดในตอนนี้
อยากจะเล่าเป็นประสบการณ์ตรงนะ คือวันนั้นไปสำเพ็ง แล้วคนก็มากันเยอะมาก มันคงเป็นอะไรที่ไม่ปกติเนอะ ดาราไปเดินสำเพ็ง แล้วก็มีอาม่าคนหนึ่ง อยู่ๆ แกก็เดินแหวกคนมาแล้วก็บอกว่า ไหนๆ ขอดูหน้าหน่อยสิ อ๋อ เราน่ะ เขาบอกว่าได้ผัวรวยใช่ไหม (หัวเราะ) เราฟังแล้วก็… เฮ้ย นี่คือเสียงสะท้อนจากชาวบ้านคนหนึ่งหรือเปล่าวะ นี่คือความเข้าใจที่คนมีต่อเราเหรอ แล้วเคยดูรายการ 3 แซ่บ ไหม เคยดูละครฉันบ้างหรือเปล่า นี่เราเอง เราก็ไม่รู้นะว่าควรจะต้องรู้สึกยังไงต่อเหตุการณ์นี้ ต่อให้เราจะได้สามีเป็นใคร แต่ว่าเราก็มีตัวตนของเรา อะไรที่เราชอบทำ เราก็ยังทำอยู่ อะไรที่เราชอบกิน เราก็ยังกินอยู่
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
- ตุ๊ดซี่ส์ แอนด์ เดอะเฟค มีกำหนดเข้าฉายในโรงภาพยนตร์วันแรก 5 ธันวาคมนี้