×

ขาขึ้นหุ้นเทคสหรัฐฯ ยังไม่จบ! Dan Ives คาด Apple เป็นบริษัทแรกที่จะมีมูลค่าแตะ 4 ล้านล้านดอลลาร์

25.02.2025
  • LOADING...
Apple มูลค่า 4 ล้านล้านดอลลาร์ คาดการณ์โดย Dan Ives จาก Wedbush Securities

ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐฯ อยู่ในทิศทางขาขึ้นมาตลอด ดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว จากประมาณ 11,000 จุด มาแตะ 20,000 จุด ก่อนที่ราคาหุ้นจะเริ่มชะลอตัวในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่าขาขึ้นของหุ้นเทคกำลังจบลงแล้วหรือไม่

 

Dan Ives, Managing Director, Global Head of Technology Research จาก Wedbush Securities มองว่า “ขาขึ้นของหุ้นเทคเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น ถ้าเป็นงานปาร์ตี้ที่เลิกเวลาตี 4 ตอนนี้ก็เพิ่ง 4 ทุ่มเท่านั้น”​ 

 

Dan เชื่อว่าหุ้นเทคจะยังปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยคาดว่าดัชนี Nasdaq มีโอกาสจะวิ่งขึ้นไปถึง 25,000 จุด เพิ่มขึ้นประมาณ 25% ในปีนี้ และในอีก 2-3 ปีข้างหน้ามีโอกาสจะปรับตัวขึ้นต่ออีกราว 50%

 

Apple จะกลายเป็นบริษัทแรกของโลกที่มีมูลค่า (Market Cap) แตะระดับ 4 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 140 ล้านล้านบาท ภายในช่วงฤดูร้อนปีนี้ (เดือนมิถุนายน-กันยายน) จากปัจจุบันที่มีมูลค่าราว 3.68 ล้านล้านดอลลาร์ และบริษัทที่สองที่จะทำได้คือ Nvidia

 

แรงหนุนสำคัญมาจากเทคโนโลยี AI ซึ่ง Dan บอกว่า 25% ของคนทั่วโลกจะเข้าถึง AI ผ่านอุปกรณ์ของ Apple และบริษัทถัดไปที่น่าจะไปถึงระดับ 4 ล้านล้านดอลลาร์ คือ Nvidia 

 

“ตอนนี้บริษัทในสหรัฐฯ มีเพียง 4% ที่เริ่มใช้ AI แล้วอย่างจริงจัง ขณะที่ธุรกิจ AI ของ Apple จะมีมูลค่ามากถึง 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ นอกจากนี้บริษัทต่างๆ จะลงทุนเกี่ยวกับ AI ถึงประมาณ 2 ล้านล้านดอลลาร์ ในอีก 3 ปีข้างหน้า”

 

ส่วนความเสี่ยงหลักของหุ้นเทคยังเป็นเรื่องของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่อาจจะทำให้ต้นทุนของธุรกิจสูงขึ้น แต่ Dan เชื่อว่าความเสี่ยงดังกล่าวค่อยๆ ลดลง หลังจาก​ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีท่าทีประนีประนอมกับจีนมากขึ้น 

 

อีกประเด็นสำคัญที่หลายคนอาจกังวลคือ ความเสี่ยงของภาวะฟองสบู่แตกคล้ายกับวิกฤตดอทคอมในช่วงปลายทศวรรษ 1990

 

Dan มองว่า ความแตกต่างที่สำคัญคือ ขาขึ้นรอบนี้หนุนโดยหุ้นเทคขนาดใหญ่ที่มีงบดุลรวมกันขนาด 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ และสามารถสร้างกระแสเงินสดได้ปีละ 4 แสนล้านดอลลาร์ ส่วนฟองสบู่ช่วงวิกฤตดอทคอมเกิดจากโมเดลธุรกิจที่ไม่แข็งแรงของสตาร์ทอัพจำนวนมาก และสุดท้ายไม่ได้นำไปสู่การใช้งานจริง

 

สำหรับหุ้นที่มีแนวโน้มจะโดดเด่นหลังจากนี้ได้แก่ Apple, NVIDIA และ Palantir รวมทั้ง Tesla ที่ได้อานิสงส์จากการกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ 

 

Dan แนะนำว่านักลงทุนควรจะมีหุ้นสหรัฐฯ ในพอร์ตประมาณ 60-70% และในสัดส่วนนี้ควรจะเป็นหุ้นเทคราว 75% 

 

หุ้นเวียดนาม อีกหนึ่งตลาดที่อาจเป็นผู้ชนะในปีนี้

 

กิติชาญ ศิริสุขอาชา หัวหน้าฝ่าย Investment Solutions บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นหลักที่เราให้น้ำหนักมากกว่าตลาดคือ สหรัฐฯ เวียดนาม และอินเดีย 

 

โดยเฉพาะหุ้นเวียดนามที่มีโอกาสเป็นตลาดหุ้นที่เติบโตโดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่ง ด้วยปัจจัยบวกจากการเข้าคำนวณในดัชนี FTSE Emerging จากเดิมที่อยู่ใน FTSE Frontier โดยจะเริ่มมีผลในเดือนกันยายนปีนี้ 

 

ขณะที่การเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่งที่สุดในเอเชียราว 25% เทียบกับ MSCI ex. Japan ที่เฉลี่ย 11% นอกจากนี้มูลค่าของหุ้นเวียดนามยังค่อนข้างต่ำ ซื้อขายที่ P/E 10 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ 11.4 เท่า 

 

ส่วนความเสี่ยงหลักคือการอ่อนค่าของเงินดอง ที่อาจทำให้เงินทุนไหลออก รวมทั้งความเสี่ยงจากการขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เนื่องจากเวียดนามเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงสุดเป็นอันดับ 3 รองจากจีนและเม็กซิโก 

 

ส่วนหุ้นสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่น่าจะเติบโต 10-12% ในปี 2025-2026 เทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ ที่น่าจะเติบโตเฉลี่ย 7-9%

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising