×

ออกแบบ ชุติมณฑน์ หลังผ่านหนึ่งปีปรากฏการณ์ ฉลาดเกมส์โกง

10.05.2018
  • LOADING...

ถ้าผู้อ่านเชื่อว่า ‘ประสบการณ์’ ระหว่าง ‘การเดินทาง’ นั้นสามารถเพิ่มเติมต่อยอดให้ชีวิตมนุษย์คนหนึ่งนั้นเติบโต เชื่อเถอะว่าการเดินทางของ ออกแบบ-ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง จากความสำเร็จของภาพยนตร์ ฉลาดเกมส์โกง ตลอดหนึ่งปีเต็มนับตั้งแต่เข้าฉายในเมืองไทย (3 พฤษภาคม 2560) ก็ต้องเรียกว่าเติบโตในระดับ Gold Experience

 

ภาพยนตร์เรื่องแรกเพียงเรื่องเดียวพาเธอและเพื่อนนักแสดงร่วมออกเดินทางไปพบประสบการณ์ใหม่ในหลากหลายมุมโลก ขณะเดียวกันในแง่มุมส่วนตัว ‘เสน่ห์’ จากการแสดงผ่านบทบาท ‘ครูพี่ลิน’ ก็นำพาให้เธอกวาดรางวัลทั้งในประเทศและระดับสากล!

 

หนึ่งปีเต็มหลังผ่านความสำเร็จ THE STANDARD ชวนออกแบบมานั่งพูดคุยอีกครั้งในฐานะ ‘นักแสดงนำ’ ของหนังไทยกระแสดีที่สุดของปี 2560 เกิดเรื่องราวอะไรกับเธอบ้าง การเดินทางทำให้เติบโตขึ้นจริงไหม รางวัลต่างๆ ให้อะไรกับเธอบ้าง โด่งดังขึ้นแล้วจะเป็นอย่างไรต่อ ฯลฯ คุยกันยาวๆ กับหนึ่งในนักแสดงสาวที่เราเชื่อว่าอนาคตในสายงานแสดงของเธอจะไปได้อีกไกลนับจากนี้

 

หนูรู้ว่าพอออกไปข้างนอก ทุกคนจะรู้จัก แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องใส่หมวก ใส่แว่น ปิดบังตัวเอง เรายังคงเป็นออกแบบที่ทุกคนเข้าถึง จับต้องได้ และยังคงเป็นออกแบบที่ใช้ชีวิตปกติ หนูถึงรู้สึกว่าตัวเองไม่เปลี่ยนไป หนูแค่โตขึ้นและนิ่งขึ้นทุกครั้งที่ออกเดินทางแล้วกลับมา

 

ผ่านมาครบหนึ่งปีแล้ว นับตั้งแต่วันที่ ฉลาดเกมส์โกง เข้าฉายครั้งแรกในไทย และเท่าที่ติดตาม ดูเหมือนว่าหนังเรื่องนี้จะนำพาชีวิตคุณเดินทางไปไกลมาก กลับไปทบทวนความคิดความรู้สึกกันหน่อยดีไหมว่านับแต่วันแรกถึงวันนี้ ผู้หญิงชื่อ ‘ออกแบบ’ เหมือนหรือแตกต่างจากวันวานอย่างไรบ้าง

ก็ต่างนะคะ ต่างกันตรงที่คนภายนอกรู้จักเราเยอะขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม แต่สิ่งที่ยังอยู่คือความเป็นเรา เวลาที่มองตัวเองในกระจก หนูรู้ว่าพอออกไปข้างนอก ทุกคนจะรู้จัก แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องใส่หมวก ใส่แว่น ปิดบังตัวเอง เรายังคงเป็นออกแบบที่ทุกคนเข้าถึง จับต้องได้ และยังคงเป็นออกแบบที่ใช้ชีวิตปกติ หนูถึงรู้สึกว่าตัวเองไม่เปลี่ยนไป หนูแค่โตขึ้นและนิ่งขึ้นทุกครั้งที่ออกเดินทางแล้วกลับมา

 

การเดินทางมันช่วยเพิ่มเลเวลในชีวิตได้จริงๆ  

มันช่วย เพราะการเดินทางไปในแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน ทุกที่คือการเปลี่ยนสังคม และเราจะต้องปรับเพื่อจะเข้าไปอยู่กับสังคมและวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนกัน

 

โมเมนต์แบบไหนบ้างที่ประทับใจ รู้สึกว่ามันสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับชีวิต

ประทับใจตอนเจอ ฟ่านปิงปิง (นักแสดงสาวชาวจีนระดับซูเปอร์สตาร์ของเอเชีย) วันที่ไป ‘อ้ายฉีอี้’ (ค่ายผู้ผลิตคอนเทนต์ออนไลน์ในจีน) อีกครั้งคือตอนที่ไป New York Asian Film Festival 2017 เพราะเราเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับรางวัลจากสถาบันนี้ (ออกแบบคว้ารางวัล Screen International Rising Star Asia Award) แล้ว ฉลาดเกมส์โกง ยังได้เป็นหนังไทยเรื่องแรกที่ได้ฉายเปิดเทศกาล ซึ่งส่วนตัวหนูภูมิใจมาก เพราะมันเป็นงานที่คนจากฮอลลีวูดมาดูเยอะมากๆ การอยู่ในโมเมนต์ตรงนั้นทำให้เรารู้สึกว่าหนังไทยเรื่องหนึ่งมันได้ถูกผลักออกไปไกลกว่าที่คิด หรืออย่างตอนไปเบอร์ลิน (Berlin International Film Festival) ที่เราได้รางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม Asian Brilliant Stars กลับมา ซึ่งก็เป็นคนไทยคนแรกอีกเหมือนกันที่ได้รับรางวัลนี้

 

ทุกครั้งที่หนูไปทำอะไรที่จะต้องถูกเรียกว่า ‘เป็นคนไทยคนแรก’ มันจะมีความกดดันว่าสุดท้ายแล้วเราจะทำหน้าที่ให้ออกมาดีได้ขนาดไหน เพราะมองอีกแง่หนึ่ง การมาถึงจุดนี้เราก็เป็นเหมือนตัวแทนประเทศไทยนะ มันไม่ใช่แค่ว่านักแสดงคนหนึ่งมางานเทศกาลภาพยนตร์แล้วจบ แต่เราหอบหนังไทยมาด้วย หอบความเป็นประเทศไทยมาด้วย ฉะนั้นจะพรีเซนต์ยังไงในฐานะนักแสดงไทยคนแรกที่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ ซึ่งต้องไม่ลืมว่าทุกคนกำลังจับตาดูเราอยู่

 

ไม่ว่าจะได้รางวัลเยอะแค่ไหนก็ตาม หนูก็รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันคือก้าวเล็กๆ เปรียบเทียบเหมือนเป็นหนึ่งก้าวจากร้อยก้าวในชีวิต หนังพาหนูมา หนูได้รางวัลเยอะ นั่นคือโบนัส แต่รางวัลไม่ได้ทำให้ประสบการณ์ด้านการแสดงของหนูเพิ่มขึ้น

 

อย่างล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ในงาน Asian Film Awards 2018 ที่มาเก๊า นี่ก็เป็นอีกงานที่หนูชอบ (ออกแบบคว้ารางวัล Best Newcomer ในงานคืนนั้น) เพราะมันเป็นงานระดับเอเชียซึ่งเป็นการไลฟ์สด ทุกคนจ้องเราอยู่ ทุกคนติดตามอยู่ว่าเราจะรู้สึกยังไงถ้าได้รางวัล

 

ตอนที่เขาประกาศชื่อว่าหนูได้รางวัล หนูช็อกมาก เพราะไม่ได้คาดหวัง ที่ผ่านมาเวลาพวกเราไปเทศกาลหนัง พี่บาส (นัฐวุฒิ พูนพิริยะ ผู้กำกับ) จะพิมพ์มาในกรุ๊ปทุกครั้งด้วยข้อความประมาณ “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอให้โชคดีแล้วกันนะครับ” แต่ส่วนตัวแล้วเราไม่ได้คาดหวัง เพราะรายชื่อผู้เข้าชิงรางวัลแต่ละคนเก่งๆ ทั้งนั้น แค่ได้มีชื่อเข้าชิงก็เป็นเกียรติสำหรับหนูแล้ว

 

 

แทบไม่น่าเชื่อเหมือนกันนะว่าหนังไทยเรื่องแรกจะพาเราเดินทางไปได้ไกลขนาดนี้

ขอใช้คำว่าหนูโคตรภูมิใจเลย (หัวเราะ) แต่ว่าถามว่าหนูรู้สึกว่าตัวเองดังขนาดนั้นไหม คำตอบคือไม่

 

ไม่ว่าจะได้รางวัลเยอะแค่ไหนก็ตาม หนูก็รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันคือก้าวเล็กๆ เปรียบเทียบเหมือนเป็นหนึ่งก้าวจากร้อยก้าวในชีวิต หนังพาหนูมา หนูได้รางวัลเยอะ นั่นคือโบนัส แต่รางวัลไม่ได้ทำให้ประสบการณ์ด้านการแสดงของหนูเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าใครจะบอกว่าหนูดัง เวลาไปประเทศจีนแล้วคนรู้จัก มีแต่คนอยากร่วมงานด้วย แต่ส่วนตัวหนูไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองดังขนาดภาพที่คนอื่นมอง

 

รางวัลในประเทศไทยล่ะ

สุพรรณหงส์ก็เป็นอีกรางวัลที่ไม่คิดว่าจะได้ หนูทำใจไว้แล้วด้วย เพราะนักแสดงที่เข้าชิงในสาขาเดียวกันมีทั้ง พี่เต้ย-จรินทร์พร จุนเกียรติ (Die Tomorrow), พี่บี-น้ำทิพย์ จงรัชตวิบูลย์ (เพื่อน..ที่ระลึก) เราจะเอาอะไรไปสู้ เพราะเราเป็นนักแสดงหน้าใหม่มากๆ

 

แต่พอประกาศรางวัลออกมาแล้วเราได้ มันช็อกแบบ… อยากจะร้องไห้ ตอนนั้นอยากขอบคุณพ่อแม่มากๆ ที่คอยซัพพอร์ตมาตลอด อยากขอบคุณแฟนคลับ ขอบคุณทุกคนที่ให้โอกาส ขอบคุณพี่ๆ ทุกคนที่พาเข้าวงการ แล้วตอนที่ขึ้นไปพูดบนเวที หนูตื่นเต้นมาก หนูไม่รู้ด้วยว่าพูดอะไรไปบ้าง รู้แต่ว่ามันพูดออกมาจากความรู้สึกในตอนนั้นจริงๆ อีกอย่างหนูว่ารางวัลในประเทศตัวเองมันสำคัญ เพราะที่ผ่านมาเหมือนเราแบกประเทศไทยไปด้วยทุกที่ แต่พอเป็นรางวัลในประเทศ เหมือนหนูรอเขามาตลอด

 

เมื่อก่อนหนูไม่ค่อยอิน แค่ ‘สู้ๆ’ สองคำมันจะสะเทือนใจอะไรได้ขนาดนั้น จนกระทั่งวันหนึ่งที่เราท้อมากๆ เหนื่อยมากๆ ในชีวิต แล้วมีคำว่าสู้ๆ พิมพ์มาหา กลายเป็นว่าน้ำตาหนูไหลได้กับคำว่าสู้ๆ ได้ยินแล้วมันโคตรมีความสุข นี่คือสิ่งที่หนูได้รับมาจากคนหลายคนผ่านหนังเพียงเรื่องเดียว

 

นักแสดงวัยรุ่นอายุ 22 ปี แต่ต้องแบกหน้าตาของประเทศเดินทางไกลไปด้วย ความรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง

มันก็มีความกดดันในแบบที่คิดว่าตัวเองไม่กดดัน เข้าใจใช่ไหมคะ (หัวเราะ) ความจริงอีกโมเมนต์ที่ชอบคือตอนไปเดินสายโปรโมตหนังกับเพื่อนนักแสดง หนูชอบทุกประเทศที่เราได้ไปด้วยกันครบๆ มันสนุกตรงที่เราได้เจอกับผู้ชมภาพยนตร์ เราได้ดูรีแอ็กชันของเขาว่ารู้สึกยังไงกับหนังแล้วมันภูมิใจ รู้สึกหายเหนื่อยที่ทุกคนชอบมัน สำหรับหนูแค่นี้คือจบ

 

ผู้ชมประเทศอื่นๆ ชอบ ฉลาดเกมส์โกง อย่างไรบ้างไม่รู้ แต่กับตัวเอง คุณชอบหนังเรื่องนี้ในแง่มุมไหนบ้าง

หนูชอบที่หนังมันตีความคำว่า ‘โกง’ ได้ในหลายอย่าง มันไม่ใช่แค่ว่าเด็กคนหนึ่งโกงข้อสอบ เพราะถ้าคุณมองหนังเรื่องนี้ให้ดี มันบอกเล่าถึงการโกงตั้งแต่ระดับผู้ใหญ่จนกลายเป็นภาพจำให้เด็กทำตามอย่าง จุดอ่อนของระบบการศึกษาซึ่งมันมีอยู่จริงๆ ในสังคมของบ้านเรา   

 

 

หนังเรื่องแรกประสบความสำเร็จมากๆ คิดว่าโอกาสในฐานะนักแสดงหลังจากนี้จะง่ายหรือยากขึ้นอย่างไรบ้าง

มันก็ยากขึ้น… เพราะพอหนังเรื่องแรกมันประสบความสำเร็จมากๆ จากที่เราเคยบอกสื่อว่าไม่กดดัน แต่ตอนนี้มันกดดันตรงที่หลังจากนี้จะสกรีนบทยังไงให้เราได้พัฒนาตัวเอง เพราะหลายคนคงรอดูหนังเรื่องที่ 2 ของเราอยู่ คือถ้าเราเป็นคนดูแล้วเห็นว่านักแสดงคนหนึ่งประสบความสำเร็จกับผลงานมากๆ เราก็คงเป็นอยากติดตามเขาแบบนั้นด้วยเหมือนกัน

 

คิดว่าแฟนๆ จะได้ดูภาพยนตร์เรื่องที่ 2 เมื่อไร

ตอนนี้ก็มีที่ดูไว้อยู่นะคะ เป็นภาพยนตร์จีนแนวไซไฟที่พอเราไปปรึกษากับพี่บาสและครูร่ม ทุกคนก็บอกว่าดี ให้ไปเล่น (ร่มฉัตร ธนาลาภพิพัฒน์ แอ็กติ้งโค้ชชื่อดัง โดยเฉพาะผลงานร่วมกับ บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ ทั้งจากภาพยนตร์ เคาท์ดาวน์ และ ฉลาดเกมส์โกง)

 

ความจริงตอนนี้มีหลายบทที่หนูอยากเล่นมาก เพราะด้วยความที่หนูใหม่ หลังจาก ฉลาดเกมส์โกง หนูผ่านงานแสดงมาแค่ซีรีส์ เมืองมายา Live ตอน มายารัก On Lie ที่รับงานนี้เพราะว่ามีไลฟ์การแสดงสด หนูคิดว่ามันท้าทายและจะเพิ่มความสามารถด้านการแสดงของหนูไปได้อีกก้าวหนึ่ง

 

ได้รางวัลการแสดงทั้งในและนอกประเทศมาหลายรางวัล คุณมองฝีมือการแสดงของตัวเองในตอนนี้อย่างไรบ้าง

หนูไม่ได้มองว่ารางวัลที่ได้รับจะทำให้รู้สึกว่าตัวเองเก่งหรือไม่เก่ง แต่จะรู้สึกทุกครั้งว่ารางวัลต่างๆ หนูได้มาเพราะคนดู คนดูที่เขาชอบหนังและพูดต่อกันจนกลายเป็นกระแส ซึ่งเสียงเหล่านั้นมันเป็นแรงผลักให้หนังออกไปจากประเทศไทย ไปสู่ประเทศหนึ่ง และไปต่ออีกประเทศหนึ่ง มันคือคำพูดแบบปากต่อปากของคนแต่ละประเทศที่ทำให้หนูได้รับรางวัลในแต่ละประเทศกลับมา สำคัญที่สุด หนูจะไม่มีทางได้รางวัลเหล่านี้เลยถ้าหนูไม่มีทีมที่ดี ซึ่งนั่นทำให้หนูรู้สึกว่ารางวัลมันไม่ได้บ่งบอกได้ทั้งหมดว่าเราเป็นนักแสดงดีเด่นขนาดนั้น แต่สำหรับหนู มันคือรางวัลสำหรับทีมดีเด่น  

 

ถ้ารางวัลต่างๆ ที่ได้มาเป็นเค้กหนึ่งก้อน คิดว่ามันควรจะถูกหั่นแบ่งให้ใครบ้าง

ขอหั่นแบ่งให้ทุกคนที่อยู่ในชีวิตหนูเลย ทั้งคนดูหนัง ทีมงาน ครอบครัว และแฟนคลับ อย่างครอบครัว พวกเขาเป็นกำลังใจในการทำงานของหนู จำได้ว่าตอนถ่าย ฉลาดเกมส์โกง หนูถ่ายหนังแบบ 24 ชั่วโมง บวกกับเรียนเข้าไปด้วย มันเหนื่อยมากเหมือนกัน แต่ก็ต้องประคับประคองมันให้ได้

 

ในเวลานั้นครอบครัวกับแฟนคลับที่หนูมีตั้งแต่ตอนเป็นนางแบบเขาเป็นกำลังใจให้หนูมาก ทุกคนคอยบอกว่า สู้ๆ นะออกแบบ …หนูเพิ่งเข้าใจว่า ‘สู้ๆ’ มันสำคัญก็ตอนช่วงนั้นแหละ  

 

ที่ผ่านมาไม่รู้สึกอินเลย?

เมื่อก่อนหนูไม่ค่อยอิน แค่ ‘สู้ๆ’ สองคำมันจะสะเทือนใจอะไรได้ขนาดนั้น จนกระทั่งวันหนึ่งที่เราท้อมากๆ เหนื่อยมากๆ ในชีวิต แล้วมีคำว่าสู้ๆ พิมพ์มาหา โอ้โห กลายเป็นว่าน้ำตาหนูไหลได้กับคำว่าสู้ๆ ได้ยินแล้วมันโคตรมีความสุข นี่คือสิ่งที่หนูได้รับมาจากคนหลายคนผ่านหนังเพียงเรื่องเดียว

 

การทำงานตรงนี้มันคือการที่เราได้ไปเรียนรู้โลกอีกโลกหนึ่งก่อนเพื่อนคนอื่น แต่ในเวลาเดียวกันเราก็ต้องทิ้งโลกวัยเด็ก ไม่มีประสบการณ์วัยเด็ก ทั้งที่ควรจะเติบโตในระดับก้าวต่อก้าว ดังนั้นมันจะมีความไม่เสถียรของการใช้ชีวิตอยู่ ซึ่งไม่ดีนะ พูดจริงๆ มันคือดาบสองคมเหมือนกัน

 

ทุกความสำเร็จล้วนแลกมาด้วยอะไรบางอย่าง และไม่มีคุณค่าใดที่จะได้มาแบบฟรีๆ คิดว่าความสำเร็จในวันนี้ของคุณต้องแลกมาด้วยอะไรบ้าง

อุปสรรคที่สุดสำหรับหนูจริงๆ มันคือการไม่มีเวลาให้กับครอบครัว อย่างที่บอกว่าหนูต้องเดินทางบ่อย ล่าสุดอาม่าเพิ่งเสีย แต่ก่อนหน้านั้นช่วงที่อาม่ายังนอนป่วย หนูไม่ได้ไปเยี่ยม กว่าจะได้ไปคืองานศพ ซึ่งเป็นวันเผา เรื่องนี้คือมุมที่เจ็บสุด แต่ทำอะไรไม่ได้ เรารู้สึกว่าความสำเร็จมันต้องแลกมาเหมือนกัน

 

อีกอย่างนะ การทำงานตรงนี้มันคือการที่เราได้ไปเรียนรู้โลกอีกโลกหนึ่งก่อนเพื่อนคนอื่น แต่ในเวลาเดียวกันเราก็ต้องทิ้งโลกวัยเด็ก ไม่มีประสบการณ์วัยเด็ก ทั้งที่ควรจะเติบโตในระดับก้าวต่อก้าว ดังนั้นมันจะมีความไม่เสถียรของการใช้ชีวิตอยู่ ซึ่งไม่ดีนะ พูดจริงๆ มันคือดาบสองคมเหมือนกัน

 

ปกติคุณเครียดกับเรื่องอะไรบ้าง

มีเรื่องการเรียน การทำงาน บางทีก็เครียดเรื่องคำพูด การติฉินนินทา ความจริงมันเป็นเรื่องปกติของโลกแหละ คือไม่ว่าคุณจะก้าวสูงขึ้นแค่ไหน ยังไงก็จะเจอคำพูดของคนที่อาจจะไม่รู้จัก ไม่สนิท มาคอยเป็นดาบทิ่มแทง ซึ่งเราไม่รู้หรอกว่ามันจะมาจากทิศทางไหนบ้าง แต่ถ้าเรารู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ เราก็ไม่ต้องแคร์ตรงนั้น หนูเป็นคนประเภทที่ถ้าไม่ได้ทำเราจะปล่อย ถ้าคุณอยากพูดก็พูดไป นั่นเป็นธุระของคุณ แล้วสักวันหนึ่งเมื่อเหนื่อย คุณจะหยุดพูดเอง

 

คำพูดแบบไหนที่ทำให้เจ็บปวดที่สุด

คำพูดแบบไหนที่ทำให้เจ็บปวดที่สุดเหรอ… (คิด) หนูไม่ค่อยเก็บมาคิดไง เลยไม่ค่อยรู้สึกว่าคำพูดแบบไหนเจ็บปวดที่สุด

 

แต่จริงๆ หนูเป็นพวกเก็บกดนะ ชอบเก็บความรู้สึก ไม่ค่อยชอบพูด ไม่บอกใครเลย ไม่บอกพ่อแม่ เก็บความรู้สึกถึงขั้นที่ไปถ่ายงานชิ้นหนึ่งในไทย พี่ทีมงานเขาก็ถามหนูว่าออกแบบเหนื่อยไหม ถ้าเหนื่อยก็บอกพี่นะ พอถ่ายงานนั้นเสร็จ หนูได้ไปถ่ายงานที่ปารีส แล้วพี่คนนั้นเขาก็ไปด้วย พอเสร็จงานเราก็แฮงเอาต์กันตอนกลางคืน พี่เขาก็บอกอีกว่า ออกแบบ วันหลังถ้าหนูเหนื่อย หนูโกรธพี่ หนูรู้สึกท้อ รู้สึกอยากพัก หรืออะไรก็ตาม แสดงอาการให้พี่เห็นหน่อย พี่อ่านหนูไม่ออก (หัวเราะ)  

 

แต่ความจริงคือหนูเข้าใจทุกครั้งว่าเรามาทำงาน ถึงแม้ว่ากองจะช้าหรือติดขัดอะไรก็ตาม เราเตรียมตัวมาแล้วว่ามาทำงาน เรามีหน้าที่เป็นนางแบบ และถ้าหิวน้ำ หนูก็เดินไปหยิบเองได้ ไม่ได้ติดอะไร แต่ว่าทุกคนเป็นห่วงมาก เพราะว่าหนูไม่แสดงอาการอะไรเลย

 

แล้วความจริงคือหนูชิลมาก หนูแค่เป็นคนแบบนี้ หนูจะบอกอะไรกับใครก็ต่อเมื่อหนูรู้สึกว่ามันถึงลิมิตในชีวิตที่ควรจะบอกใครสักคนแล้ว ซึ่งแต่ละปัญหาเราก็เลือกคนปรึกษาไม่เหมือนกันด้วยไง เพราะเรารู้ว่าแต่ละคนรอบตัวเขาเป็นคนยังไง เราก็เลยจะเลือกปัญหาไปปรึกษาที่ไม่เหมือนกัน จากนั้นเราถึงจะไปบอกแม่เมื่อเราปรึกษาปัญหากับทุกคนเสร็จแล้ว

 

คนเจเนอเรชันหนูค่อนข้างแข่งกันมากเรื่องการทำงาน เพื่อนหนูจะเครียดมากทุกครั้งที่ขายของไม่ได้ ทั้งที่บ้านก็ไม่ได้จน หนูก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทุกคนจะกดดันตัวเองทำไม ทั้งที่ความจริงเราเพิ่งจะอายุ 22 ซึ่งวิถีชีวิตของคนปกติคือเพิ่งเรียนจบ เริ่มเข้าสู่วัยทำงาน

 

ทำไมพ่อแม่มักจะเป็นคนที่รู้ปัญหาของลูกทีหลังเสมอ ความจริงบท ‘ครูพี่ลิน’ ในเรื่องก็เป็นแบบนี้เหมือนกันนะ

คือคนเจเนอเรชันหนูเขาพยายามทำงานกันทุกคน เพื่อนรอบตัวหนูทุกคนขายของ เพราะอยากใช้เงินของตัวเอง ที่ผ่านมาเราใช้เงินพ่อแม่มาเยอะแล้วตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นเราก็ไม่อยากใช้เงินพ่อแม่ คืออยากจะพิสูจน์ให้ท่านเห็นว่าเราอยู่ได้ แล้วไม่ว่าจะทำธุรกิจอะไรก็ตาม เขาจะต้องพยายามทำให้สำเร็จด้วยนะ ไม่ใช่แค่ว่าทำแล้วจบ

 

พอความคิดเป็นแบบนี้ คนเจเนอเรชันหนูเลยค่อนข้างแข่งกันมากเรื่องการทำงาน เพื่อนหนูจะเครียดมากทุกครั้งที่ขายของไม่ได้ ทั้งที่บ้านก็ไม่ได้จน หนูก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทุกคนจะกดดันตัวเองทำไม ทั้งที่ความจริงเราเพิ่งจะอายุ 22 ซึ่งวิถีชีวิตของคนปกติคือเพิ่งเรียนจบ เริ่มเข้าสู่วัยทำงาน หรือบางคนอาจจะลงเรียนต่อ  

 

ฉะนั้นถ้าคุณมีโกลในชีวิตว่าต่อไปจะทำอะไร แล้วจะรีบกดดันตัวเองให้เครียดจนกลายเป็นปัญหาในใจไปทำไม นี่คือปัญหาของคนเจเนอเรชันหนูที่มันคือมายด์เซตที่เราไปแก้ไขปัญหาให้ใครไม่ได้ด้วยนะ

 

คิดว่าเป็นเพราะอะไร

หนูรู้สึกว่าพอมีใครคนหนึ่งทำแล้วสำเร็จ มันคือการมองไปที่สปอตไลต์ดวงนั้นแล้วทำตามเพื่ออยากจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้เร็วๆ จะได้สบายเร็วๆ ทั้งที่ความจริงคนเจเนอเรชันก่อนหน้าเราที่ประสบความสำเร็จ เขาก็ประสบความสำเร็จกันช่วงอายุ 30-40 ปี

 

ความจริงอย่างออกแบบก็น่าจะเข้าข่ายบุคคลในสปอตไลต์ด้วยเหมือนกันนะ

อย่างที่บอกว่าหนูไม่ค่อยเสถียร พอไม่เสถียร หนูจะไม่ค่อยรู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จขนาดนั้น อีกอย่างหนูไม่อยากเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับเพื่อนที่เขายังไม่ได้ทำงาน และถ้าต้องเปรียบเทียบ หนูควรจะเปรียบเทียบกับคนที่ทำงานเท่าๆ กัน ไม่อย่างนั้นจะเท่ากับไม่แฟร์  

 

นอกจากมุมความเป็นนางแบบ นักแสดงที่แจ้งเกิดดังเปรี้ยง คุณมีมุมธรรมดาๆ แบบวัยรุ่นอายุ 22 หลงเหลืออยู่บ้างไหม

โอ้โห ชีวิตหนูยังนั่ง BTS ซ้อนมอเตอร์ไซค์วินเป็นปกติอยู่เลย คือใครอยากถ่ายรูปด้วยก็เข้ามาได้เลยค่ะ หนูก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองวิเศษกว่าใคร เราคือมนุษย์ธรรมดาที่มีอาชีพเป็นนักแสดงและนางแบบ ส่วนอีกมุมหนึ่งเราก็เป็นนิสิตในมหาวิทยาลัย แค่นี้จบเลย

 

แม้ว่ามันจะเป็นอาชีพที่ผู้คนพร้อมจะสปอยล์เรา…

หนูว่าการสปอยล์เป็นเรื่องที่ผิด คือก็ไม่ได้ผิดที่คนสปอยล์หรอกนะคะ (หัวเราะ) แต่อาจจะผิดที่ความรู้สึกของตัวผู้ถูกสปอยล์มากกว่า คือเราต้องทำยังไงก็ได้เพื่อจะไม่ไปเหลิงกับตรงนั้น กับรางวัล กับชื่อเสียง หรือกับสิ่งใดๆ ที่ได้รับ

 

หนูว่ามันสำคัญนะ ยกตัวอย่าง บางคนที่ถูกเลี้ยงมาโดยพ่อแม่ที่สปอยล์ลูกมากๆ อยากได้อะไรก็หามาให้ แล้วถ้าวันหนึ่งเขาไม่ได้รับมัน เช่นเดียวกับคนทำงานที่ถ้าวันหนึ่งผลงานเกิดไม่ประสบความสำเร็จแล้วรู้สึกผิดหวังมากๆ ชีวิตเขาจะกดดันแค่ไหน…

 

แสดงว่าถ้าผลงานหนังเรื่องต่อไปไม่ประสบความสำเร็จ คุณจะไม่ผิดหวัง

หนูทำเต็มที่แล้วไง เมื่อได้รับโอกาส หนูแค่ทำกับมันให้เต็มที่ เรารู้ตัวเองดีว่าได้ทำมันไปเต็มที่แล้วแค่ไหน ที่เหลือหลังจากนั้นปล่อยให้ผู้ชมเป็นคนตัดสิน  

 

คุณมีฝันหรือโกลในฐานะนักแสดงที่อยากทำให้ได้ อยากไปให้ถึงบ้างไหม

หนูไม่ได้ฟิกซ์ขนาดนั้น แค่รู้สึกว่าถ้าเลือกจะก้าวมาเป็นนักแสดงและลงมาเต็มตัวขนาดนี้ หนูก็อยากไปแตะฮอลลีวูดเหมือนกับคนอื่นบ้าง อาจจะเป็นแค่ฝันนะ แต่เราไม่ได้มีแผนหรือตั้งวันเวลาไว้ว่าภายในปีโน้นปีนี้ฉันจะทำให้ได้ แบบนั้นไม่มี เราแค่ต้องทำไปเรื่อยๆ ถ้าไปถึงได้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จที่สุดแล้วในชีวิต  

 

ถ้าอย่างนั้นตอนนี้คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง

ตอนนี้เหรอคะ แค่หนึ่งก้าวจากร้อยก้าว

 

แต่เป็นก้าวที่ใหญ่

ใช่ค่ะ เป็นก้าวที่ใหญ่มาก เราจะพยายามก้าวต่อ และก้าวอย่างระมัดระวังให้มากขึ้น

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising