บทที่สิบแปด
“สงครามกลางเมืองในสเปนเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 18 กรกฎาคม ปี 1936 ช่วงเวลานั้นข้าพเจ้าทำงานเป็นเพียงพนักงานเก็บและวิเคราะห์เอกสารโบราณในหอสมุดแห่งชาติที่ปารีส หน้าที่ของข้าพเจ้ามีเพียงการชำระประวัติศาสตร์ให้ถูกต้องในเรื่องราวที่ได้รับการร้องขอมาจากหน่วยงานราชการต่างๆ อาทิ ถนนสายนี้ควรมีชื่อที่ถูกต้องทางประวัติศาสตร์ว่ากระไร เครื่องบรรณาการที่ส่งไปยังราชสำนักแห่งนั้นในยุคกลางมีเท่านี้จริงหรือไม่ อาหารของเราที่อ้างว่าคิดค้นในแคว้นแซกโซนีมีความจริงพอจะป่าวประกาศได้ไหม เรื่องราวแบบนั้น งานแบบนั้นที่ข้าพเจ้ามีหน้าที่รับผิดชอบ แม้ว่าข้าพเจ้าจะร่ำเรียนมาทางด้านประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ก็ตาม แต่ประวัติศาสตร์ในแบบที่ข้าพเจ้าคลุกคลีอยู่นั้นหาได้สร้างความพึงใจแก่ข้าพเจ้าเลย ความรู้สึกซ้ำซากจำเจเช่นนั้นผลักดันให้ข้าพเจ้าอยากเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์แทนที่จะเป็นผู้รับฟังมันแต่ถ่ายเดียวบ้าง ดังนั้นเมื่อมีการรับสมัครทหารอาสาเข้าร่วมรบในสงครามกลางเมืองที่สเปนเพื่อพิฆาต เข่นฆ่าพวกฟาสซิสต์อันเลวร้ายจากฝั่งของนายพลฟรังโก ข้าพเจ้าจึงไม่ลังเลเลยและยินดีเป็นล้นพ้นที่โอกาสนั้นมีมาถึง
กระบวนการสมัครเป็นทหารอาสาของข้าพเจ้าเป็นไปโดยราบรื่น การสู้รบที่นั่นกำลังดำเนินหน้าไปอย่างรุดเร่ง ฝ่ายอนาร์คิสต์และฝ่ายรัฐบาลประกาศชัยชนะทุกวันและทุกเมือง และก็ต้องการกำลังพลสำหรับบดขยี้ฝ่ายฟาสซิสต์ด้วย แม้ว่าอายุของข้าพเจ้าจะมากจนใกล้สี่สิบปีแล้ว แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาหากข้าพเจ้ามีความสมัครใจ และข้าพเจ้าก็สมัครใจที่จะกระทำเช่นนั้นเสียด้วย ข้าพเจ้าไม่มีครอบครัว ไม่มีแม้กระทั่งคนรัก ญาติผู้ใหญ่ของข้าพเจ้ามีเพียงมารดาที่เป็นหญิงหม้ายเสียแต่ยังสาว และตกอยู่ภายใต้การดูแลของน้องสาวและน้องเขยที่บ้านเกิดของข้าพเจ้าที่อาวิญง ดังนั้นสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องกระทำคือยื่นใบลาออกจากงานที่รับผิดชอบหอสมุดแห่งชาติ เก็บสิ่งของที่จำเป็น และกลับไปร่ำลาผู้เป็นมารดา กิจการทั้งหมดนี้ข้าพเจ้ากระทำลุล่วงในเวลาหนึ่งสัปดาห์ และในเช้าวันหนึ่งของเดือนธันวาคม ปี 1939 ข้าพเจ้าก็จับรถไฟจากกรุงปารีสมุ่งหน้าไปบาร์เซโลนาในสเปน
บาร์เซโลนาต้อนรับข้าพเจ้าด้วยความอบอุ่นและภาษาคาตาลัน ข้าพเจ้าเพิ่งทราบว่าทหารฝรั่งเศสนั้นได้รับการยกย่องอย่างมากในด้านการรบที่นี่ พวกทหารสเปนที่นั่นจึงคาดหวังกับข้าพเจ้ามากจนทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกประหม่าเวลาถูกถามถึงศิลปะแห่งสงคราม ข้าพเจ้าต้องชี้แจงซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับผู้ไต่ถามคนแล้วคนเล่าว่าข้าพเจ้าหาได้เชี่ยวชาญในไรเฟิล ปืนกล หรือระเบิดมือ ข้าพเจ้าหาได้เชี่ยวชาญในการคืบคลานไปตามแนวหน้า หรือรู้ตำแหน่งหลบภัยในสนามเพลาะ ข้าพเจ้าไม่เคยบุกไประเบิดรถถัง หรือแม้แต่แทงศัตรูด้วยดาบปลายปืนในระยะกระชั้นชิด ข้าพเจ้าเป็นเพียงเสมียนด้านเอกสารธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นก่อนมายังที่นี่ และข้าพเจ้ากำลังเรียนรู้การศึกและสงครามไม่แตกต่างจากพวกเขาเลย กระนั้นก็ดูเหมือนคำชี้แจงของข้าพเจ้าจะไม่เคยผ่านลึกไปในพวกเขา ทุกครั้งที่พวกเรานั่งดื่มเหล้าองุ่นหลังอาหารมื้อค่ำและจุดบุหรี่ที่พอหาได้ ใครสักคนก็จะพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ ฟรังซัวส์ คุณช่วยเล่าการเผชิญหน้าศัตรูแบบถึงเลือดถึงเนื้อของคุณให้เราฟังทีได้ไหม?”
บาร์เซโลนาและคาตาลันเป็นดินแดนอัศจรรย์ ถ้าหากว่าข้าพเจ้าไม่ได้มาที่นี่ในฐานะของทหารแล้วละก็ ข้าพเข้าเชื่อว่าตนเองคงใช้เวลาจำนวนมากไปกับอาราม และร้านหนังสือเก่า เป็นแน่ ซึ่งน่าเศร้าว่าเมื่อข้าพเจ้าไปถึงทั้งสองสถานที่นี้ล้วนถูกปิดตายไปแล้ว อารามของเหล่าบาทหลวงที่เชื่อกันว่าพวกนั้นสนับสนุนฟาสซิสต์ถูกปิดตาย ประตูโบสถ์หรืออาสนวิหารถูกไม้แผ่นใหญ่สองแผ่นตีประกบกัน ร้านหนังสือเก่าซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่าครั้งหนึ่งเคยมีหนังสือ ดอนกิโฆเต้ ของ เซอร์วันเตส วางขาย ถูกฝ่ายอนาร์คิสต์สั่งปิดและติดธงแดง-ดำ ประกาศเป็นสถานที่ส่วนตนด้วยซ้ำไป ดินแดนคาตาลันนั้นเป็นดินแดนเก่าแก่ หินทุกก้อนที่ถูกปูบนพื้นถนนเป็นประจักษ์พยานเช่นนั้นได้ ข้าพเจ้าพอใจที่จะเดินไปตามถนนรัมบลาส์ หรือนอนเอนหลังกับขั้นบันไดที่บริเวณจตุรัส เดอ เอสปันญ่า หลังชั่วโมงฝึกอันไร้สาระและหาประโยชน์มิได้ ท้องฟ้าของสเปน ของคาตาลัน ดูสว่างไสวกว่าท้องฟ้าของปารีสซึ่งซึมเซา ข้าพเจ้าคิดถึงบ้านน้อยมาก แม้จะคิดถึงเหล้าองุ่นฝรั่งเศสและบุหรี่กัวโลสซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่ามีรสชาติกว่าเหล้าองุ่นและบุหรี่สเปนมากแม้จะไม่ใช่ในยามสงครามก็ตามที
ข้าพเจ้าผูกมิตรกับมิตรสหายหนุ่มหลายคน ที่นั่น ข้าพเจ้าได้พบกับคนหนุ่มจำนวนมาก ผู้มีน้ำใจหาญกล้าและน่าเลื่อมใสเป็นยิ่งนัก พวกหนุ่มชาวอังกฤษที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับชาวฝรั่งเศสไปที่นั่นมากกว่าครึ่ง และทำตัวดิบดีผิดจากที่เราเคยประสบในประเทศของเขา หนุ่มจากสกอตแลนด์ เวลส์ ก็มีจำนวนไม่น้อยเช่นกัน เรามีหนุ่มจากโปรตุเกส ตูนิเซีย และแอลจีเรีย อาจกล่าวได้ว่าคนหนุ่มในดินแดนรอบๆ สเปน พากันแห่แหนมาที่นี่ มาเพื่อการศึก มาเพื่อชัยชนะ และมาเพื่อเป็นประจักษ์พยานต่อความแพ้พ่ายของพวกฟาสซิสต์น่าชังนั้น
ในหมู่คนหนุ่มเหล่านั้น มีชายหนุ่มจากเยอรมนีคนหนึ่งที่ข้าพเจ้าสะดุดตาเขาแต่แรกเห็น แน่นอน ในขณะที่ฮิตเลอร์และมุสโสลินีประกาศสนับสนุนนายพลฟรังโกอย่างชัดเจนและแน่วแน่ การมีทหารอาสาจากเยอรมนีและอิตาลีย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดา แรกเริ่มข้าพเจ้าคิดว่าเขาเป็นชาวเยอรมันเชื้อสายยิวที่เดินทางออกนอกประเทศอันเนื่องจากกระแสคุกคามชาวยิวในขณะนั้น แต่ข้าพเจ้าเข้าใจผิด ไฮน์ริช เบิล เป็นชาวอารยันโดยแท้ เขาเติบโตมาในแคว้นบาวาเรีย บรรพบุรุษทั้งฝ่ายบิดาและมารดาของเขาอาจสืบสาวไปได้ถึงผู้ที่เข้าร่วมในการปฏิรูปศาสนาเคียงบ่าเคียงไหล่กับ มาร์ติน ลูเธอร์ ด้วยซ้ำไป เขามีนัยน์ตาสีฟ้า ผมสีบลอนด์ทอง สูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบหรือหกฟุต ไหล่กว้าง ช่วงขาและแขนยาว จนอดคิดไม่ได้ว่ามีอาชีพสองอาชีพเท่านั้นให้เขากระทำ คืออาชีพด้านการทหารหรือไม่ก็นักกีฬาชั้นนำ ไฮน์ริช เบิล เป็นคนเงียบขรึมและพึงพอใจกับการซุกตัวเองอยู่ในมุมห้องของโรงนอนเสมอๆ ในช่วงเวลาว่าง เขามีหนังสือติดมืออยู่แทบตลอดเวลา จนข้าพเจ้าอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาหาหนังสือเหล่านั้นมาจากไหนในยามสงคราม หรือผู้ใดกันที่คอยส่งหนังสือเหล่านั้นมาให้เขาแทนที่จะเป็นบุหรี่หรือช็อกโกแลตอันเป็นสิ่งจำเป็นมากเสียกว่าตัวอักษรและกระดาษ จากหนังสือในมือของเขา ทำให้ข้าพเจ้าพบว่า ไฮน์ริช เบิล มีความสามารถด้านภาษาอย่างยิ่งยวด ในวันหนึ่งเขาพกหนังสือภาษาเยอรมันว่าด้วยคำสอนของซาราทุสตราของนิตซ์เช่ ทว่าในวันต่อมาเขาพกนวนิยายภาษาฝรั่งเศสของ สต็องดาล และในอีกวันถัดไป เขาพกหนังสือนิทานอิตาเลียน เดคาเมรอน ของบอคคาชิโอ และวันถัดไปนั้นเขาพกพาบทกวีภาษากรีกของโอวิด ไม่นับภาษาอังกฤษและคาตาลันที่เขาพูดได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่น่าเชื่อว่าในร่างกายอันแข็งแกร่งของ ไฮน์ริช เบิล นั้น บรรจุมันสมองอันทรงคุณค่าและสมบูรณ์แบบไว้ด้วย
ด้วยความหลงใหลในตัวอักษรเช่นนั้นของไฮน์ริช เบิล เป็นดังสะพานที่เชื่อมมิตรภาพระหว่างเราสอง หากข้าพเจ้าสังเกตและลอบมอง ไฮน์ริช เบิล เช่นไร ข้าพเจ้าเชื่อว่า ไฮน์ริช เบิล ก็ได้สังเกตและลอบพิจารณาข้าพเจ้าเช่นกัน อุปนิสัยของข้าพเจ้าที่พกพาสมุดบันทึกและปากกาติดตัวอยู่เสมอย่อมเป็นที่สะดุดตาเขา ทุกเวลาที่ข้าพเจ้านั่งลงบนโต๊ะไม้ในโรงทหารและเริ่มต้นจดบันทึกรายวันสลับกับการจุดบุหรี่ขึ้นสูบ ในขณะที่เพื่อนร่วมโต๊ะกำลังเพลิดเพลินกับกีฬาบัตรหรือไพ่โดยไม่กังวลสายตาผู้ใด ข้าพเจ้าจะเห็น ไฮน์ริช เบิล ลอบมองมาทางข้าพเจ้าเป็นระยะ ข้าพเจ้าไม่มีหนังสือติดตัวมา แต่ข้าพเจ้าก็ยังรักและหลงใหลในการอ่าน แต่กาลเวลาขณะนั้น ข้าพเจ้าปวารณาตนแล้วว่าข้าพเจ้าพึงใจจะอ่านแต่ความคิดของตนเองเท่านั้น ข้าพเจ้าจดทุกสิ่งที่คิด ทุกสิ่งที่ตนเองรู้สึกในระหว่างวันและอ่านทบทวนมันในยามค่ำ หนังสือที่เกิดขึ้นจากความคิดคำนึงของข้าพเจ้าเติบโตขยายปริมาณขึ้น จากสมุดเล่มหนึ่งเป็นสมุดสองเล่ม สามเล่มและสี่เล่ม และต่อเนื่องไปอีก สมุดเหล่านั้นถูกข้าพเจ้าจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบเหนือหัวนอนและตั้งใจว่าเมื่อออกสู่สนามรบแล้ว ข้าพเจ้าจะจัดส่งมันกลับบ้านเกิด ภาพลักษณ์เช่นนี้ทำให้ข้าพเจ้าแตกต่างจากทหารอาสานายอื่น เช่นเดียวกับที่ภาพลักษณ์ของ ไฮน์ริช เบิล ทำให้เขาแตกต่างจากทหารอาสาทั้งปวง
บทสนทนาแรกระหว่างข้าพเจ้ากับ ไฮน์ริช เบิล เกิดขึ้นในบ่ายวันหนึ่ง หลังพิธีกรรมแจกปืนไรเฟิลตกยุคจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่งจบสิ้นลง ทหารอาสาทุกนายได้รับอนุญาตให้พักผ่อนเป็นพิเศษในวันนั้น ข้าพเจ้าจัดน้ำดื่มและเหล้าองุ่นรสเลวที่ยังหลงเหลืออยู่ใส่กระเป๋าสะพายพร้อมด้วยสมุดบันทึกและปากกาก่อนจะออกเดินมุ่งหน้าไปยังจตุรัส เดอ เอสปันญ่า ข้าพเจ้าออกเดินด้วยความเพลิดเพลินใจ การได้รับแจกอาวุธเช่นนั้นเป็นสัญญาณว่าการได้ออกไปสู้รบของหน่วยเราใกล้จะมาถึงแล้ว แม้ว่าอาวุธจะเก่าแก่ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวล ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าอาวุธของพวกฟาสซิสต์ก็หาได้ดีเด่นกว่าอาวุธของเราเท่าใดนัก สิ่งที่เราเหนือกว่าคือกำลังใจต่างหากเล่า โดยเฉพาะกำลังใจที่ได้รับการหนุนเนื่องจากชาวคาตาลัน อันเป็นความเชื่อที่ข้าพเจ้าได้รับรู้ว่าเป็นความเชื่อที่ผิดมหันต์ในเวลาต่อมา ข้าพเจ้าไปถึงจตุรัสดังกล่าวในอีกครึ่งชั่วโมง และเมื่อข้าพเจ้าลงนั่งบนขั้นบันไดนั้นเอง ไฮน์ริช เบิล ก็ปรากฏตัวขึ้น เขานั่งลงเคียงข้างกับข้าพเจ้า ยื่นมือขวาอันขาวซีดของเขาออกมา “ผมมีชื่อว่า ไฮน์ริช เบิล ยินดีที่ได้รู้จักคุณอย่างเป็นทางการ” ข้าพเจ้ายื่นมือขวาของข้าพเจ้าออกไปกระชับมือของเขาด้วยความงุนงง ระหว่างทาง ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าข้าพเจ้าออกเดินมาอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีเพื่อนร่วมทาง ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ไฮน์ริช เบิล ล่วงรู้และคาดเดาได้ว่าข้าพเจ้าจะมาที่นี่ และเขามีเส้นทางสัญจรอื่นไม่ปรากฏในแผนที่ทางทหาร แค่ข้อสันนิษฐานนี้ก็บ่งแสดงชัดเจนแล้วว่า ไฮน์ริช เบิล ไม่ใช่ทหารอาสา ไม่ใช่หนุ่มน้อยผู้หลงใหลในตัวอักษรธรรมดา เขาต้องเป็นใครสักคนที่มีบางสิ่งนอกเหนือจากนั้นซึ่งข้าพเจ้าได้เรียนรู้และค้นพบมันในเวลาต่อมา
(ติดตามตอนต่อไปในวันเสาร์ที่ 24 มีนาคม 2561)
ติดตามอ่าน วายัง อมฤต ตอนก่อนหน้าได้ที่
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 1-2)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 3-4)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 5)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 6-7)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 8)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 9)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 10)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 11-12)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 13)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 14)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 15-16)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 17)
เชิงอรรถ
สงครามกลางเมืองในประเทศสเปน เกิดขึ้นในปี 1936 และดำเนินไปจนถึงปี 1939 เป็นสงครามระหว่างฝ่ายสาธารณรัฐซึ่งเป็นรัฐบาลโดยชอบธรรมซึ่งร่วมมือกับฝ่ายคอมมิวนิสม์ กับฝ่ายกบฏซึ่งก่อการรัฐประหารโดยการนำของนายพล ฟรานซิสโก ฟรังโก ซึ่งถูกเรียกในภายหลังว่าฝ่ายฟาสซิสต์
สงครามครั้งนี้ไม่ได้ดำเนินไปโดยประชาชนชาวสเปนแต่ฝ่ายเดียว หากยังมีการสนับสนุนจากต่างชาติอีกด้วย ฝ่ายสาธารณรัฐได้รับการสนับสนุนจากประเทศรัสเซีย แนวร่วมคอมมิวนิสม์หรือคอมินเทอร์นและทหารอาสาจากนานาชาติ ในขณะที่ฝ่ายฟาสซิสต์ได้รับการสนับสนุนจากประเทศอิตาลีและประเทศเยอรมนี
หลังสงครามจบสิ้นลงพบว่ามีผู้เสียชีวิตในสงครามถึงกว่า 200,000 คน อันนับเนื่องว่าเป็นการสูญเสียที่สูงมากเป็นประวัติศาสตร์สงครามกลางเมือง