บทที่สิบเจ็ด
ศรี อรพินโท ครางออกมา ทำให้การสนทนาของเราต้องหยุดชะงักลง ข้าพเจ้าเหลียวมองดูเขา ไม่มีเลือดไหลออกมาจากทรวงอกของเขาแล้ว สมุนไพรนั้นทำงานอย่างได้ผล เหลือไว้เพียงเสื้อผ้าโชกเลือดของศรี อรพินโทที่ถูกทอดวาง ที่แสดงว่าเขาได้ผ่านการต่อสู้อย่างหนักหน่วง บุหลันนำคนโทน้ำไปให้ศรี อรพินโทจิบอีกครั้งหนึ่ง ครานี้เขาจิบมันเพียงเล็กน้อยก่อนจะหลับใหลไป และแล้วเรื่องเล่าของบุหลันก็เริ่มต้นขึ้น
“ฉัน พี่สาวฝาแฝดของฉัน และศรี อรพินโท พวกเราทั้งสามคนเติบโตมาด้วยกัน ครอบครัวของเราเป็นครอบครัวของผู้มีฐานะในโบกอร์ คุณอาจเรียกสถานภาพของพวกเราว่าเศรษฐี คหบดี หรือนายทุนได้หมดตามความเชื่อของคุณ บ้านหลังที่เราจากมาซึ่งถูกแปรสภาพเป็นโรงพยาบาลนั้นเป็นเพียงทรัพย์สมบัติเพียงส่วนเสี้ยวของครอบครัวเรา และนอกจากบ้านหลังดังกล่าวแล้ว ครอบครัวของเรายังมีคฤหาสน์อีกจำนวนนับไม่ถ้วน สวนยาง เหมืองแร่ ไร่ข้าวโพด ทุ่งปศุสัตว์ กิจการของชนชั้นสูงแบบที่คุณคงพอนึกออก ท้องทุ่งสุดลูกหูลูกตา ท้องทุ่งที่คุณควบม้าสองถึงสามวันก็ยังไม่สุดเขตแดนของมัน
“ในช่วงวัยเด็ก ฉันกับพี่สาวฝาแฝดของฉันเติบโตขึ้นมาด้วยความพร้อมเพรียงจากความสุขทางกาย แต่ปราศจากความสุขทางใจ ฉันสรุปแบบนั้นได้ พ่อของเรามีภรรยาหลายคน และผู้หญิงแต่ละคนของพ่อล้วนครอบครองทรัพย์สินคนละแบบ ล้วนดูแลกิจการคนละอย่าง สวนยางพาราของหญิงคนนั้น เหมืองแร่ของหญิงอีกคน แน่นอนด้วยข้ออนุโลมทางศาสนา พ่อของเราสามารถกระทำเช่นนั้นได้ แต่ฉันเชื่อว่าพ่อของฉันได้ทำมากกว่านั้น อับดุล อาฟิซ ชายผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดเท่าที่โบกอร์เคยมีมาได้ทำอะไรมากกว่านั้นในชีวิตคู่ของเขา
“แม่ของพวกเรามีนามว่า นูส์ ครอบครัวของแม่เป็นครอบครัวที่มีฐานะเช่นกัน แม้ว่าอาจจะไม่เทียบเคียงกับพ่อได้ก็ตามที ตาและยายของเรามีกิจการเหมืองดีบุกขนาดใหญ่ในสุมาตรา พ่อได้เจอกับแม่ในช่วงเวลาที่พ่อไปพักผ่อนยังทะเลสาบโทบา-โทบา ดานาว ภาพของแม่ที่ออกเดินเล่นริมทะเลสาบในยามเย็นกับเหล่าคนติดตาม วันแล้ววันเล่าคงตราตรึงใจพ่อเป็นอย่างยิ่ง เพราะหลังจากพ่อกลับมาที่บ้านได้ไม่นานนัก พ่อได้ส่งผู้ใหญ่ของพ่อไปสู่ขอแม่กับตาและยายของเรา แม่ในวัยสิบเจ็ดปีย่อมไม่มีทางทัดทานความเห็นดีเห็นงามของพ่อแม่ได้ ด้วยเหตุนี้ อีกสามเดือนต่อมา พ่อกับแม่ของฉันก็เข้าสู่พิธีสมรส พ่อพาแม่ไปอยู่ที่คฤหาสน์หลังใหญ่ของครอบครัวที่โบกอร์ ชีวิตสมรสของพ่อและแม่ควรเป็นชีวิตที่สุขสมและงดงาม ทว่ามันกลับเป็นการเริ่มต้นปฐมบทแห่งเรื่องราวเลวร้ายทั้งปวง พ่อยกย่องแม่ไว้เหนือกว่าภรรยาทุกคนก่อนหน้านั้น แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช่ในภรรยาคนถัดไป
“ภรรยาคนถัดไปของพ่อเป็นหญิงสาวรูปงาม ความงามของเธอนั้นหากจะเปรียบเทียบกับแม่ของฉันแล้วอาจเปรียบได้ว่า ความงามของแม่สงบและเยือกเย็นเหมือนดั่งความงามแห่งแสงจันทร์นวล ใบหน้าของแม่ให้ความรู้สึกอบอุ่น สงบ เยือกเย็น ราวกับการที่เราออกเดินเล่นในแสงจันทร์หรือแสงบุหลันยามค่ำคืน เสียงของแม่นุ่มนวลราวเสียงขับขานของวิหคหรือบุหรง ในขณะที่ความงามจากภรรยาคนใหม่ของพ่อนั้นร้อนแรงและแผดเผาราวกับแสงแดดจ้าจากดวงอาทิตย์ ใบหน้าของเธอเปล่งปลั่ง สว่างไสว จนสามารถมองเห็นได้จากระยะไกล เสียงพูดของเธอนั้นมีอำนาจดั่งเสียงจอมทัพยามเข้าสู่การศึก พวกเราตระหนักรับรู้ในสิ่งเหล่านี้นับตั้งแต่วันแรกที่เธอเดินทางมาถึงคฤหาสน์ของเรา นับตั้งแต่วันแรกที่เธอเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเรา
“อานุภาพการทำลายล้างของฟาริดา ภรรยาคนใหม่ของพ่อนั้นเริ่มต้นตั้งแต่การที่เธอบังคับให้พ่อแบ่งพื้นที่ครึ่งหนึ่งภายในคฤหาสน์ให้แก่เธอ พ่อจำใจทำเช่นนั้นโดยการแบ่งส่วนซ้ายของอาคารคฤหาสน์ให้แก่แม่ และแบ่งส่วนขวาของคฤหาสน์ให้แก่เธอ ฉันพยายามคิดว่าสาเหตุที่พ่อทำเช่นนั้นเพราะต้องการบอกกับแม่ว่าแม่ยังอยู่ในหัวใจด้านซ้ายของพ่อเสมอ แต่ฟาริดาเป็นดั่งแขนขวาที่กระทำการทุกสิ่งแทนพ่อเท่านั้น คฤหาสน์ห้าชั้นของเราตกอยู่ในสภาพราวกับถูกมีดคมกริบเฉือนออกเป็นครึ่ง แม้จะยังมีพื้นที่เหลืออีกมากมายให้เราได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข แต่ไม่เคยเลยที่เราจะรู้สึกสงบใจเหมือนคราก่อน ฟาริดาเปรียบดั่งดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงไปในทุกพื้นที่ที่เรามีชีวิตอยู่ เธอเป็นดั่งแขนขวาของพ่อก็จริง แต่เป็นแขนขวาที่พร้อมจะริบเอาทุกสิ่งในสายตาของเธอเข้าสู่ตนเอง
“วันแต่ละวันของเรานับจากนั้นกลายเป็นวันเวลาแห่งการเฝ้ามองการเข้าครอบครอง คืบคลานในสิ่งที่ฟาริดาปรารถนา ภรรยาของพ่อถูกขับออกจากกิจการที่พวกเธอดูแลทีละคน และหลังจากนั้นพวกเขาก็ถูกขับออกจากชีวิตของพ่อด้วย กิจการของพ่อทั้งหมดถูกรวมศูนย์ไว้ที่ฟาริดา รายรับรายจ่ายถูกเบิกผ่านเธอ และด้วยวิถีเช่นนั้น เธอย่อมกุมอำนาจที่มีต่อคนใช้และคนงานทั้งหมดของเราได้ในที่สุด
“แม่ของฉันพยายามต่อสู้กับอำนาจเช่นนั้นอย่างสุดกำลังด้วยอาการแข็งขืนทุกรูปแบบที่กระทำได้ นับตั้งแต่การสนทนากับพ่อน้อยลงทุกที การไม่เข้าร่วมในวงอาหารยามค่ำที่มีฟาริดาอยู่ด้วย ไม่นับการไม่สนใจในกิจการที่พึงกระทำเยี่ยงสามีภรรยา พวกเราเฝ้ามองการต่อสู้เช่นนั้นดำเนินไปพร้อมกับร่างกายที่ซูบผอมลงทุกวันของแม่ ฉันกับพี่สาวฝาแฝดของฉันเชื่อว่าหากไม่มีเราอยู่ในชีวิตของแม่ แม่คงจากโลกนี้ไปเนิ่นนานแล้ว แม่ถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยว พวกเราหมกตัวอยู่ในห้อง กินอาหารในห้อง อาหารของเราเลวร้ายลงทุกที อาจมีคนงานบางคนที่เห็นใจเราแต่พวกเขาเหล่านั้นย่อมไม่อาจกระทำอะไรได้ คนที่เป็นปรปักษ์ต่อฟาริดาอย่างเปิดเผยมีคนเดียวคือ มาเม็ต คนรถของเรา ซึ่งในที่สุดแม่ถูกย้ายเข้าไปทำงานที่เหมืองแร่ของตากับยายที่สุมาตรา
“เมื่อพวกเราอายุได้ห้าขวบ การต่อสู้ของแม่ก็จบลง แม่จากพวกเราไป ทิ้งฉันกับพี่สาวฝาแฝดให้กลายเป็นเด็กกำพร้า พวกเราถูกทอดทิ้งให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางสงครามที่มองไม่เห็น ซึ่งตากับยายของเราคงรู้สึกเช่นนั้นได้ ท่านเดินทางมาเยี่ยมเราอีกครั้งหลังงานศพของแม่ พร้อมกับข้อเสนอที่จะนำเราติดตามไปอาศัยอยู่ด้วยที่สุมาตรา แต่พ่อปฏิเสธอย่างแข็งขัน และเนื่องจากหัวหน้าครอบครัวมีสิทธิขาดในเรื่องที่ว่านั้นอยู่เสมอ ตากับยายของเราก็จำนน กระนั้น ตากับยายก็นำเสนอในสิ่งที่เรียกว่าการต่อรอง “แกต้องจัดหาแม่นมมาดูแลหลานของฉันโดยเร็ว” นั่นคือคำขาดที่เป็น พ่อรับคำ ตากับยายของเราจากไปและกิจกรรมแห่งการแสวงหาแม่นมของเราก็เริ่มต้นขึ้น
“พ่อพยายามแสวงหาแม่นมให้เราในทุกวิถีทาง เริ่มด้วยการประกาศในหมู่ญาติ ในหมู่คนรู้จัก จนไปถึงกับติดประกาศตามสถานที่ต่างๆ ที่พ่อเป็นเจ้าของ แต่หญิงผู้ใดที่เดินทางมาที่คฤหาสน์ของเราเพื่อรับภาระนั้น เมื่อเผชิญหน้าเข้ากับฟาริดา พวกเขาก็จากไปแทบจะทันที รัศมีรอบตัวฟาริดานั้นให้ความรู้สึกดังคำสาปอันน่าสะพรึงกลัว เป็นคำสาปที่ไม่อาจทนทานได้ ทุกคนสละสิทธิ สละข้อเสนออันสูงลิ่วและจากไปอย่างไม่มีวันหันหลังกลับ กาลเวลาผ่านไปจากวันต่อวัน เป็นเดือนต่อเดือน เมื่อไร้ความหวัง พ่อตัดเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เรา จองตั๋วเรือโดยสารไปสุมาตรา เก็บสิ่งของที่จำเป็นทั้งหมดสำหรับเราลงกระเป๋า แต่คืนก่อนที่พ่อจะโทรเลขแจ้งตากับยายของเราให้เตรียมตัวนั้น หญิงคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น
“หญิงคนนั้นปรากฏตัวขึ้นที่ประตูคฤหาสน์ของเราในเวลาเที่ยงคืนตรงพร้อมกับเด็กชายคนหนึ่ง เสียงเคาะประตูของเธอนั้นดังสนั่นหวั่นไหว จนฉันกับพี่สาวต้องลุกออกจากเตียงมาแอบดูเธอที่หน้าต่าง ยามเฝ้าประตูชาวสิงหลของเราส่องดวงไฟต้องใบหน้าของเธอจนสว่างโพลง แต่เธอไม่หลบหลีกแสงไฟ เธอกล่าวด้วยเสียงดังจนได้ยินถึงเราว่า “ฉันมาที่นี่เพื่อทำหน้าที่ปกป้องเด็กน้อยผู้น่าสงสาร” ไม่มีใครรู้ว่าเธอได้ข่าวการแสวงหาแม่นมของพวกเราได้อย่างไร ไม่มีใครรู้ว่าเธอมาจากที่ใด ทุกครั้งที่ใครถามเธอด้วยคำถามเช่นนี้เธอจะกล่าวเพียงว่า “ฉันมาที่นี่เพื่อปกป้องเหล่าเด็กน้อยผู้น่าสงสาร” พ่อของฉันรับเธอไว้ด้วยความปีติยินดีและส่งมอบเราให้อยู่ภายใต้การดูแลของเธอ
“การมาถึงของฟาติมาไม่ใช่เพียงแค่การดูแลปกป้องเรา แต่เธอกลับเปิดสงครามกับฟาริดาอย่างเปิดเผยด้วยซ้ำไป เราได้อาหารชั้นเลิศจากเธอ ได้รับความอบอุ่นอันลึกซึ้งจากเธอ ได้เพื่อนเล่นใหม่จากลูกของเธอคือ ศรี อรพินโท แต่ฟาติมาทำมากกว่านั้น เธอเรียกร้องขอเงินค่าอาหาร ค่าเสื้อผ้า เธอติดต่อขอครูที่ดีที่สุดในทุกวิชาที่เราควรรู้ให้มาสอนสั่งเรา พวกเราทุกคนเติบโตมาภายใต้วันเวลาแห่งการแตกหักของสงครามในครอบครัว ซึ่งแม้เราจะไม่รู้ว่ามันจะมาถึงในวันใด แต่มันเป็นวันที่เราไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เลย
“และแล้ววันที่ฟาริดาแสดงแสนยานุภาพของเธอต่อพวกเราก็มาถึง ตอนนั้นฉันและพี่สาวของฉันมีอายุได้สิบปีแล้ว มีข่าวการค้นพบถ้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งในสุราเวสีที่เต็มไปด้วยภาพเขียนลึกลับ ฟาริดารบเร้าให้พ่อของเราพาทุกคนไปที่นั่นก่อนที่ใครๆ จะไปถึง เธอติดต่อจองเรือโดยสารให้กับพวกเราโดยเฉพาะ โดยห้ามฟาติมา แม่นมของเราเดินทางไปด้วย ซึ่งพ่อยินยอมเช่นนั้น กระนั้นเธอไม่อาจห้ามการติดตามของ ศรี อรพินโท ได้ อาจเป็นเพราะว่าเธอคิดว่าเขายังเป็นเด็กเกินกว่าที่จะมีผลใดๆ และอาจเป็นเพราะว่าฉันกับพี่น้องฝาแฝดพากันยืนกรานว่าเราจะไม่ยอมออกเดินทาง หากบนเรือลำนั้นไม่มีศรี อรพินโทอยู่บนเรือด้วย
“เช้าตรู่ในวันที่เรือกำลังเคลื่อนเข้าเทียบท่ามากาซาร์เมืองท่าในสุราเวสี เป็นเช้าที่พวกเราทุกคนกำลังทานอาหารเช้าอย่างเพลิดเพลิน ศรี อรพินโทสอนเราให้หัดเล่นหมากรุก โดมิโน และเกมต่างๆ จำนวนมากที่เราไม่รู้ว่าเขาไปเรียนรู้มาจากแห่งหนไหน จู่ๆ ฟาริดาก็ลุกออกจากโต๊ะอาหารเดินไปที่กราบเรือ เธอหยุดนิ่งอยู่ที่นั่น จ้องมองไปที่ท้องทะเล ทีละน้อย ลูกคลื่นลูกหนึ่งเคลื่อนเข้ามาหาเรา ฉันยังจำภาพนั้นได้ติดตา แสงแดดเจิดจ้าตกกระทบลูกคลื่นที่ค่อยๆ ม้วนตัวจนเป็นประกาย มันม้วนตัวระลอกแล้วระลอกเล่าจนเป็นคลื่นยักษ์แบบที่คุณคงจินตนาการไม่ได้ คลื่นยักษ์นั้นเคลื่อนเข้าหาเรือของเราอย่างรวดเร็ว ทุกคนอยู่ในภาวะตระหนกตกใจ พ่อของเรา คนงานของเรา พากันหาที่กำบังตนจากคลื่น ซึ่งเชื่อได้ว่ามันคงพัดเรือของเราให้อับปางลงอย่างแน่นอน แต่ฟาริดายังคงยืนอยู่ที่นั่น ยืนอยู่ที่กราบเรือ ภาพของเธอเป็นภาพสุดท้ายที่ฉันได้เห็นก่อนที่ทุกอย่างจะมืดมิดลง
“พวกเราทุกคนดำดิ่งลงไปในมหาสมุทร มีเสียงร้องระงมไปทั่วก่อนจะเงียบลงในเวลาต่อมา ฉันเองก็คิดว่าคงหมดสิ้นเสียงในไม่ช้า แต่ศรี อรพินโทนั่นเองที่เป็นคนพาฉันขึ้นผิวน้ำอีกครั้ง เขาพาฉันกลับไปที่ฝั่ง และที่ฝั่งนั่นเองที่ฉันพบว่าหลงเหลือฉันกับเขาเพียงลำพัง ไม่มีพี่สาวของฉัน ไม่มีพ่อของฉัน ไม่มีฟาริดา นอกจากเศษซากของเรือและผิวน้ำอันนิ่งสงบเท่านั้นที่ปรากฏอยู่ ทุกอย่างกลับคืนสู่ความปกติราวกับไม่เคยมีโศกนาฏกรรมเช่นนั้นบังเกิดขึ้น เราสองคนได้รับการช่วยเหลือจากชาวประมงในบริเวณนั้น และอีกสองอาทิตย์ต่อมาฉันกับศรี อรพินโท ได้รับการส่งตัวไปที่บ้านของตาและยายของฉัน ที่นั่น ฉันได้พบกับฟาติมาและมาเม็ตอีกครั้ง ที่นั่นฉันได้เติบโตมา ชีวิตของฉันนั้นเต็มไปด้วยความสุข แต่ฉันไม่เคยลืมบุคคลที่สูญหายไปจากชีวิตเราคือพี่สาวของฉัน พ่อของฉัน และฟาริดา ทรัพย์สมบัติของพ่อถูกขายทอดตลาด หลายส่วนถูกแบ่งให้กับญาติในตระกูล ในขณะที่บางส่วนถูกส่งกลับมาให้ฉันในฐานะทายาท ไม่มีใครรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับฟาริดา บุคคลที่เป็นดั่งคำสาปของเรา ฉันกับศรี อรพินโท กลายเป็นคู่รักกันในเวลาต่อมา ฟาติมาตั้งชื่อให้ฉันใหม่ว่าบุหลันในฐานะที่ฉันได้ความงามเฉกเช่นดวงจันทร์จากแม่ และตั้งชื่อพี่สาวที่จากไปว่าบุหรงในฐานะที่พี่สาวของฉันมีเสียงพูดอันไพเราะไม่ต่างจากเสียงพูดของแม่ที่ไม่ต่างจากเสียงร้องของวิหคเลย”
บุหลันยุติเรื่องเล่าของเธอ ข้าพเจ้ายื่นคนโทน้ำให้เธอ แต่เธอปฏิเสธ “ฉันยังไม่อาจเล่าถึงการปรากฏตัวของ วายัง อมฤต ให้คุณฟังได้ในคราเดียวกัน ทุกครั้งที่ฉันนึกถึงเรื่องราวในอดีต ร่างกายของฉันจะอ่อนล้าจนแทบสิ้นเรี่ยวแรง ไม่น่าเชื่อว่าแค่เล่าเรื่องจากความทรงจำเพียงเท่านี้จะมีผลต่อฉันมากมายนัก”
ข้าพเจ้าเหลียวมองไปรอบถ้ำ อาหารถูกปรุงเสร็จเรียบร้อยแล้ว มาเม็ตนั่งรอเราอยู่ที่ข้างกองไฟ ข้าพเจ้าไม่อาจรู้ได้แล้วว่าวันเวลาผ่านไปเพียงไหน “ทานอาหารกันเถิด” ข้าพเจ้าเอ่ยแต่บุหลันส่ายหน้าปฏิเสธ “ฉันไม่รู้สึกหิวกระหายใดๆ เลย ถ้าคุณหิวก็จัดการก่อนเถิด ฉันจะรอจนกว่าศรี อรพินโท จะฟื้นขึ้นมา” แทนการรอคำตอบ ข้าพเจ้านำเชื้อไฟจากกองไฟข้างตัวมาเม็ตมาก่อเป็นกองไฟอีกกอง และไม่นานนักมันก็ลุกโชติช่วงจนสว่างไสว “ถ้าคุณยังไม่หิว ผมจะเล่าเรื่องของผมให้ฟังเป็นการชดเชย เรื่องราวที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องราวของผมในฐานะของชายชาวฝรั่งเศสนาม ฟรังซัวส์ อูแบง”
ติดตามอ่าน วายัง อมฤต ตอนก่อนหน้าได้ที่
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 1-2)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 3-4)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 5)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 6-7)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 8)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 9)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 10)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 11-12)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 13)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 14)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 15-16)
เชิงอรรถ
ภาพวาดศักดิ์สิทธิ์ในที่สุราเวสีนั้นถูกค้นพบในถ้ำชื่อว่ามารอส (Maros) ในปี 1950 ในช่วงต้นของการค้นพบนักโบราณคดีเชื่อว่าภาพวาดนี้อาจถูกวาดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งหมื่นปีก่อน แต่ปัจจุบันมีการคาดเดาว่าอายุของภาพอาจมากถึงสี่หมื่นปี ลักษณะของภาพวาดภายในนั้นน่าสนใจอย่างมาก เพราะนอกจากภาพสัตว์อย่างหมูป่าที่พบได้ทั่วไปในภาพวาดผนังถ้ำแล้วแล้วยังมีภาพของมือจำนวนมากปรากฏอยู่ในนั้นด้วยโดยที่ปริศนาของมือนั้นยังไม่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจแต่อย่างใด