บทที่สิบสี่
ห่ากระสุนพุ่งผ่านเราทั้งคู่ไปราวกับสายฝน พันตรี โทรุ ซากาโมโตะ ดึงตัวข้าพเจ้าเข้าไปที่ซอกอาคาร เขาใช้ปืนเมาเซอร์ของเขายิงสวนทางกลับไปเป็นระยะ ในขณะที่ข้าพเจ้าแนบตัวเข้ากับผนังปูน เสียงกระสุนในยามเช้าน่าจะปลุกผู้คนได้ทั้งเมือง แต่ปรากฏว่านอกจากเราสองคนและผู้โจมตีที่ไม่ปรากฏตนแล้ว ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเลยในที่แห่งนั้น ร่างของพลขับที่สิ้นใจก่อให้เกิดกองเลือดขนาดใหญ่บนพื้นถนน ดวงอาทิตย์ที่กำลังทอแสงแรงกล้าขึ้นทุกขณะ ส่งผลให้กองเลือดนั้นมีสีแดงฉาน เสียงกระสุนจากอีกฝ่ายดังใกล้เข้ามาทุกที ข้าพเจ้าเชื่อว่าเราทั้งคู่คงถูกล้อมไว้จนกว่ากระสุนในมือของพันตรี โทรุ ซากาโมโตะ จะหมดลง
ช่วงเวลาขณะนั้นเองที่ข้าพเจ้านึกถึงความตาย นึกถึง ‘นกแห่งความตาย’ หรือ ‘เกมาเตียน บุหรง’ ที่ข้าพเจ้าได้เห็นเมื่อหลายวันก่อน นิมิตและลางสังหรณ์ที่ว่านั้นคงเป็นจริงในที่สุด ข้าพเจ้าคงไม่ได้กลับไปเยอรมันดังที่ตั้งใจอีกต่อไป ไม่นับว่าข้าพเจ้าหมดโอกาสเสียแล้วที่จะทำงานที่ได้รับมอบหมายจากกรมพระฯ จนเสร็จสิ้น ทุกอย่างเปลี่ยนแปรไป หามีสิ่งใดจีรังยั่งยืนไม่ ดังที่ โฮเมอร์ กวีชาวกรีกได้กล่าวไว้ และแล้วข้าพเจ้าก็หลับตาลงเพื่อเตรียมตัวจากโลกนี้ไป
ทว่าสิ่งที่โถมเข้าหาร่างของข้าพเจ้าในเวลาต่อมาไม่ใช่กระสุนปืน หากแต่เป็นร่างของพันตรี โทรุ ซากาโมโตะ เครื่องแบบของเขาโชกไปด้วยเลือด แต่ดวงตาของเขายังคงแข็งกร้าว หาได้แสดงความอ่อนแอใดๆ ไม่ ข้าพเจ้าออกจากที่ซ่อน พยายามดึงร่างของเขาเข้าไปในซอกอาคาร แต่แล้วกระสุนนัดหนึ่งก็พุ่งผ่านแขนข้างซ้ายของข้าพเจ้า ความเจ็บปวดมหาศาลเกิดขึ้นในบัดดล วินาทีสุดท้ายของชีวิตน่าจะมาถึง หากไม่มีเสียงไซเรนและเสียงกระสุนปืนดังมาจากอีกด้านของท้องถนน รถจี๊ปที่บรรทุกทหารญี่ปุ่นมาเต็มรถจำนวนสองคันเลี้ยวผ่านมาทางหัวมุมของถนน
ข้าพเจ้าพยายามยันกายเข้ากับผนังอาคาร มีมือข้างหนึ่งจากบุรุษลึกลับโอบเข้าที่ร่างของข้าพเจ้า ก่อนจะหอบตัวข้าพเจ้าขึ้นบนแผ่นหลังของเขา เขาแบกร่างของข้าพเจ้าวิ่งตรงไปที่ตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว สุดปลายตรอกแห่งนั้นมีรถเก๋งยี่ห้อเชฟโรเลตสีดำจอดอยู่ คนขับรถคือมาเม็ตเปิดประตูด้านหลังของรถออก บุรุษลึกลับผู้นั้นที่ข้าพเจ้าพบว่าคือศรี อรพินโท ดันร่างของข้าพเจ้าเข้าไป และกระโดดเข้าไปนั่งเคียงข้างคนขับ เขาออกคำสั่งกับมาเม็ตว่า “ไปที่ป่า ฮูตัน” และรถได้เคลื่อนตัวออกไปในทันที
รถแล่นออกจากตัวเมือง ผ่านไร่ชาจำนวนมากราวครึ่งชั่วโมง มันแล่นผ่านเข้าไปในป่ายางขนาดใหญ่ ก่อนจะหยุดลงที่ประตูเหล็กโปร่งที่เบื้องหลังเป็นอาคารขนาดใหญ่ ทหารยามชาวชวาที่คาดกริชไว้ที่เอวเปิดประตูนั้นทันทีเมื่อพบว่าชายผู้นั่งอยู่ในรถคือศรี อรพินโท รถของเราจอดสนิทลงที่หน้าอาคาร เลือดที่แขนข้างซ้ายของข้าพเจ้ายังไหลซึมออกมาไม่หยุด ข้าพเจ้ารู้สึกอ่อนเพลียอย่างยิ่ง แต่ยังรู้สึกตัวได้ว่าร่างของตนถูกยกขึ้นไว้บนแคร่ไม้ไผ่และถูกหามเข้าไปเบื้องในอาคาร ข้างในนั้นเป็นห้องโถงที่มีเตียงจำนวนมาก มีคนเจ็บสองสามคนนอนอยู่บนเตียง ข้าพเจ้าถูกวางลงบนเตียง ถ้อยคำสุดท้ายที่ได้ยินคือคำว่ามอร์ฟีน หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็สลบไป
ข้าพเจ้ารู้สึกตัวอีกครั้งในเช้าวันรุ่งขึ้น แขนข้างซ้ายถูกทำแผลและพันด้วยผ้าป่านสีขาวอย่างเรียบร้อย หญิงสาวชาวชวาคนหนึ่งที่ข้าพเจ้าดูออกว่าเป็นนางพยาบาลผู้ดูแลสถานที่แห่งนี้พยุงข้าพเจ้าไปยังห้องอาหารที่อยู่ถัดออกไปจากห้องโถง บนโต๊ะซึ่งถูกจัดเตรียมไว้ให้ข้าพเจ้มีนาซีโกเร็งและปลาแห้งทอดวางอยู่ ข้าพเจ้ารับประทานอาหารมื้อนั้นด้วยความหิวโหย เป็นเวลาเกือบหนึ่งวันเต็มๆ ที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย หลังจากอาหาร ข้าพเจ้าดื่มกาแฟสีเข้มจากกากาแฟและนึกถึงบุหรี่สักมวน แต่น่าเสียดายที่ข้าพเจ้ามาถึงที่นี่เพียงแต่ตัว ข้าพเจ้าลืมบุหรี่ส่วนตนไว้ที่บาร์แห่งนั้น แต่หลังจากนั้นไม่นานนัก ศรี อรพินโท ได้เดินเข้ามาในห้องอาหารพร้อมกับมาเม็ต เขาวางยาเส้นห่อหนึ่งพร้อมด้วยกระดาษมวนลงบนโต๊ะ ข้าพเจ้ามวนบุหรี่ขึ้นสูบด้วยความกระหาย ศรี อรพินโท นั่งลงที่โต๊ะตรงข้ามข้าพเจ้า ในขณะที่มาเม็ตยืนเคียงข้างเขา
“คุณโดนกระสุนเข้าที่แขนซ้าย โชคดีที่กระสุนไม่ทะลุหรือถูกที่สำคัญ คุณคงต้องพักการใช้แขนข้างนั้นสักระยะ เราเย็บแผลให้คุณเรียบร้อยแล้วด้วยขนสัตว์ และคุณอาจต้องพักที่นี่สักระยะหนึ่ง ขอโทษด้วยสำหรับเหตุกาณ์ที่เกิดขึ้น แต่ว่ามันเป็นสถานการณ์ที่จำเป็น หวังว่าคุณคงเข้าใจ”
ข้าพเจ้าพยักหน้า ศรี อรพินโท จ้องมองด้วยรอยยิ้ม “คุณสูบบุหรี่เสร็จเรียบร้อยแล้วใช่ไหม โปรดตามผมมา ผมมีบางอย่างที่ต้องเล่าให้คุณฟัง”
ศรี อรพินโท พาข้าพเจ้าเดินออกจากห้องครัวของโรงพยาบาล เหนือทางออกมีรูปภาพของหญิงสาวผู้หนึ่งที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับบุหรง ในภาพนั้นเธอยืนเคียงข้างกับชายวัยกลางคนที่เครื่องแบบของเขาประดับประดาด้วยเหรียญตราจำนวนมาก “เจ้าของที่ดินผืนนี้” เขากล่าวเพียงสั้น “โปรดอย่าเพิ่งถามสิ่งใดออกมา หลังจากคุณได้พบกับคนรักของผม คุณจะเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างเอง”
ข้าพเจ้าเก็บถ้อยคำของตนตามคำแนะนำของเขา และเดินตามศรี อรพินโท ไปอย่างเงียบๆ มาเม็ตเดินระวังหลังให้กับเรา ข้าพเจ้านึกได้ว่าไม่มีโอกาสสอบถามว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร และเพราะเหตุใดจึงกลายเป็นคนสนิทของศรี อรพินโท แต่ก่อนที่ข้าพเจ้าจะคิดอะไรฟุ้งซ่านไปกว่านั้น พวกเราก็มาถึงบ้านชั้นเดียวหลังหนึ่งที่ปลูกอยู่ทางด้านหลังของโรงพยาบาล
ศรี อรพินโท เคาะประตูไม้สีขาวของบ้านหลังนั้นและเปิดประตูเข้าไปภายใน ข้าพเจ้าเดินตามเขาไปอย่างนอบน้อมโดยที่มาเม็ตสมัครใจยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู ข้างในนั้นเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่ตกแต่งอย่างมีรสนิยม ตุ๊กตาไม้ที่แกะสลักอย่างประณีตบรรจงถูกจัดวางตามที่ต่างๆ ภาพวาดสีน้ำมันฝีมือของช่างวาดพื้นถิ่นถูกแขวนประดับประดาอยู่ตามฝาผนัง เราทั้งคู่นั่งลงที่โต๊ะกลางลาน ศรี อรพินโท จ้องมองไปที่ประตูห้องห้องหนึ่ง ซึ่งอีกสักครู่ต่อมามีหญิงสาวผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากที่นั่น เป็นบุหรงนั่นเอง
บุหรงเดินตรงมาหาพวกเรา ศรี อรพินโท ลุกขึ้นจากโต๊ะ เขาตรงไปจับมือของเธอด้วยความรักใคร่ ในขณะที่ข้าพเจ้านั่งนิ่งอยู่กับที่ แม้ว่าเลือดในกายของข้าพเจ้าที่เกิดจากบาดแผลจะหยุดไหลไปแล้ว แต่ข้าพเจ้ากลับรู้สึกได้ว่าร่างกายขณะนั้นเย็นเฉียบ บุหรงลงนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับข้าพเจ้า โดยมีศรี อรพินโท นั่งลงเคียงข้างเธอที่เก้าอี้อีกตัว ข้าพเจ้าพินิจดูใบหน้าของบุหรง เธอมีรอยยิ้มอันสดชื่นแตกต่างจากความเศร้าที่ข้าพเจ้าพบเจอบนตัวเธอเมื่อคืนก่อน ชั่วเวลาไม่นานนักทำให้มนุษย์เราเปลี่ยนแปลงได้ถึงเพียงนี้กระนั้นหรือ
“นี่ บุหลัน คนรักของผม” ศรี อรพินโท เอ่ย “และเป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้ด้วย ตอนนี้เราทั้งหมดได้อยู่ตามลำพังแล้ว ผมคิดว่าเราควรเริ่มธุระของเราเสียที” ข้าพเจ้ามองดูใบหน้าอันจริงจังของศรี อรพินโท สลับกับใบหน้าอันอ่อนหวานของบุหรง หญิงสาวของข้าพเจ้า หรือบุหลัน หญิงสาวของศรี อรพินโท เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ข้าพเจ้าอยากเสียมารยาทต่อผู้คนด้วยการลุกออกจากสถานที่แห่งนั้นและเดินจากไป
“พวกเราทุกคนที่คุณได้พบในที่นี้เป็นกลุ่มคนที่ประกาศตนต่อต้านการปกครองของพวกดัตช์ในหลายปีที่ผ่านมา แต่แล้วในสถานการณ์ที่การต่อสู้กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น สงครามที่ใหญ่โตกว่าก็เกิดขึ้น ผู้ปกครองของเราแปรสภาพเป็นเชลย สถานภาพของเราในฐานะของกบฏที่แสวงหาอิสรภาพของประชาชนในดินแดนนี้กลายสภาพเป็นโจรป่า นั่นคือคำนิยามที่รัฐบาลหุ่นเชิดและกองทัพญี่ปุ่นมอบให้แก่เรา หลายสิบปีที่เราสูญเสียผู้คนไปมากมายแถบโบกอร์และบันดุงถูกแลกมาด้วยสภาพที่ต้องปรับตัวและหลบหนีอย่างหัวซุกหัวซุน อาวุธที่เรายึดมาจากพวกดัตช์ที่อ่อนแอแทบจะใช้การไม่ได้ในยามนี้เมื่อต้องเผชิญกับอาวุธและการจัดตั้งกองทัพอย่างเป็นระบบจากพวกญี่ปุ่น เราซวนเซ เสียจังหวะ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะยอมแพ้ ไม่มีทาง” ศรี อรพินโท พักการพูดของเขาและจ้องมองออกไปเบื้องนอก
“ประเทศของเรามีอารยธรรมที่ยาวนานกว่าใครทั้งสิ้นในดินแดนเหล่านี้ ชาวชวา ชาวมธุรา ชาวซุนดาน พวกเรามีสำนึกที่แข็งแกร่งเกินกว่าจะยอมรับว่าเราไม่สามารถมีดินแดนเป็นของตนเอง แต่พลังกายพลังใจเพียงอย่างเดียวไม่อาจมีชัยในศึกที่ว่านี้ได้ เราจำเป็นต้องมีบางสิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือการยอมรับจากนานาประเทศว่าเรามีสิทธิในดินแดนของเรา และลัทธิแห่งอาณานิคมควรจบสิ้นเสียที มิสเตอร์ไฮนริช เบิล แม้ว่าเราจะยังมีรายได้จากการลักลอบขายชา กาแฟ และสิ่งต่างๆ จากดินแดนแถบนี้ รวมถึงเงินสนับสนุนจากครอบครัวของบุหลัน แม้ว่าเราจะมีอุดมคติที่แข็งแกร่งเยี่ยงเดียวกับปีเตอร์ เอเวอเดล แต่สิ่งเหล่านั้นไม่เพียงพอ เรายังต้องการอะไรมากกว่านั้น เรายังต้องการการช่วยเหลือจากคุณ” ศรี อรพินโท เบนสายตากลับมามองข้าพเจ้า “มิสเตอร์ไฮนริช เบิล เราต้องการให้คุณติดต่อกับพวกขบวนการใต้ดินชาวฝรั่งเศสที่กำลังเคลื่อนไหวต่อต้านกองทัพเยอรมันอยู่ในขณะนี้ เราต้องการอาวุธและผู้คนที่สามารถจะมาฝึกสอนการเคลื่อนไหวในเมืองให้เรา”
ข้าพเจ้าเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะเอ่ยว่า “แต่…”
“อย่าปฏิเสธผมเลย มิสเตอร์ไฮนริช เบิล คุณอาจซ่อนเร้นตนเองจากพวกเยอรมันและพวกญี่ปุ่นข้างนอกนั้นได้ แต่ไม่ใช่ผม เราล่วงรู้ว่าคุณเองแม้จะเกิดในประเทศเยอรมัน แต่ครอบครัวของคุณเป็นครอบครัวบุญธรรม พ่อและแม่ที่แท้จริงของคุณเป็นชาวฝรั่งเศส และคุณเป็นหนึ่งในคนสำคัญของขบวนการใต้ดิน คุณเป็นเพื่อนสนิทกับผู้นำขบวนการนั้น ทั้งฌอง มูแรง มาร์เชล ลองแกร์ ไม่นับอิดิท เพียซ คุณมาที่นี่เพื่อเดินทางต่อไปยังอินโดจีน การพำนักที่ชวานั้นเป็นเพียงการหันเหความสนใจชั่วคราวจากพวกเยอรมันเท่านั้นเอง”
ข้าพเจ้าก้มหน้านิ่ง ข้าพเจ้าควรเดินออกไปจากห้องนี้จริงๆ แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะสายเกินไปเสียแล้ว
“ได้โปรดเถิด หากพวกคุณคนฝรั่งเศสต้องการอิสรภาพมากเช่นไร พวกเราที่นี่ก็ต้องการมันหาน้อยกว่าคุณไม่”
ก่อนที่ข้าพเจ้าจะตอบอะไรออกมา มีเสียงนกร้องอยู่เบื้องนอกที่สะกดเราทุกคน ไม่ต้องสงสัยเลย นั่นคือเสียงนกแห่งความตาย หรือเกมาเตียน บุหรง ข้าพเจ้าลุกขึ้นจากโต๊ะเพื่อมองหาตัวมัน แต่สิ่งที่พบคือภาพของขบวนรถทหารญี่ปุ่นจำนวนมากที่กำลังวิ่งฝ่าป่ายางพารามา
มีเสียงกระสุน โรงพยาบาลของเราถูกล้อมด้วยทหารญี่ปุ่นรอบด้าน
ติดตามอ่าน วายัง อมฤต ตอนก่อนหน้าได้ที่
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 1-2)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 3-4)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 5)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 6-7)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 8)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 9)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 10)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 11-12)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 13)
ภาพประกอบ: Karin Foxx