บทที่สิบเอ็ด
ข้าพเจ้าเดินตามหญิงชราผู้นั้นเข้าไปในอาคาร รสา ดาราห์ เบื้องหลังประตูบานใหญ่นั้นมีแต่ความมืดมิด จู่ๆ ข้าพเจ้าก็เกิดความรู้สึกดังพลัดหลงไปในโลกอีกโลกหนึ่ง ข้าพเจ้าปรารถนาให้มาเม็ตกลับมาที่นี่ การมีมิตรสหายสักคนเคียงข้างในความรู้สึกเช่นนั้นเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาแม้จะรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ก็ตามที หญิงชราที่ทำหน้าที่นำทางดูจะไม่ตระหนักในความรู้สึกเช่นนั้นของข้าพเจ้า นางจูงมือข้าพเจ้าไปยังโถงบันไดเวียน ก่อนจะใช้กลักไม้ขีดในมือจุดคบไฟที่ประดับอยู่ข้างกำแพง หลังเปลวไฟให้ความสว่างไสวอุบัติขึ้น นางได้จูงมือข้าพเจ้าเดินต่อไปทีละขั้นบันได ระหว่างทาง นางหยุดจุดคบไฟเป็นระยะ และช่วงเวลาที่หยุดอยู่กับที่นั้นเองที่ข้าพเจ้าสาบานกับตนเองว่า ข้าพเจ้าได้ยินเสียงหอบหายใจกระชั้นและหนักหน่วงดังแว่วมาในโสต แต่ไม่อาจระบุได้ว่ามันล่องลอยมาจากที่ใด
ในที่สุด หญิงชราได้จูงมือข้าพเจ้ามาสุดทางของบันไดเวียน มันเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ และข้าพเจ้ามั่นใจว่านี่เองคือชั้นบนสุดของตัวอาคาร และเป็นชั้นเดียวกับที่ผนังด้านนอกได้ประดับประดาสัญลักษณ์รูปนกที่ทำขึ้นจากสำริด และก่อนที่ข้าพเจ้าจะได้เอ่ยถามสิ่งใดกับหญิงชราผู้นั้น นางก็ได้เดินลงบันไดไปเสียแล้ว ข้าพเจ้ายืนสงบนิ่งอยู่ในความมืด แสงไฟจากคบไฟดวงสุดท้ายของขั้นบันไดพอจะทำให้เห็นสันฐานของห้องแต่ไม่อาจทำหน้าที่อื่นได้ดีกว่านั้น แต่แล้วก็มีเสียงปรบมือดังขึ้น ทันทีที่เสียงปรบมือนั้นเงียบลง คบไฟในห้องนั้นก็สว่างไสวขึ้นทันตา
กลางห้องนั้นมีหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักสูง ข้างเก้าอี้ตัวนั้นมีเก้าอี้อีกหนึ่งตัวที่ว่างอยู่ เป็นบุหรงนั่นเอง เธอนั่งอยู่ในอาการที่สงบ ร่างกายของเธออยู่ในชุดเดียวกับที่ข้าพเจ้าได้พบเธอเป็นครั้งแรก สายตาของเธอจับจ้องมาที่ข้าพเจ้า นอกจากเธอแล้วยังมีสาวงามชาวชวาอีกสามนางอยู่ในห้องนั้นด้วย พวกนางแต่งกายด้วยชุดที่ทำขึ้นจากกระโปรงยาวสีดำและเสื้อสีดำที่ตัดเย็บพอดีตัว พวกนางคล้องสร้อยที่ทำจากไข่มุกสายยาว บนศีรษะของพวกนางประดับด้วยเทริดที่รำแพนออกมาคล้ายดั่งหางนกยูง มันทำขึ้นจากทองคำที่สะท้อนแสงไฟเป็นจังหวะ ส่วนในมือทั้งสองข้างของพวกนางนั้นถือพัดสีขาวขนาดใหญ่ พวกนางมีใบหน้าที่เหมือนกันจนข้าพเจ้าเองรู้สึกฉงน แต่ความฉงนนั้นถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเอ่ยวาจาจากบุหรง “ท่านผ่านมาได้ทันเวลาพอดี ข้าขออภัยด้วยที่ต้องนำท่านผ่านทางมาด้วยแสงไฟธรรมชาติ ในช่วงสงครามเช่นนี้ เราคงไม่อาจเผาผลาญน้ำมันเล่นโดยไม่จำเป็น เก้าอี้ข้างกายข้ายังว่างอยู่ ขอเชิญท่านนั่งลงเถิด การแสดงจะเริ่มต้นในบัดนี้แล้ว”
ข้าพเจ้านั่งลงที่เก้าอี้ข้างกายบุหรง เสียงเครื่องดนตรีพื้นเมืองที่ประกอบด้วยกลอง ระนาด ขลุ่ย ดังขึ้นโดยปราศจากผู้บรรเลง สาวงามทั้งสามนางขยับร่างกาย เคลื่อนที่เป็นวงกลมไปรอบๆ พัดในมือของพวกนางถูกตวัดเป็นจังหวะ มันขยับรูปทรงเป็นครึ่งวงกลม เต็มวงแล้วก็เป็นครึ่งวงกลมอีกครั้ง ในขณะที่ผู้ร่ายรำสลับตำแหน่งไปมา เสียงดนตรีเร่งจังหวะขึ้น ผู้ร่ายรำเคลื่อนที่เร็วขึ้น ในครานี้ผู้ร่ายรำแต่ละนางยกชายผ้าสีดำขึ้นห่อคลุมร่างกายและสลับตำแหน่งอีกครั้ง สายตาของข้าพเจ้าพยายามจับจ้องไปที่สาวงามคนใดคนหนึ่ง แต่ไม่เป็นผล สายตาของข้าพเจ้าเริ่มพร่าเลือน ตำแหน่งของผู้ร่ายรำพลิกวนเวียนไปมา จากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง จากร่างกายที่มีมวลและปริมาตรไปสู่ร่างกายที่แบนราบไร้มิติที่ชัดเจน และพริบตานั้นเองสาวงามทั้งหมดได้กลายร่างเป็นตัวหนังสีดำที่โลดเล่นอยู่บนฉากหลังสีขาว ห้องทั้งห้องถูกบีบอัดจนกลายเป็นเพียงผืนผ้า ตัวละครหนังทั้งสามตัวเคลื่อนที่ไปกับเงาของตนเองราวกับการแสดงวายัง ข้าพเจ้าหายใจลำบากขึ้นราวกับจะสิ้นลง แต่การแสดงนั้นก็หาได้หยุดยั้งลงไม่ ตัวละครหนังทั้งสามตัวเคลื่อนเข้าล้อมรอบกายของข้าพเจ้าจนข้าพเจ้าไม่อาจมองเห็นสิ่งใดอื่นนอกจากความมืด และก่อนที่ข้าพเจ้าจะหมดลมหายใจ ตัวละครหนังทั้งสามตัวนั้นก็ถอยห่างไปโดยพลันเปิดทางให้ข้าพเจ้าเห็นใบหน้าแสนงามของบุหรงที่จ้องมองข้าพเจ้าด้วยความกังวล
“มิสเตอร์ ไฮน์ริช เบิล มิสเตอร์ ไฮน์ริช เบิล”
ข้าพเจ้าสูดลมหายใจอย่างแรง อากาศในห้องที่ดูจะหายไปกลับมาอีกครั้ง บุหรงเอื้อมมือเรียวงามของเธอเข้ากุมมือของข้าพเจ้า ความอบอุ่นจากฝ่ามือของเธอทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ข้าพเจ้ารู้สึกดังบุหรงได้ดึงข้าพเจ้ากลับมาจากอีกโลกหนึ่ง เป็นโลกที่ข้าพเจ้าได้ใกล้เฉียดกับสิ่งที่เรียกว่าความตาย “ผมไม่เคยชมการแสดงวายังที่อัศจรรย์เช่นนี้มาก่อนเลย” ข้าพเจ้าเอ่ย “ไม่ใช่วายัง นั่นไม่ใช่การแสดงวายัง มิสเตอร์ ไฮน์ริช เบิล มันคือการร่ายรำ ปากาเรน่าจากเซเลเบส เป็นการร่ายรำระบำพัดธรรมดาเท่านั้นเอง” “แต่สิ่งที่ผมเห็นคือวายัง บุหรง สิ่งที่ผมเห็นเป็นการโลดแล่นของตัวหนังบนฉากสีขาว” ข้าพเจ้ายืนยัน “ไม่ใช่ ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก มิสเตอร์ ไฮน์ริช เบิล คุณได้พลัดหลงไปในโลกสองมิติชั่วขณะเท่านั้นเอง คุณพลัดหลงไปในโลกที่แบนราบชั่วขณะเท่านั้นเอง จับมือของฉันไว้ สัมผัสมันให้มั่นคง ฉันมีตัวตนจริง จับฉันให้มั่น เราจะกลับมาสู่โลกนี้ด้วยกัน”
——————
บทที่สิบสอง
บุหรงกุมมือข้าพเจ้าโดยไม่มีท่าทีว่าจะปล่อยวางมัน และเมื่อข้าพเจ้าไม่แสดงอาการขัดขืน เธอก็ดึงมือของข้าพเจ้าให้ข้าพเจ้าลุกจากเก้าอี้นั่ง ก่อนจะจูงมือข้าพเจ้าเดินผ่านความมืดในห้องโถง สุดปลายทางของความมืดมีบานประตูไม้บานหนึ่ง บุหรงจูงมือข้าพเจ้าผ่านประตูไม้นั้นไป ข้างในนั้นเป็นห้องที่สว่างไสวด้วยคบไฟ ภายในห้องมีเตียงไม้ขนาดใหญ่แบบสี่เสาที่มีฟูกนอนสีขาวสะอาดสะอ้านห่มคลุมอยู่
ข้าพเจ้านั่งลงบนเตียงนั้นด้วยความรู้สึกดังตกอยู่ในภวังค์ เป็นการกลับมาสู่โลกด้วยความรู้สึกดังตกอยู่ในภวังค์ บุหรงค่อยๆ ปล่อยมืออันเกาะกุมของเราทั้งคู่ ก่อนจะปลดกระดุมตรงอกเสื้อของเธอทีละเม็ด ไม่ช้านาน ทรวงอกอันงามสล้างของบุหรงก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของข้าพเจ้า มันทอดตัวเป็นเส้นสายอันอ่อนหวาน มุ่นผมของเธอถูกสยายจนเส้นผมสีดำขลับไหลเรื่อยลงคลอเคลียที่ไหล่ หลังจากนั้น เธอโน้มร่างของข้าพเจ้าให้นอนราบลงกับพื้นเตียงอย่างช้าๆ เธอถอดเสื้อผ้าของข้าพเจ้าออก จากบนสู่ล่าง จนร่างกายของข้าพเจ้าเปลือยเปล่า สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาเบื้องหน้าของบุหรงคือร่างกายที่ข้าพเจ้ามีมาแต่แรกเกิดและความแข็งแกร่งแห่งอวัยวะส่วนตน มือของบุหรงสัมผัสไปตามวงแขน ทรวงอก และหน้าท้องของข้าพเจ้าโดยที่ข้าพเจ้าหาคิดจะปฏิเสธไม่ ในขณะเดียวกันข้าพเจ้าใช้แขนของตนโอบร่างของเธอเบาๆ แล้วใช้มือทั้งสองข้างลูบไล้ไปตามผ้าโสร่งผืนงาม จากเอวของเธอ สู่สะโพกอันกลมกลึง จากสะโพกอันกลมกลึงสู่บั้นท้ายอันนุ่มนวล ข้าพเจ้าลูบไล้ไปตามสัดส่วนเหล่านั้นของบุหรงตามใจปรารถนา และในไม่ช้าผ้าโสร่งผืนงามของเธอก็หลุดเลื่อนออกจากร่าง
ร่างเปลือยเปล่าของบุหรงเบียดเสียดอยู่บนร่างเปลือยเปล่าของข้าพเจ้า ไรขนอ่อนตามลำตัวของเธอเบียดกับขนอันดกดำบนร่างข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจุมพิตเธอที่ปากอย่างแผ่วเบา ริมฝีปากของเธอนุ่มนวลและอ่อนโยน เธอเผยอริมฝีปากของเธอขึ้นแล้วกล่าวว่า “ฉันอยากร้องเพลงได้ดังการขับขานของนก โดยไม่แยแสว่าผู้คนจะได้ยินหรือคิดเช่นใดก็ตาม” “รูมี่” ข้าพเจ้าเอ่ย “บทกวีของรูมี่” และแล้วข้าพเจ้าก็เอ่ยว่า “ผูกนกสองตัวไว้ด้วยกัน แม้มันจะครอบครองปีกถึงสี่ปีกในครานี้ มันก็หาโบยบินได้ไม่” “รูมี่” บุหรงเอ่ย ข้าพเจ้าพยักหน้า “โปรดร่วมรักกับฉันราวกับอยู่ในอากาศ ในท้องฟ้ากว้าง ได้โปรด โปรดร่วมรักกับฉันราวกับมีเราเพียงสองคนในท้องฟ้ากว้างนั้น”
ข้าพเจ้าพลิกร่างของตนขึ้น บุหรงค่อยๆ คว่ำหน้าของเธอลง ข้าพเจ้าทอดขาของตนกับร่างของเธอ ในขณะที่บุหรงแยกขาของเธอออกจากกัน มือของข้าพเจ้าช้อนไปที่ทรวงอกของบุหรง ร่างของข้าพเจ้าเบียดชิดเข้ากับร่างของเธอทุกขณะ ในที่สุดมันก็แนบสนิทเป็นหนึ่งเดียว ท่อนขาของบุหรงค่อยๆ ไขว้เกี่ยวอยู่ที่เอวของข้าพเจ้าจนกระชับแน่น ข้าพเจ้าขยับกายของตนเองอย่างช้าๆ ลึกเข้าไป ลึกเข้าไปในร่างของเธอ ชั่วเวลานั้นเองที่เวลาหยุดนิ่ง อากาศหยุดนิ่ง มีเพียงเราทั้งคู่ที่เคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวของเรานั้นเป็นอิสระ กระชับแน่นแต่เวิ้งว้าง ดื่มด่ำแต่ไร้ที่สิ้นสุด มันยาวนาน ยาวนานระลอกแล้วระลอกเล่าจนข้าพเจ้าหลับไหลลง
แสงแดดยามเช้าปลุกข้าพเจ้าให้ตื่นขึ้น มันเอิบอาบและลูบไล้ไปตามร่างกายอันเปลือยเปล่าของข้าพเจ้า ไม่มีบุหรง มีข้าพเจ้าเพียงลำพังและคราบเลือดที่ปรากฏอยู่บนฟูกของเตียงนอน ข้าพเจ้าไม่เคยร่วมรักกับหญิงสาวบริสุทธิ์มาก่อนเลย บุหรงเป็นหญิงสาวคนแรกและจะเป็นคนสุดท้ายด้วย ข้าพเจ้าเชื่อเช่นนั้น ข้าพเจ้าลุกขึ้นจากเตียงมองหาเธอแต่ห้องนั้นเงียบสงบ อาคารทั้งหลังเงียบสงบ ข้าพเจ้าสวมใส่เสื้อผ้าของตนเอง เปิดบานหน้าต่างในห้องออกจนสุด เบื้องนอกนั้นมีนกฝูงหนึ่งที่กำลังบินออกหาอาหาร ข้าพเจ้านึกถึงบทกวีของรูมี่อีกบทหนึ่ง “มีแรงปรารถนาบางอย่างเกิดขึ้นในใจของข้า หัวใจของข้ากลายเป็นนกที่บินโหยหาไปทั่วฟ้ากว้าง ร่างกายของข้าแตกเป็นเสี่ยงในทุกทิศทุกทาง นั่นเป็นเพราะคนที่ข้ารักดำรงอยู่ในทุกที่กระนั้นหรือ”
ข้าพเจ้าเดินลงบันไดของอาคารมา คบไฟทุกอันดับสนิทแล้ว ข้าพเจ้าลงมาถึงพื้นชั้นล่าง เปิดประตูออกไปสู่ท้องถนน และเมื่อหยุดยืนอยู่ที่กลางถนน ข้าพเจ้าก็เหลียวกลับไปมอง รสา ดาราห์ อีกครั้ง ข้าพเจ้าเหลียวกลับไปมองวิหารแห่งรสเลือดอีกครั้ง มีบางสิ่งแตกต่างไปจากเมื่อคืนวาน มีบางสิ่งผิดแผกไป รูปสลักของนกที่ทำขึ้นจากสำริดบนหน้าบันของอาคารได้สูญหายไปแล้ว ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่ามันเคยอยู่ที่นั่นอย่างแน่แท้ แต่มันเช้าเกินไปที่จะใช้สมองอย่างหนักหน่วง ข้าพเจ้าเดินกลับเข้าไปในร้านอาหาร บุหงา รำไพ ชายผู้เป็นบริกร ผู้ที่ข้าพเจ้าพบเมื่อคืนวานยังอยู่ในชุดเดิมราวกับมันเป็นผิวหนังแต่แรกเกิดของเขา เสื้อเชิ้ตสีขาว หูกระต่ายสีดำ และกางเกงสีดำ “เซลามัต ดาตัง บุหงา รำไพ ยินดีต้อนรับ” เขาเอ่ย “จิน โทนิค” ข้าพเจ้าเอ่ยตอบเขาและตรงไปที่โต๊ะที่ข้าพเจ้านั่งอยู่เมื่อคืนก่อน “ต้องขอโทษด้วย” ชายบริกรคนนั้นกล่าว “เราไม่ขายเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในที่นี้ มันขัดต่อข้อห้ามทางศาสนา หากคุณจะไม่ว่ากระไร เรามีชาและกาแฟจากหลายสถานที่ให้คุณเลือกดื่มได้” ข้าพเจ้ามองไปที่บาร์ ขวดเหล้าจำนวนมากที่วางอยู่บนชั้นแก้วหลังบาร์เมื่อคืนก่อนเปลี่ยนเป็นโถชาจำนวนมาก แก้วไวน์จำนวนมากที่แขวนอยู่บนรางเมื่อคืนก่อน กลายสภาพเป็นถ้วยชากระเบื้องไปแล้ว “แต่เมื่อคืนก่อน…” ข้าพเจ้าเอ่ย “ผมยังดื่มจิน โทนิค จากการปรุงของคุณ” ชายบริกรส่ายศีรษะให้กับข้าพเจ้า “เกรงว่าจะไม่ใช่ที่นี่ เมื่อวานเป็นวันศุกร์และร้านของเราปิดตลอด จนเมื่อเช้านี้เองที่เราเปิดบริการอีกครั้ง” “แต่ผม…” ข้าพเจ้าพยายามยืนยัน แต่ชายบริกรส่ายศีรษะอีกครั้ง “หากคุณต้องการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผมแนะนำให้ไปที่ตลาดสด มีร้านของชำของชาวจีนอยู่สองสามร้านที่อาจแบ่งเหล้าพื้นเมืองให้คุณได้” เขากล่าวต่อข้าพเจ้าก่อนจะหันหลังกลับไปที่บาร์ด้วยท่าทีที่ไม่เป็นมิตร ข้าพเจ้าเอื้อมมือจับคอเสื้อของเขาด้วยความโกรธเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรก็ตาม เขาไม่อาจเล่นตลกแบบนี้กับข้าพเจ้า แม้ข้าพเจ้าจะเป็นชาวต่างชาติ แต่การเล่นชวนหัวแบบนี้เป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ การออกแรงต่อคอเสื้อของเขาด้วยมือของข้าพเจ้าทำให้ร่างของเขาพลิกตัวอย่างแรง และเมื่อตั้งหลักได้ เขาสะบัดมือของข้าพเจ้าออก ก่อนจะโยนรายการอาหารในมือของเขาลงบนพื้นและยกท่อนแขนของเขาขึ้นตั้งท่าเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ และก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้ายลง รถยนต์เปิดประทุนคันหนึ่งก็จอดลงที่ริมถนน ชายคนหนึ่งกระโจนลงจากที่นั่งข้างคนขับและเดินเข้าประตูมาอย่างรีบเร่ง นี่เป็นอีกครั้งที่ข้าพเจ้าได้พบกับบุคคลที่ข้าพเจ้าปรารถนาจะพบเป็นคนสุดท้ายในโลก – พันตรี โทรุ ซากาโมโตะ
ติดตามอ่าน วายัง อมฤต ตอนก่อนหน้าได้ที่
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 1-2)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 3-4)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 5)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 6-7)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 8)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 9)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 10)
ภาพประกอบ: Karin Foxx.