ดร.แอนโทนี เฟาซี หัวหน้าทีมที่ปรึกษาทางการแพทย์ประจำทำเนียบขาวออกโรงเตือนว่าสหรัฐฯ มีสิทธิ์เผชิญกับวิกฤตการระบาดของไวรัสโควิดระลอกใหม่จากการกลายพันธุ์ของไวรัสตัวใหม่ หลังจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้นมาเฉลี่ยอยู่ที่ 100,000 รายต่อวัน ซึ่งเป็นระดับการระบาดที่รุนแรงกว่าช่วงฤดูร้อนปีที่แล้วก่อนหน้าที่จะมีวัคซีนป้องกันโควิดผลิตออกมา
ดร.เฟาซี กล่าวว่า สหรัฐฯ อาจจะเผชิญกับปัญหาหนักจากไวรัสกลายพันธุ์ที่เข้ามาแทนที่สายพันธุ์เดลตาที่จะมีการระบาดหนักกว่าและติดต่อกันได้ง่ายกว่าสายพันธุ์อัลฟามากถึง 1,000 เท่า
อย่างไรก็ตาม ที่ปรึกษาทางการแพทย์ประจำทำเนียบขาวเชื่อมั่นว่าวัคซีนป้องกันไวรัสโควิดยังมีบทบาทสำคัญในการป้องกันอาการเจ็บป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตของผู้คนอยู่ โดยยกตัวอย่าง วัคซีน Moderna ที่สร้างภูมิคุ้มกันร่างกายให้เพิ่มสูงขึ้น พร้อมเรียกร้องให้คนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนออกมาฉีดวัคซีนอย่างเร่งด่วนก่อนที่จะสายเกินไป
ข้ามฟากมาที่สถานการณ์การระบาดในเยอรมนี โดย เยนส์ สปาห์น รัฐมนตรีสาธารณสุขเยอรมนี ได้ร่างกฎหมายยื่นเสนอต่อทางรัฐสภาและผู้แทนสหพันธรัฐ 16 แห่งในเยอรมนี เกี่ยวกับแผนการรับมือการระบาดของไวรัสโควิดในช่วงหลายเดือนข้างหน้านับจากนี้ที่กำลังจะย่างก้าวเข้าสู่ฤดูหนาว โดยเรียกแผนดังกล่าวว่า “Safely through Autumn and Winter” แม้ว่าตัวเลขการระบาดจะลดลงก็ตาม แต่บทเรียนจากหลายประเทศแสดงให้เห็นว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นเมื่อมีการคลายมาตรการล็อกดาวน์และเว้นระยะห่างทางสังคม
ทั้งนี้ รายงานระบุว่า ร่างกฎหมายฉบับใหม่จะมุ่งเน้นจัดการกับคนที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ซึ่งจะถูกจำกัดการเข้าถึงหรือเข้าใช้บริการในพื้นที่สาธารณะต่างๆ เช่น ร้านค้า ร้านอาหาร ร้านทำผม เสริมสวย สนามกีฬาในร่ม และงานกิจกรรมกลางแจ้งขนาดใหญ่ โดยผู้ที่เข้าใช้งานในส่วนนี้ได้ต้องมี 3G ซึ่งเป็นคำศัพท์ภาษาเยอรมนีหมายถึงฉีดวัคซีนแล้ว หายแล้ว และทดสอบว่าไม่ติดเชื้อแล้ว โดยปัจจุบัน นโยบาย 3G มีการบังคับใช้กับทางสายการบินและโรงแรมเป็นหลัก
ขณะเดียวกัน ภายใต้ร่างกฎหมายใหม่ กระทรวงสาธารณสุขเยอรมนียังออกมาตรการบังคับสวมหน้ากากอนามัยจนถึงฤดูใบไม้ผลิปี 2022 มีนโยบายระบบระบายอากาศและสุขภาพอนามัยในโรงเรียนและศูนย์ดูแลเด็กเล็กทั่วประเทศ รวมถึงการทดสอบการติดเชื้อโควิดฟรีนอกเหนือจากการฉีดวัคซีนฟรี
อ้างอิง:
