จากกรณีที่ บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) เทขายหุ้น บมจ.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) ที่ถืออยู่ทั้งหมด 22.71% คิดเป็นมูลค่า 1.86 หมื่นล้านบาท
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ BDMS เคยพยายามที่จะเสนอซื้อหุ้นทั้งหมด (Tender Offer) ของ BH ที่ราคา 125 บาท ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2563 ที่ผ่านมา แต่หลังจากนั้นในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา BDMS ได้ตัดสินใจยกเลิกแผนดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม หากย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น ผู้ถือหุ้นใหญ่อีกกลุ่มหนึ่งของ BH คือ ตระกูล ‘โสภณพนิช’ ดูเหมือนจะไม่อยากปล่อยหุ้นที่ตัวเองถือออกไปอยู่เช่นกัน โดยตัดสินใจให้ บมจ.ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ใช้สิทธิแปลงสภาพหุ้นกู้ที่ถืออยู่ส่วนหนึ่ง และเข้ามาถือหุ้น BH เพิ่มเติมอีกเกือบ 10% ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นรวมกันของกลุ่มโสภณพนิช เพิ่มขึ้นแซงหน้า BDMS ในที่สุด
ส่วนการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น BDMS และ BH หลังรายงานธุรกรรมดังกล่าวพบว่า ปรับลดลงรุนแรงทั้ง 2 หุ้น โดย BDMS ลดลง 0.50 บาท หรือ 2.17% มาอยู่ที่ระดับ 22.50 บาท ส่วน BH ลดลง 8.50 บาท หรือ 6.88% มาอยู่ที่ 115 บาท
ถกล บรรจงรักษ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ BDMS พยายามจะเข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน BH แต่ก็ติดปัญหาที่ผู้ถือหุ้นใหญ่เดิมของ BH เมื่อดีลที่ต้องการจะเข้าเป็นพันธมิตรไม่สำเร็จ ประกอบกับภาพธุรกิจที่เปลี่ยนไป ทั้งการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ผลกระทบจากการถูกดึงตัวบุคลากร และลูกค้าต่างชาติที่ลดลงไปจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
“ด้วยสาเหตุเหล่านี้ บวกกับราคาหุ้น BH ที่ปรับตัวขึ้นมา จึงเป็นจังหวะที่ดีในการขาย เปิดโอกาสให้ BDMS สามารถนำเงินไปลงทุนขยายโรงพยาบาลอื่นๆ ในเครือของตัวเองได้มากขึ้น ขณะเดียวกันดีลนี้ยังมีกำไรประมาณ 1,100 ล้านบาท ซึ่งน่าจะบันทึกเข้ามาได้ทันในไตรมาส 4 นี้”
ในความเป็นจริงแล้ว ราคาหุ้น BH ที่ปรับตัวขึ้นมาก่อนหน้านี้ถือว่าแรงเกินกว่าพื้นฐาน เมื่อพิจารณาจากความเห็นของ Consensus ราคาเหมาะสมอยู่ที่ราว 110 บาท ขณะที่ราคาหุ้น BH ขยับขึ้นไปถึง 125 บาท ด้วยข่าวดีจากพัฒนาการของวัคซีน ซึ่งทาง BDMS ก็น่าจะเห็นว่าการขายในจังหวะที่ราคาเกินพื้นฐานน่าจะเป็นจังหวะที่ดี ทั้งนี้ รายละเอียดการซื้อขายในครั้งนี้จะมีการเปิดเผยผ่านตลาดหลักทรัพย์ในวันที่ 26 พฤศจิกายนนี้
ในมุมของ BDMS ซึ่งอยู่ในธุรกิจโรงพยาบาลเช่นกัน แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่ด้วยเครือโรงพยาบาลที่ใหญ่กว่า BH ซึ่งมีเพียงแค่สาขาเดียว เมื่อถูกกระทบจึงค่อนข้างเบากว่า สำหรับกลยุทธ์การลงทุน เราแนะนำขาย BH ด้วยราคาที่เกินพื้นฐาน ส่วน BDMS แนะนำซื้อ จาก Sentiment เชิงบวกจากการขายหุ้น BH ในครั้งนี้
ด้าน บล.โนมูระ พัฒนสิน ประเมินว่า BDMS น่าจะได้กำไรจากการขายหุ้น BH ทั้งหมดประมาณ 2,367 ล้านบาท และบันทึกกำไรหลังหักภาษีราว 1,114 ล้านบาท ผ่านงบการเงินปี 2563 จากที่ BDMS มีต้นทุนของ BH ราว 89.30 บาท
ส่วนผลกระทบด้านส่วนแบ่งกำไรจาก BH คาดว่าประมาณการกำไรของ BDMS จะลดลงราว 3-4% และกระทบราคาเป้าหมายประมาณ 0.80 บาท อิงจากราคาเป้าหมายที่ 25.30 บาท
ในเบื้องต้น ประเมินความเป็นไปได้ของผู้ถือหุ้นใหม่ของ BH ใน 2 กรณี คือ
1. ให้น้ำหนักมากกว่า 80% น่าจะเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่อีกรายอย่างตระกูลโสภณพนิช ทั้งนี้ เรามองเป็นปัจจัยบวกในระยะยาว เนื่องจากคาดไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องระมัดระวังในระยะถัดไปคือ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นครั้งนี้จะนำไปสู่การเกิด Tender Offer และออกจากตลาดหรือไม่
2. ให้น้ำหนักน้อยกว่า 20% เป็นผู้ถือหุ้นรายใหม่ เรามองเป็นปัจจัยลบต่อราคาหุ้นมากกว่ากรณีแรก เนื่องจากอาจมีผลต่อการบริหารงานในอนาคตของกลุ่ม BH
ภาพประกอบ: ธิดามาศ เขียวเหลือ
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์